กต.เชิญทูต-ผู้แทน 74 ประเทศและแทนองค์การระหว่างประเทศ 16 องค์การ รวม 121 คนเข้ารับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และการดำเนินการกับท่าทีของไทย
วันที่ 4 สิงหาคม 2568 นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ(กต.)ได้แถลงผลการบรรยายสรุป เรื่อง สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมีนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (รมว.กต.) เป็นผู้กล่าวเปิด ตามด้วยการบรรยาย ของอธิบดีกรมเอเชียตะวันออก และอธิบดีกรม องค์การระหว่างประเทศ โดยมีเอกอัครราชทูต หรือผู้แทนจาก 74 ประเทศ และมีองค์กร 1 องค์กร คือ EU และมีผู้แทนองค์การระหว่างประเทศประจำประเทศไทย อีก 16 องค์การ รวมจำนวนทั้งสิ้น 121 คน เข้ารับฟังในเช้าวันนี้ ว่า กระทรวงการต่างประเทศได้เชิญผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศที่มีสำนักงานอยู่ในประเทศไทยมาฟังด้วย เนื่องจากมีมิติของการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศของฝ่ายกัมพูชาเข้ามาเกี่ยวข้อง วัตถุประสงค์หลักก็เพื่อชี้แจง การดำเนินการและท่าทีของไทย ต่อสถานการณ์ดังกล่าว รวมถึงพัฒนาการที่สำคัญๆ จากที่กัมพูชาเปิดฉากโจมตีไทย วันแรก เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 และการบรรลุข้อตกลงการหยุดยิงในการประชุมสมัยพิเศษที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ซึ่งหลังจากนั้นก็ยังพบการละเมิดข้อตกลงของฝ่ายกัมพูชาหลายครั้งในพื้นที่ของไทย ขณะเดียวกันกัมพูชาก็ได้ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกฎหมายมนุษยธรรม ระหว่างประเทศ และอนุสัญญาอีกหลายฉบับ
นายนิกรเดช กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดการบรรยายวันนี้ ว่า จัดขึ้นเพื่อชี้แจงให้ประชาคมโลกรับทราบความจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้แจงท่าทีไทย เกี่ยวกับการประชุมสมัยพิเศษ ที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ซึ่งนำมาสู่ข้อตกลงการหยุดยิง และการปฏิบัติตาม โดยย้ำว่าการขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา เป็นสิ่งที่ไทยไม่ได้ต้องการ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่กัมพูชา เป็นผู้เริ่มต้นความขัดแย้งนี้ก่อน และหลังจากที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เกล่าวเปิดแล้ว นายปิยะภักดิ์ ศรีเจริญ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก กต. ได้ให้ภาพรวมของเหตุการณ์สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา แต่ก่อนเกิดเหตุการณ์ปะทะกัน ครั้งแรก เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมาเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน และต่อไปจนถึงอนาคตที่จะจัดการประชุมจีบีซีที่ประเทศมาเลเซีย และเจบีซีในเร็วๆนี้ เดินทางได้ชี้แจงจุดยืน ชี้แจงท่าทีของไทยในการดำเนินการเพื่อลดการตึงเครียดและคลี่คลายสถานการณ์โดยสันติ จากนั้น นางพินท์สุดา ชัยนาม อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ กต. ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการละเมิดอนุสัญญาระหว่างประเทศ และกฎหมายสิทธิมนุษยชน และมนุษยธรรมระหว่างประเทศ รวมถึงการบิดเบือนข้อมูลของกัมพูชาในเวทีระหว่างประเทศ ตลอดจนการดำเนินการชี้แจงนำเสนอข้อเท็จจริงและการประท้วงของไทยต่อกรณีข้างต้นในเวทีพหุภาคีต่างๆ
นายนิกรเดช กล่าวต่อว่า สำหรับประเด็นโดยรวมในการบรรยายสรุปในวันนี้ มี 9 ข้อ ดังนี้
ข้อที่ 1 ประเทศไทยเป็นประเทศ ที่มีความรับผิดชอบต่อประชาคมระหว่างประเทศเรายึดมั่นในสันติภาพ กฎหมายระหว่างประเทศ หลักการสากลต่างๆ และมุ่งมั่นที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ต่างๆกับกัมพูชาในฐานะเพื่อนบ้านที่ดี แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าความมุ่งหวังดังกล่าว ไม่ได้รับการตอบสนองที่ดีจากกัมพูชา โดยตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ไปกัมพูชาดำเนินการยั่วยุไทยหลายครั้ง อีกทั้งยังเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีไทย และละเมิดพันธะกรณีระหว่างประเทศในหลายหลายกรณี
ข้อ 2 ฝ่ายไทยมีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่บ่งชี้ว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มต้นโจมตีไถ่ก่อน และโจมตีอย่างไม่เลือกเป้าหมาย ย้ำคำว่าไม่เลือกเป้าหมายด้วย ส่งผลให้สถานที่พลเรือนไม่ว่าจะเป็นปั๊มน้ำมัน ร้านสะดวกซื้อ โรงพยาบาล โรงเรียนได้รับความเสียหาย อีกทั้งยังทำให้พลเรือน รวมถึงเด็กที่บริสุทธิ์ต้องเสียชีวิตและบาดเจ็บ ชาวบ้านนับ 100,000 คนต้องอพยพไปอยู่ในสถานที่พักพิงชั่วคราว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ขณะทูต ผู้ช่วยโทรหารที่ได้ลงไปพื้นที่เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 รวมถึงสื่อมวลชนก็ได้เห็นด้วยตาตนเอง
ข้อ 3 การตอบโต้ของไทย ทุกครั้งเป็นการใช้สิทธิ์ในการป้องกันตนเองโดยชอบธรรม ตามมาตรา 51 ของกฏบัตรสหประชาชาติ เพื่อปกป้องอธิปไตย บูรณะภาพแห่งดินแดนไทยและความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน นอกจากนี้การปฎิบัติการทางทหารของไทยผ่านการไตร่ตรองมาดีแล้วมีการตอบโต้อย่างได้สัดส่วน ตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักกฏหมายระหว่างประเทศ ที่สำคัญ เรามุ่งเป้าไปที่เป้าหมายของทหารกัมพูชาเท่านั้นจึงไม่ถือเป็นการรุกราน
ข้อ 4 การโจมตีอย่างไม่เลือกเป้าหมายของ กัมพูชาต่อพลเรือน และสถานที่สาธารณะ ถือเป็นการรุกรานอย่างชัดเจน และเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะอนุสัญญาเจนีวา ฉบับที่ 1 และฉบับที่ 4 รวมถึงตราสารระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนต่างๆ เช่น อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิ์เด็ก อนุอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ และอนุสรณ์สัญญาว่าด้วยสิทธิของคนพิการ
“นอกจากนี้ การวางทุนระเบิดสังหารบุคคลเมื่อไม่นานมานี้ของฝ่ายกัมพูชา ถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาออตาวา ซึ่งไทยขอประนามรุนแรงที่สุด”
ข้อ 5 ไทยปฏิเสธข้อกล่าวหาของกัมพูชา ที่ไม่มีหลักฐานรองรับในทุกเวที และในทุกประเด็น อาทิ ข้อกล่าวหาว่ากองทัพไทยรุกราน สร้างความเสียหายต่อประสาทพระวิหาร เป็นต้น และข้อกล่าวหาเกี่ยวกับคุกคามแรงงานกัมพูชาในประเทศไทย ซึ่งฝ่ายไทยได้ส่งหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงไปยังองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม แห่งสหประชาชาติ(ยูเนสโก) และ องค์การแรงงานระหว่างประเทศ แล้ว
ข้อ 6 ประเทศไทยชื่นชมบทบาทของมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ที่อำนวยความสะดวกให้เกิดการประชุมสมัยพิเศษขึ้น ซึ่งนำไปสู่การบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทยกับกับพูชา เราขอขอบคุณสหรัฐและจีน ที่มีบทบาทสนับสนุนให้การหยุดยิงเกิดขึ้น อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าผิดหวังอย่างยิ่งที่ฝ่ายกัมพูชา ยังคงละเมิดข้อตกลงหยุดยิงหลายครั้งในหลายพื้นที่ ซึ่งแสดงถึงการขาดความจริงใจของกัมพูชาอย่างชัดเจน
“ ในการนี้ ฝ่ายไทยจึงขอเรียกร้อง ให้กัมพูชาเคารพและปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัด”
ข้อ 7 ฝ่ายไทยยังคงมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ โดยไทยตั้งใจจะเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ จีบีซี ในวันนี้ 4-7 ส.ค.2568 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ด้วยความจริงใจและสุจริตใจ เพื่อให้เกิดการบังคับใช้ข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด รวมทั้งวางกลไกเพื่อปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว
ผมขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการประชุมจีบีซี นอกเหนือจากที่ได้กล่าวบรรยายสรุปแก่คณะทูตไปแล้ว ซึ่ง จีบีซี เป็นกลไกระดับรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงกลาโหม โดยหัวหน้าคณะฝ่ายไทยคือ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช. กลาโหม รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สำหรับฝ่ายไทยได้มีการจัดประชุมเตรียมการมาแล้ว 3 ครั้ง โดยคณะเลขานุการจีบีซี ฝ่ายไทยได้เดินทางไปมาเลเซียแล้วตั้งแต่เย็นวานนี้(3ส.ค.) และอยู่ระหว่างเข้าร่วมการประชุมของฝ่ายเลขาระหว่างวันที่4-6 ส.ค.2568 ก่อนที่จะมีการประชุมจีบีซีสมัยพิเศษ วันที่ 7 ส.ค.นี้ ทั้งนี้ มาเลเซีย สหรัฐ จีน ได้รับเชิญให้เข้าร่วมสังเกตการณ์ เฉพาะในการประชุมในวันที่ 7 ส.ค.ด้วย ทั้งนี้ พี่น้องประชาชนสามารถติดตาม พัฒนาการการประชุมจีบีซี จากการแถลงข่าวและใน เฟสบุ๊ก ของศูนย์เฉพาะกิจ ศบ.ทก.
ข้อ 8 นอกจากการประชุมจีบีซีแล้ว กลไกทวิภาคีที่จะมีต่อไปก็คือ เจบีซี หรือ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม โดยไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเจบีซี ขึ้นในเดือนกันยายน นี้ โดยหวังว่ากัมพูชาจะเข้าร่วมด้วยความจริงใจเพื่อหาทางออกร่วมกันในประเด็นเขตแดนที่ยังคั่งค้างอยู่
ข้อ 9 ฝ่ายไทยขอเรียกร้อง ให้ฝ่ายกัมพูชายุตติการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ซึ่งมีขึ้นแทบจะเป็นรายวันและกลายเป็นเรื่องปกติ ล่าสุด ข้อกล่าวหาว่าไทยกำลังอพยพคนออกจากสุรินทร์เมื่อเมื่อคืนที่ผ่านมาเพื่อเตรียมการโจมตีกัมพูชาก่อนการประชุมจีบีซี ซึ่งไม่เป็นความจริงอีกเช่นกัน การกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้ เป็นอุปสรรคต่อการสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการฟื้นฟูความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน และทำให้ความขัดแย้งขยายตัวไปสู่ระดับประชาชนของทั้งสองประเทศ ซึ่งเป็นการบั่นทอนความพยายามในการทำให้ความสัมพันธ์กลับสู่สภาวะปกติ
นายนิกรเดช กล่าวในตอนท้าย ว่า ทั้งหมดนี้เป็นการสรุปใจความสำคัญให้แก่คณะทูตและผู้แทนองค์การระหว่างประเทศ และค่ำวันนี้ ผมก็จะไปอธิบายเรื่องเหล่านี้ ให้ทาง เอฟซีซี เพื่อให้สื่อต่างประเทศได้ทราบอีกทางหนึ่ง ผมขอย้ำอีกครั้งว่า การนำเสนอข้อมูลของฝ่ายไทยเราเน้น ข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ เราเน้นหลักฐานเชิงประจักษ์ เราเน้นข้อมูลที่พิสูจน์บนหลักวิทยาศาสตร์ เราเชื่อว่าการเจรจาจะนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืน เราเชื่อว่าเราต้องใช้ความจริงคุยกันบนพื้นฐานของความสุจริตใจ เฟสนิวไม่ช่วยในกรณีเหล่านี้
“สุดท้ายนี้ ท่ามกลางสงครามข่าวสารและการบิดเบือนข้อมูลอย่างแพร่หลาย ผมขอเรียกร้องให้พี่น้องประชาชนไทยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน บริโภคข้อมูลข่าวสารอย่างมีวิจารณญาณก่อนแชร์ต่อ และติดตามข่าวสารที่เชื่อถือได้จากหน่วยงานราชการ ขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลจะดำเนินการอย่างสุดความสามารถ อย่างเต็มที่เพื่อปกป้องอำนาจอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย ตลอดจนสิทธิและความปลอดภัยของประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญสูงสุดมาโดยตลอด“
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี