ผลจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 มีมติคำวินิจฉัยให้ พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน พ้นจากสมาชิกภาพ ส.ส.เชียงราย ส่งผลให้หลุดจากตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ทันที และตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา10 ปี จากกรณี ใช้อำนาจในฐานะกรรมาธิการแปรญัตติโยกงบประมาณลงพื้นที่ตนเองโดยมิชอบ อันเข้าข่าย กระทำความผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ถือเป็นอีกจุดเปลี่ยนสำคัญของการเมืองไทย โดยไม่เพียงทำให้พรรคเพื่อไทยต้องเสียหนึ่งในกำลังหลักในสภาเท่านั้น แต่ยังเป็นหมุดหมายแห่งการตีกรอบอำนาจนักการเมือง”ซึ่งอาจขยายผลไปไกลกว่านั้น
บรรทัดฐานใหม่ทางกฎหมาย : มาตรา144 ที่ไม่ใช่แค่ตัวหนังสือ
มาตรา 144 ของรัฐธรรมนูญ 2560 เป็นบทบัญญัติ ที่ห้ามมิให้ สมาชิกสภาฯ คณะกรรมาธิการ หรือผู้ดำรงตำแหน่งใดใช้อำนาจในการแปรญัตติงบประมาณ เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อหน่วยงานหรือพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งโดยมิชอบ ซึ่งแม้ที่ผ่านมาเคยมีการร้องเรียนกันบ้าง แต่ยังไม่เคยมีกรณีใดที่ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดอย่างชัดเจนและเด็ดขาดเช่นนี้
คำวินิจฉัยในครั้งนี้ของกรณี‘พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน’จึงไม่ใช่แค่ลงโทษเฉพาะบุคคล แต่เป็นการส่ง สัญญาณเตือน ไปถึง ส.ส. และคณะกรรมาธิการทั้งหลายว่า“ยุคเล่นกับงบอย่างเสรีจบลงแล้ว”โดยเฉพาะการโยกงบลงพื้นที่เพื่อหวังผลทางการเมืองส่วนตัวหรือของพรรค
สะเทือนเสถียรภาพรัฐบาล‘เศรษฐา-แพทองธาร’เสี่ยงโดนหมด
แม้กรณีของนายพิเชษฐ์จะเป็นการกระทำส่วนบุคคล ในฐานะกรรมาธิการงบประมาณ แต่ก็ไม่อาจแยกขาดจาก กระแสวิพากษ์วิจารณ์โยกกระทบไปถึง ตั้งแต่ รัฐบาล‘ครม.เศรษฐา’จนถึง รัฐบาล‘ครม.แพทองธาร’ที่มีความพยายามผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย“โครงการแจกเงินดิจิทัล 1หมื่นบาท”โดยอาศัยการโยกงบประมาณปี 2568 เพื่อใช้ในโครงการดังกล่าว
ฝ่ายค้านและภาคประชาชนหลายกลุ่ม ได้ยื่นเรื่องถึง ป.ป.ช.และศาลรัฐธรรมนูญ โดยอ้างว่ารัฐบาลอาจมีพฤติกรรมละเมิดมาตรา144 เช่นเดียวกัน หากคำร้องเหล่านี้เดินหน้าสู่ศาลรัฐธรรมนูญจนกระทั่งมีการวินิจฉัย และหากพบว่ารัฐบาลมีการกระทำที่เข้าข่ายผิดจริง อาจนำไปสู่การล้มทั้งกระดานของนโยบายหลักเรือธงของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
เขย่าสภาทั้งระบบ นักการเมืองต้อง“กลัวกฎหมาย ไม่ใช่แค่กลัวคะแนนนิยม”
สิ่งสำคัญที่สุดที่ตามมาจากคำวินิจฉัยในครั้งนี้คือ บรรทัดฐานใหม่ของการใช้อำนาจในสภา โดยเฉพาะในยุคที่งบประมาณกลายเป็นเครื่องมือสำคัญทางการเมือง พรรคการเมืองจำนวนมากใช้กลไกงบประมาณเป็นเครื่องมือตอบแทนฐานเสียง หรือจูงใจในเขตเลือกตั้ง
แต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญยืนยันว่าการแปรญัตติโยกงบลงพื้นที่ตนเองเป็นความผิดร้ายแรง ส.ส. ทั้งหลายอาจต้องกลับมาทบทวนว่า อำนาจในมือของตน ไม่ใช่สิทธิส่วนบุคคล ไม่ใช่ใช้อำนาจตามอำเภอใจ แต่เป็นหน้าที่ที่มีข้อจำกัดตามรัฐธรรมนูญ
จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนทางการเมืองไทยครั้งใหญ่หรือไม่?
กรณี“พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน”เป็นมากกว่าการสูญเสียตำแหน่งของบุคคลคนหนึ่ง แต่คือการส่งเสียงดังๆจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไปยังนักการเมืองทั้งระบบถูกเขย่าว่า“กฎหมายมีเขี้ยวเล็บจริง”
หากกรณีนี้ถูกใช้เป็นแบบอย่างในการตรวจสอบและลงโทษนักการเมืองรายอื่นที่ใช้อำนาจโดยมิชอบ อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการเมืองไทยที่แท้จริง แต่หากถูกปล่อยให้กลายเป็นเพียงแค่ “ข่าวประเด็นร้อนชั่วคราว”โดยไม่มีการไล่ตรวจสอบเชิงโครงสร้างต่อไป บรรทัดฐานที่ดีนี้ ก็อาจสลายไปกับกระแสการเมืองเช่นเดิม
ล่าสุด เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2568 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ในฐานะกรรมาธิฏารวิสามัญพิจารณาศึกษาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569ได้ส่งหนังสือทางไปรษณีย์EMSถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)เพื่อขอให้ป.ป.ช.รีบส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคณะรัฐมนตรีและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ลงมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ.2569 จะต้องพ้นจากตำแหน่งหรือสิ้นสุดสมาชิกภาพ ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 หรือไม่ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 121 คน(ผู้ร้อง)หรือสมาชิกวุฒิสภา ที่ไม่เสนอความเห็นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไปตามผลของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะมีความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ตามความในมาตรา 234 (1) หรือไม่
ภายหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 1สิงหาคม ที่ผ่านมา แล้ว สส.และสว.ที่ทราบผลของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญแล้ว แต่ไม่เสนอความเห็นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม เพื่อให้ครม.พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะหรือ เพื่อให้สส.322คน สิ้นสุดสมาชิกภาพ ด้วยหรือไม่นั้น ผู้ร้องหรือ สว.จะมีความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ตามความในมาตรา 234 (1) หรือไม่ ดังนั้นตนเห็นว่าจึงมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องร้องต่อ ป.ป.ช. เพื่อดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสี่ ต่อไป
การเมืองไทยหลังจากนี้จะต้องจับตากระบวนการอย่างใกล้ชิดอย่างไม่กระพริบตาอะไรก็เกิดขึ้นได้ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามข้อกฎหมาย เมื่อผู้แทนของประชาชนที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาและมีอำนาจในการออกฎหมาย มากระทำผิดเสียเอง ก็ย่อมจะต้องได้รับโทษจากการกระทำ เพื่อเป็นบรรทัดฐานกับนักการเมืองต่อไป
รัฐบาลแพทองธารและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง คงต้องเตรียมรับมือกับแรงกระเพื่อม ที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะจากนี้ไป คำว่า“มาตรา 144”จะไม่ใช่แค่บรรทัดในรัฐธรรมนูญ แต่จะกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญในการอยู่รอดทางการเมืองของ ทั้งรัฐบาลและสมาชิกรัฐสภาทั้งสองสภา สุดท้าย อาจโค่นล้มกันทั้งกระดาน ส่งผลให้การเมืองไทยต้องเปลี่ยนครั้งใหญ่.
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี