‘ร่าง พ.ร.บ.ควบคุมแอลกอฮอล์’ฉบับใหม่ ลงตัวเตรียมประกาศใช้
15 สิงหาคม 2568 ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับมูลนิธิชีววิถี จัดเสวนาหัวข้อ “ถอดบทเรียน แก้ไข พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จากแตกต่างสุดขั้วสู่จุดร่วม สร้างสมดุล”
นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กล่าวว่า เนื่องจาก พ.ร.บ.ฉบันเดิมใช้มากว่า 17 ปี มีทั้งประสิทธิภาพและปัญหาในเวลาเดียวกัน จึงต้องยกยกร่างใหม่ ซึ่งผ่านการพิจารณาของ สส.และ สว.แล้ว ยอมรับว่า ในการพิจารณาในแต่ละขั้นตอนมีความท้าทาย และยากเพราะต่างฝ่ายต่างมีความคิดของตัวเอง และมีข้อมูลข้อเท็จจริงมาพิจารณาร่วมกัน มีการได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูล ไปศึกษาดูงานในหลายพื้นที่ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงประเทศจีน ที่มีการผลิต จำหน่ายสุรา แต่มีมาตรการจัดการปัญหาอย่างจริงจัง เด็ดขาด อีกทั้งยังไปเยี่ยมผู้ป่วยจากการดื่มที่สถาบันธัญญารักษ์ รับฟังผู้ผลิตไวน์ ผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมาย ทำให้แต่ละฝ่ายเริ่มเข้าใจกัน และมีความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น นำมาสู่การแสวงหาจุดร่วม ทำให้ในช่วงท้ายๆของการพิจารณากฎหมายเป็นไปอย่างราบรื่น
ด้านนพ.นิพนธ์ ชินานนท์เวช ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับใหม่ มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง เช่น ในคณะกรรมการควบคุม ก็เพิ่มสัดส่วนผู้แทนกระทรวงต่างๆ ภาคเอกชน ภาคธุรกิจเข้าไปร่วมด้วย แต่ก็เป็นส่วนน้อย ซึ่งหากพิจารณาในเรื่องที่ผลประโยชน์ทับซ้อน ต้องออกจากที่ประชุม โดยชุดนี้จะมีอำนาจในการออกกฎหมาย นอกจากนี้ยังมีการผ่องถ่ายอำนาจบางอย่างไปให้คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จังหวัดและ กทม.เป็นผู้ดำเนินการ พร้อมให้ผู้แทนสภาเด็กและเยาวชน เข้าไปเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง ต้องมีการจัดประชุมอย่างน้อย ปีละ 2 ครั้ง
ทั้งนี้ในด้านการควบคุม แม้จะมีการยกเลิก ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 253 ที่กำหนดเรื่องช่วงเวลาห้ามจำหน่ายตั้งแต่ 11.00 - 14.00 น. และ 17.00 - 24.00 น. แล้วแต่ยังคงมีอนุบัญญัติเดิมที่กำหนดเวลาขายไว้ซึ่งขึ้นอยู่กับมติคณะกรรมการ ส่วนข้อถกเถียงเรื่องการขายผ่านตู้อัตโนมัตินั้น ตู้ฯ ต้องสามารถยืนยันตัวตนของผู้ซื้อได้ บอกอาการของผู้ซื้อได้ ซึ่งในอนาคตระบบ AI อาจจะทำได้ แต่การวางตู้ต้องไม่ตั้งในสถานที่ห้าม เช่น วัด โรงเรียน สถานที่ราชการ สถานพยาบาล ปั๊มน้ำมันเป็นต้น และต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.สรรพสามิต ว่ามาทำหน้าที่แทนร้านค้าหรือเป็นเพียงอุปกรณ์ในร้านค้าเท่านั้น เรื่องนี้ยังต้องคุยในรายละเอียดและออกข้อกำหนดอีกครั้ง
“โดยกฎหมายเพิ่มโทษหนักผู้ที่ขายให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี และขายให้คนเมา ซึ่งต้องมีหลักเกณฑ์กำหนดในรายละเอียด ถ้าฝ่าฝืนจะมีโทษหนักทั้งจำทั้งปรับ โทษปรับนั้นเพิ่มขึ้นจากเดิมห้าเท่าเป็น 100,000 บาท แล้วถ้าผู้ซื้อคนนั้นไปก่อเหตุ ต่อเนื่องจากการดื่ม ทางร้านก็จะต้องรับผิดชอบตามกฎหมายด้วย เมื่อมีโทษหนัก และรับผิดชอบร่วม กฎหมายจึงให้สิทธิเรียกตรวจบัตรประชาชนผู้ซื้อได้ด้วย ในส่วนของการห้ามโฆษณานั้นหลักใหญ่ยังคงห้ามอยู่แต่กฎหมายเปิดช่องให้สามารถสื่อสารได้บางส่วน ซึ่งต้องมีกฎหมายลูกออกรายละเอียดตามมา การใช้ตราเสมือนมาเลี่ยงโฆษณาแบบในอดีตจนทำให้คนเข้าใจว่าเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำไม่ได้ เป็นต้น และตอนนี้กฎหมายผ่านวุฒิสภาแล้ว ก็รอทูลเกล้า ลงพระปรมาภิไธย และลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ซึ่ง กฎหมายจะมีผลบังคับใช้หลัง 60 วันหลัง ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา” นพ.นิพนธ์ กล่าว
นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตกร กรรมาธิการฯ ผู้เสนอกฎหมายพรรคประชาชน กล่าวว่า พ.ร.บ.มีหลายร่าง และแตกต่างกัน การพิจารณาจึงค่อนข้างยาก แต่ด้วยการพูดคุยผ่านกลไกรัฐสภาจนสุดท้ายแล้วความเห็นที่แตกต่างกันก็มีประโยชน์ ที่ทำให้เกิดการพิจารณาปรับปรุงร่างกฎหมายที่มีความกลมกล่อม ซึ่งรวมไปถึงภาพรวมของสังคม คือเกิดความเข้าใจกันของฝ่ายนักรณรงค์ และฝ่ายผู้ประกอบการ นี่คือความสวยงามของระบบประชาธิปไตยผ่านรัฐสภา ซึ่งสาระหลักของกฎหมายไม่ได้สมบูรณ์อย่างที่เราอยากได้ไปทั้งหมด หลักๆ กฎหมายมีความชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะการคุ้มครองประชาชน เช่น การโฆษณาผ่านโซเชียลมีเดีย เดิมคนโพสต์ถูกปรับหมด ก็มีการแก้ไขว่า หากการโพสต์ผ่านสื่อออนไลน์ไม่ได้มีเจตนาโฆษณาหรือเป็น influencer ก็ไม่มีความผิด แต่ที่เราอยากเห็นคือการห้ามโฆษณาให้คนอายุต่ำกว่า 20 ปี ส่วนคนเกิน 20 ปี สามารถรับรู้การโฆษณาได้ ประเด็นนี้ต้องว่ากันต่อไปในอนาคต เป็นต้น
ขณะที่ผศ.ดร.เจริญ เจริญชัย กรรมาธิการฯ นักวิชาการผู้เสนอร่าง พ.ร.บ.ฯ กล่าวว่า ภายหลังมีการพิจารณาอย่างรอบด้าน จนตกผลึกในร่างพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับใหม่แล้ว ในเร็วๆ นี้ จะมีการจัดเสวนา เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจสาระสำคัญของ พ.ร.บ. เป็นการเตรียมตัวให้กับผู้ประกอบการ สามารถนำไปปฏิบัติได้ทันทีโดยไม่ต้องรออนุบัญญัติ เช่น การติดป้ายเตือนไม่ขายให้กับเยาวชน และผู้มีอาการมึนเมา เป็นต้น ส่วนตัวมองว่าอย่างน้อยกฎหมายฉบับนี้จะทำให้ประชาชนทั่วไป และนักวิชาการ สามารถแบ่งปันประสบการณ์ ข้อมูล ความรู้เกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ โดยไม่ต้องกลัวจะถูกดำเนินคดีหรือเสียค่าปรับจำนวนมาก เหมือนในอดีต เช่น ในช่วงโควิด
โดยปี 2563 ประชาชนและผู้ประกอบการจำนวนมาก ถูกเรียกไปสอบสวนเรื่องการโพสต์ภาพเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสื่อออนไลน์ ส่วนใหญ่ยอมจ่ายค่าปรับ บางร้านมีเพียงภาพแก้วเบียร์บนเมนูก็ถูกดำเนินคดีในชั้นศาล ต้องเสียค่าปรับและสูญเสียรายได้กว่าล้านบาทในช่วงต่อสู้คดี นอกจากนี้เมื่อทราบว่ามีส่วนแบ่งจากค่าปรับ เป็นเงินสินบนรางวัล ให้กับเจ้าหน้าที่ ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกว่ามีการล่าเงินรางวัล ทำให้เกิดกระแสต่อต้านมากขึ้น
ส่วนนายชูวิทย์ จันทรส เลขาธิการมูลนิธิเด็ก เยาวชนและครอบครัว และกรรมาธิการฯ กล่าวว่า ภาคประชาสังคมผลักดันให้มีการออกกฎหมายฉบับนี้มาตั้งแต่สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย กลางปี 2548 ก่อนจะสำเร็จและบังคับใช้ในรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ในปี 2551 และออกกฎหมายลูกหลายฉบับตามมา อาทิ การห้ามขาย ห้ามดื่มบนรถไฟและสถานีรถไฟ การห้ามดื่มบนรถขณะอยู่บนทาง มาจนถึงการห้ามขายทางออนไลน์ ซึ่งเป็นฉบับที่มีเสียงคัดค้านหนัก ประกอบกับในช่วงโควิด ผู้ประกอบการรายย่อยและเหล่าอินฟลูเอ็นเซอร์ถูกดำเนินคดีความผิดตามมาตรา 32 ว่าด้วยการห้ามโฆษณาจำนวนมาก จึงมีนำมาซึ่งการเสนอแก้ไขกฎหมายของผู้ประกอบการและผลักดันจนเข้าสภา และมีร่างของภาคประชาสังคม พรรคการเมือง กระทรวงสาธารณสุข ตามมารวมเป็น 5 ฉบับ
ในช่วง กรรมาธิการ ของ สส. ต้องยอมรับว่าประธาน กมธ. มีส่วนสำคัญมาก ที่กล้าปักธงว่าจะให้มีการพูดคุยกันอย่างเต็มที่ และจะพยายามไม่ให้มีการโหวต ซึ่งก็ทำได้จริง แม้ในช่วงแรกๆ จะปะทะกันทางความคิดหนักมาก อยู่ในช่วงของความหวาดระแวง ไม่ไว้วางใจ แต่ด้วยกระบวนการที่ถูกวางให้ทำงานร่วมกัน ไปลงพื้นที่ดูผู้ป่วยที่ติดเหล้า ไปดูความยากลำบากของผู้ประกอบการรายย่อย ไปดูงานในหลายๆที่ การได้ข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน คิดว่านี่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ทุกฝ่ายเปิดใจ ลดราวาศอก เอาใจเขามาใส่ใจเรามากขึ้น และค่อยๆ ค้นหาจุดร่วมที่ยอมรับกันได้ อีกทั้งการไม่เร่งรีบจนเกินไปทำให้มีเวลาในการทำงานเต็มที่ หลังจากนี้ก็คาดหวังว่าจะเกิดการปรับตัวกันทุกฝ่าย ให้สอดรับกับกฎหมายใหม่ แต่กระบวนการออกกฎหมายลูกก็มีส่วนสำคัญมาก ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยต้องจับตาอย่างใกล้ชิดต่อไป
รศ.ดร.บุญเลิศ วิเศษปรีชา อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะผู้ดำเนินการอภิปราย กล่าวในตอนท้ายว่า จากการรับฟังที่มาและกระบวนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ เห็นได้ชัดว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้กฎหมายเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย คือบทบาทของรัฐสภาในฐานะเวทีแก้ไขปัญหาสำคัญของสังคม โดยเฉพาะในชั้นคณะกรรมาธิการ ที่เปิดโอกาสให้ผู้มีมุมมองต่อการผลิต การบริโภคสุราและมิติสุขภาพและสังคมที่แตกต่างกัน ได้ถกเถียง แลกเปลี่ยน และเรียนรู้ซึ่งกันและกัน จนได้ข้อสรุปที่ทั้งส่งเสริมผู้ประกอบการรายย่อย คุ้มครองผู้บริโภค และปกป้องความปลอดภัยของสังคม กระบวนการนี้สะท้อนสิ่งที่นักวิชาการเรียกว่า ประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ (deliberative democracy) ซึ่งทำให้ประชาธิปไตยแบบตัวแทนแข็งแรงขึ้น เพราะไม่ได้มีแค่การโหวต แต่คือการฟังกันอย่างตั้งใจ และหาทางออกร่วมกัน วันนี้เราได้เห็นแล้วว่า การแก้ไขร่าง พ.ร.บ. นี้ ไม่ได้เป็นเพียงการปรับกฎหมาย แต่เป็นบทพิสูจน์ว่า รัฐสภาสามารถเป็นเวทีที่คนเห็นต่างมานั่งพูดคุย แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน และหาทางออกร่วมกันได้
“ผมเชื่อว่า ถ้าเรานำวิธีคิดและวิธีทำงานแบบนี้ไปใช้กับปัญหาอื่น ๆ ในสังคม เราจะสามารถหาทางออกได้โดยไม่ต้องแบ่งข้าง และไม่ต้องปิดกั้นความเห็นที่แตกต่าง และรัฐสภาจะยังคงเป็นเวทีของทุกคน เป็นพื้นที่ที่เราสามารถสร้างอนาคตร่วมกันได้ และการให้มีร่าง พ.ร.บ. ที่มาจากประชาชนพิจารณาไปด้วยจึงสร้างสมดุลได้ดี” รศ.ดร.บุญเลิศ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี