กมธ.วุฒิฯ 5 คณะ ร่วมจัดสัมมนา “ภาษีทรัมป์: โจทย์ใหญ่ของเศรษฐกิจไทยหลังการเจรจา” ระดมความเห็นเพื่อจัดทำรายงาน (Policy Bref) นำสู่การกำหนดนโยบายความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศระยะยาว
วันที่ 18 สิงหาคม 2568 ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง ร่วมกับ กมธ.การต่างประเทศ กมธ.การพาณิชย์และการอุตสาหกรรม กมธ.การเกษตรและสหกรณ์ และกมธ.การเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการโทรคมนาคม วุฒิสภา จัดสัมมนาเรื่อง “ภาษีทรัมป์: โจทย์ใหญ่ของเศรษฐกิจไทยหลังการเจรจา” “Trump Tariffs: Thailand’s Economic Crossroads Post-Negotiation” โดยมี นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา เปิดการสัมมนา นายกัมพล สุภาแพ่ง ประธานคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจฯ กล่าวรายงาน พร้อมด้วยสมาชิกวุฒิสภา ผู้แทนภาคเอกชน ภาครัฐ นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าระหว่างประเทศ เข้าร่วม
นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญความผันผวนจากหลายปัจจัย โดยมีประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อประเทศไทย คือ มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อไม่นานมานี้ ทั้งนี้ ไม่เพียงกระทบต่อการส่งออกและโครงสร้างทางการค้าแต่มีผลต่อการจ้างงาน ห่วงโซ่อุปทาน และความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทย ถึงแม้ปัจจุบันไทยได้อัตราภาษีที่ร้อยละ 19 ซึ่งออกมาดีกว่าที่หลายฝ่ายเคยกังวล แต่ก็ไม่ใช่สถานการณ์ที่ดีนัก เพราะสถานการณ์โลกในวันนี้เป็นยุคแบบการค้าเสรีและยุคโลกาภิวัตน์ภายใต้การกีดกันการค้า ตลอดจนสถานการณ์การแข่งขันกับสินค้าต้นทุนต่ำ การเคลื่อนย้ายฐานการผลิตได้ทั่วโลก ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงไป และประเทศไทยต้องเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ทำให้ต้นทุนสินค้าไทยถูกลง ทำให้ผู้บริโภคในประเทศได้บริโภคสินค้าในราคาถูก และส่งออกไปแข่งขันในต่างประเทศได้ นอกจากนี้ ยังต้องผลิตสินค้าที่เป็นที่ต้องการของตลาดและมีมูลค่าสูง รวมถึงผลักดันธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในโครงสร้างการผลิตใหม่ หากสามารถดำเนินมาตรการเหล่านี้ได้อย่างจริงจัง ประเทศไทยจะยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันท่ามกลางกระแสเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนและเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นโอกาสในการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ด้านนายกัมพล สุภาแพ่ง ประธานคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจฯ กล่าวว่า จากนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐอเมริกา หรือ "ภาษีทรัมป์" ซึ่งมีผลบังคับกับสินค้านำเข้าจากหลายประเทศรวมถึงประเทศไทย ได้ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อภาคการส่งออกในหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เหล็ก อลูมิเนียม สิ่งทอ หรือสินค้าเกษตรแปรรูป ผู้ประกอบการต้องเผชิญกับต้นทุนภาษีที่สูงขึ้น ความไม่แน่นอนของคำสั่งซื้อ และการแข่งขันจากประเทศที่มีข้อตกลง FTA กับสหรัฐฯ เพื่อเป็นการรับมือและปรับตัวรองรับกับความท้าทายดังกล่าว จึงได้ร่วมกันจัดสัมมนาในครั้งนี้ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบต่อการส่งออกของไทยในอุตสาหกรรมสำคัญ สร้างความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับแนวโน้มและทิศทางนโยบายภาษีของสหรัฐฯ เปิดเวทีรับฟังข้อเสนอเชิงนโยบายจากผู้ประกอบการ เสนอแนวทางปรับตัวของภาคธุรกิจไทยในด้านการผลิตและการตลาด และ ส่งเสริมการบูรณาการนโยบายระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
ภายในงานสัมมนามีการบรรยายเรื่อง “จากภาษีทรัมป์สู่ภูมิรัฐศาสตร์การค้าโลกใหม่: ทางเลือกและทางรอดของไทยในสงคราม การค้าเชิงโครงสร้าง” โดยรองศาสตราจารย์ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการบริหาร มูลนิธิอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย และรองศาสตราจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นอกจากนี้ เป็นการสัมมนาเรื่อง “จากโต๊ะเจรจาสู่ภาคปฏิบัติ: ถอดบทเรียนภาษีทรัมป์” From Negotiation to Action: Lessons from the Trump Tariff Talks” โดยนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย และกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย ดำเนินรายการโดย นายชิบ จิตนิยม สมาชิกวุฒิสภา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี