ท่ามกลางสถานการณ์ชายแดนไทย กัมพูชา จนถึงวันนี้ ยังไม่มีความไว้วางใจ กำลังพลทหารไทยยังคงตรึงกำลังเตรียมตลอดแนวชายแดนเพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศไทยด้วยความไม่ประมาท ในขณะที่ประชาชนชาวไทยที่อาศัยยังหวาดผวากับการยิงถล่มจากกัมพูชา ในวันที่กลิ่นกระสุนปืนชายแดน ยังคละคลุ้งอยู่ แถมทุกวันนี้ยังมีโดรนบินเข้ามาป่วนอย่างต่อเนื่อง แทบไม่ได้หลับได้นอน ทุกพื้นที่ต้องช่วยกันเฝ้าระวัง
แต่เหนือความคาดหมาย เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม2568 ในเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศกระทรวงมหาดไทยฉบับหนึ่ง ที่ทำให้ผู้คนทั้งประเทศต้องชะงักกับสิ่งที่ได้เห็นขณะประเทศไทยเรายังมีข้อพิพากกับกัมพูชาที่ไม่มีท่าทีที่จะจบลงได้ง่ายๆเลย
โดยเฉพาะ"ประกาศกระทรวงมหาดไทย"ที่เซ็นต์โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงนามเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2568
ใน เรื่อง การยกเว้นข้อห้ามมิให้คนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ มีสาระสำคัญ คือ การผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ซึ่งได้รับอนุญาตให้ทำงานในราชอาณาจักร ตามมาตรา 64 แห่งพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 พำนักและทำงานต่อในประเทศไทยได้อีก 6 เดือน
โดยอ้างอิงตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2568 ด้วยเหตุผล“ด้านมนุษยธรรม”เหตุผลที่รัฐบาลให้ คือ มาตรการควบคุมการผ่านแดนของทั้งสองประเทศ ทำให้แรงงานกัมพูชาที่ทำงานแบบไป-กลับ หรือทำงานเป็นฤดูกาลในเขตชายแดน ไม่สามารถเดินทางกลับประเทศได้ เมื่อสิทธิพำนัก หรือสัญญาจ้างสิ้นสุดลง ดังนั้น เพื่อไม่ให้ตกอยู่ในสภาพค้างคาในไทย จึงเปิดทางให้แรงงานกลุ่มนี้อยู่ต่อไปได้
แต่ทว่าภาพที่ประชาชนจำนวนไม่น้อยได้เห็น กลับไม่ใช่การ“ช่วยเหลือเพื่อนบ้าน”แต่เป็นการยื่นบัตรผ่านให้ประเทศที่เพิ่งทำร้ายประชาชนคนไทยเราบริเวณชายแดน ทั้งที่คราบเลือดของคนไทยบางคนและทหารกล้ายังไม่ทันจาง
จากประกาศกระทรวงมหาดไทยฉบับนี้ ปรากฎว่าในโลกออนไลน์โลกโซเซียลมีเสียงสะท้อนออกมาอย่างรุนแรงมีทั้งถ้อยคำประชดว่า“มนุษยธรรมคงหมดสต็อกในประเทศนี้ เลยต้องส่งไปให้เพื่อนบ้าน”บ้างก็ได้กระแซะอีกว่า“ถ้ายิงมาอีกครั้ง คราวหน้าก็ให้สิทธิอยู่ถาวรเลยดีไหม”
อีกหลายคนมองว่า"นี่คือการตบหน้าผู้สูญเสียในแนวหน้า" ในขณะที่บางโพสต์สั้น กระชับได้ใจมากๆเพียงคำว่า#มนุษยธรรมขายชาติ แต่กลับไหลขึ้นเทรนด์ราวกับไม่ต้องการคำอธิบายเพิ่มเติมอะไรเลย
ในประกาศฯ ยังลงรายละเอียดเงื่อนไขอย่างครบถ้วน ให้แรงงานกัมพูชา ตั้งแต่การอนุญาตให้อยู่ต่อ 6 เดือน การรายงานตัวภายใน 15 วัน และทุก 30 วัน หลังจากนั้น การให้เวลาอีก 7 วัน เพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับ ไปจนถึงเหตุแห่งการสิ้นสุดสิทธิ์ เช่นถูกพิพากษาจำคุก มาตรการชายแดนกลับสู่ภาวะปกติ ฝ่าฝืนข้อกำหนด เดินออกนอกพื้นที่ หรือ ใบอนุญาตทำงานหมดอายุ
ทั้งหมดนี้ อาจดูรัดกุมบนกระดาษ แต่สำหรับคนที่เฝ้าแนวชายแดนในแนวหน้านั้น มันไม่ต่างจากการแขวนป้าย“เชิญชวน”ให้ประเทศที่เพิ่งปล่อยกระสุนยิงกระหน่ำถล่มใส่ประชาชนคนไทยในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนจนต้องอพยพออกจากบ้านหนีตายกันเกือบ2แสนคน เป็นเรื่องที่ทุกคน ยังขวัญผวาอยู่ไม่ไว้วางใจ และไม่รู้จะเกิดยิงถล่มกันอีกเมื่อไหร่
เรื่องนี้ในเชิงโครงสร้าง นี่ไม่ใช่การตัดสินใจเพียงลำพังของผู้ลงนาม นายภูมิธรรม เวชยชัย เท่านั้น แต่เป็นผลของมติคณะรัฐมนตรีทั้งชุด ตามหลักความรับผิดร่วมที่ทุกคน ต้องแบ่งปันภาระและผลจากการตัดสินใจในครั้งนี้ จะกลายเป็นตราบาป ติดไปตลอดกับรัฐบาล ครม.ชุดนี้
หากภายหลังพบว่ามีผลกระทบต่อความมั่นคง ความผิดย่อมไม่หยุดอยู่ แค่ปลายปากกาของนายภูมิธรรม
แต่สุดท้ายจะลามไปถึงทุกรัฐมนตรีที่ในครม. เพราะทุกเสียงเห็นชอบ คือ ห่วงโซ่เดียวกัน นั่งในเรือลำเดียวกัน
แม้ผู้สนับสนุนรัฐบาลหรือพรรคเพื่อไทย อาจรีบยืนยันว่า นี่เป็นการช่วย“ประชาชนผู้บริสุทธิ์”ของกัมพูชาซึ่งดูแล้วเหมือนรัฐบาลจะเป็นห่วงใยแรงงานกัมพูชามากกว่าประชาชนคนไทยและทหารกล้าในแนวหน้า เพราะในสายตาคนไทยทุกคน ต่างให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและศักดิ์ศรีของคนในชาติ
การใช้คำว่า"มนุษยธรรม"ในห้วงเวลาที่คนไทย ยังโศกเศร้ากับร่องรอยกระสุนปืนที่ถูกยิงถล่มโจมตีพลเรือน จนมีคนสูญเสีย บาดเจ็บ จนต้องอพยพจากบ้านเรือนหนีตาย เรื่องนี้จึงถูกมองว่าเป็นเพียงผ้าคลุมที่พยายามบังความจริงว่า เรากำลังเปิดแขนอ้ารับคนจากประเทศที่เพิ่งรุกรานทำให้เลือดคนไทยไหลหลั่งบนแผ่นดินไทยได้อย่างไร
ปฏิกิริยาในสื่อสังคมออนไลน์ จึงไม่เพียงแค่คัดค้านแต่กลายเป็นการประณามอย่างเปิดเผยคำว่า"มนุษยธรรม"ที่หลุดออกมาจากครม.ชุดนี้ จะถูกตีความกลับเป็นสัญลักษณ์ของ“จริยธรรมที่สูญสิ้น”
ในความทรงจำของสังคมไทย หวังว่าไม่มีใครจะลืมไปได้ จะเป็นบันทึกอีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์นี้ จะไม่เพียงถูกจดจำเพียงว่า เป็นประกาศกระทรวงมหาดไทยแต่เป็นหลักฐานของรัฐบาลชุดนี้ที่ทำให้ความชอบธรรมของทั้งคณะรัฐบาล เหมือนเป็นการทุบซ้ำบนบาดแผลของคนไทยทั้งชาติ ที่ยังไม่ทันจางหายจากเหตุการณ์สถานการณ์กัมพูชายิงถล่มโจมตีบริเวณชายแดนครั้งนี้
แน่นอนเรื่องดังกล่าว สิ่งที่รัฐบาลทำก็จะถูกฝังตรึงในใจไปตลอด รวมถึงผลกระทบลึกไปถึงความรู้สึกหวาดผวาที่ไม่อาจจะลืมไปได้ง่ายๆอีกทั้งความสัมพันธ์ของคนทั้งสองประเทศจะไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิมอีกต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี