DSIลุยเขากระโดง
ใช้หลักฐาน‘รฟท.’
ยืนยันแนวเขตที่ดิน
จ่อยกเป็นคดีพิเศษ
“ดีเอสไอ”ลุยสืบสวนคลี่คลายคดีพิพาทที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ เนื้อที่กว่า 5,000ไร่ โดยพิจารณาเป็นคดีฟอกเงินและเตรียมยกระดับเป็นคดีพิเศษ ใช้หลักฐานสำคัญรฟท.แผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาปี2464 ยืนยันแนวเขตที่ดิน ลงพื้นที่บุรีรัมย์เพื่อสอบข้อเท็จจริง เทียบแผนที่ภาพถ่ายดาวเทียมและรวบรวมหลักฐานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ด้านรฟท.ซัดกลางวงกมธ.การปกครอง‘อธิบดีกรมที่ดิน’ชิงใช้อำนาจไม่เพิกถอนที่ดินเขากระโดง ชี้ไม่รอผลสำรวจแบบแปลง ร.ว.9 ลั่นแผนที่ทางรถไฟฯเกิดก่อนกม.เวนคืน
ความคืบหน้ากรณีคดีที่ดินบริเวณเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ ที่ตกเป็นประเด็นพิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินกว่า 5,000ไร่ ล่าสุด มีการเคลื่อนไหวจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่เร่งเดินหน้าสืบสวนข้อเท็จจริง หลังจากนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย พร้อมด้วย นายเดชอิศม์ ขาวทอง รมช.มหาดไทย มีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิการครอบครองที่ดินจำนวน 5,083 ไร่และมอบหมายให้การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) ดำเนินการรื้อถอนตามขั้นตอนทางกฎหมาย
โดยพื้นที่ดังกล่าวครอบคลุมแปลงที่ดินจำนวนมากโดยมีอย่างน้อย 12 แปลงรวมเนื้อที่ประมาณ 288ไร่ที่ปรากฏชื่อเชื่อมโยงกับเครือข่ายธุรกิจของตระกูลชิดชอบซึ่งมีบุคคลในครอบครัวถือหุ้นอยู่ในบริษัทที่ครอบครองที่ดิน สถานการณ์นี้ทำให้พรรคภูมิใจไทยส่งตัวแทนฝ่ายกฎหมายออกมาแถลงคัดค้านคำสั่งของกระทรวงมหาดไทย โดยมีชาวบ้านที่อ้างสิทธิถือครองด้วยเอกสารสิทธิ์หลายรายเข้าร่วม ยืนยันว่าจะไม่ยินยอมออกจากพื้นที่ เพราะเชื่อว่าที่ดินได้มาโดยสุจริต
ด้าน ดีเอสไอซึ่งมีนายภูมิธรรมในฐานะรองนายกฯนั่งเป็นประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ(กคพ.)ได้นำประเด็นการครอบครองที่ดินเขากระโดงเข้าพิจารณาในฐานะคดีฟอกเงิน และอยู่ระหว่างพิจารณายกระดับเป็นคดีพิเศษโดยพิจารณาจากพยานหลักฐานที่ รฟท.ส่งมอบ ซึ่งระบุว่ามีการครอบครองที่ดินมากถึง 995 แปลง รวมทั้งสิ้น 5,083ไร่ ขณะเดียวกันยังมีหน่วยงานของรัฐอีก 12 แห่ง ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่พิพาทนี้ด้วย
คณะพนักงานสืบสวนของดีเอสไอในเรื่องสืบสวนที่ 97/2568ได้ประชุมเมื่อ 6 สิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินคดีโดยเริ่มจากการสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้อง การรวบรวมพยานหลักฐาน และการประสานขอเอกสารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมที่ดินรฟท.และจังหวัดบุรีรัมย์
ต่อมา เมื่อวันที่ 17สิงหาคม พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ ได้มอบหมายให้ พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้อำนวยการกองคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รับผิดชอบสืบสวนคดีนี้เป็นการเฉพาะ โดยผลการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า รฟท.ได้แจ้งครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวต่ออำเภอเมืองบุรีรัมย์ไว้ตั้งแต่ 27 พฤษภาคม 2498 ด้วย ส.ค.1 เลขที่ 1180 รวมพื้นที่ประมาณ 5,083 ไร่
ข้อมูลที่สำคัญ คือ ที่ดินนี้อยู่ภายใต้พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตสร้างทางรถไฟ พ.ศ. 2464ซึ่งถือเป็นการหวงห้ามโดยรัฐและแม้ว่าภายหลังจะมีประชาชนบางรายเข้าไปแจ้ง ส.ค.1ในพื้นที่เดียวกัน แต่ตามกฎหมายแล้ว การแจ้ง ส.ค.1ไม่ได้เป็นการสร้างสิทธิใหม่ หากไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีสิทธิในที่ดินมาก่อน พ.ร.ฎ. 2464 ก็จะไม่สามารถออกเอกสารสิทธิได้
ทั้งนี้รฟท.เคยนำส.ค.1ไปยื่นขอออกโฉนดที่ดินในปี 2530ได้รับการรังวัดออกโฉนดเพียง 13แปลง รวม 477ไร่ ส่วนพื้นที่ที่เหลือยังอยู่ระหว่างรอการพิจารณา เนื่องจากมีปัญหาข้อกฎหมาย ทั้งนี้สำนักงานที่ดินจังหวัดได้มีการแนบหมายเหตุเตือนในสารบบที่ดินว่า เอกสารสิทธิดังกล่าวตั้งอยู่ในเขตที่ดินของ รฟท. และอาจถูกเพิกถอนหากไม่มีหลักฐานที่เพียงพอ
นอกจากนี้ ยังมีนิติบุคคลรายหนึ่งครอบครองที่ดินในเขตนี้มากกว่า 400ไร่ ซึ่งหากพบว่ามีการได้มาซึ่งเอกสารสิทธิไม่ชอบ อาจเข้าข่ายความผิดมูลฐานตามกฎหมายฟอกเงินโดยเฉพาะหากเกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อม หากมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเกี่ยวข้องก็จะถูกดำเนินคดีตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
รายงานข่าวจากดีเอสไอ เผยเพิ่มเติมว่าขณะนี้ได้รับแผนที่หลักฐานจาก รฟท.ครบถ้วนแล้ว รวมถึงแผนที่เก่าจากปี 2465ซึ่งเป็นแผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาโดยจะนำไปเทียบกับภาพถ่ายดาวเทียมที่กรมฯ จัดทำขึ้นใหม่ในอัตราส่วนเดียวกัน เพื่อให้เห็นภาพพื้นที่จริงที่เปลี่ยนแปลงไปพร้อมระบุแนวเขตที่ดินของ รฟท.อย่างชัดเจน
ดีเอสไอลงพื้นที่ตรวจสอบในจ.บุรีรัมย์ ระหว่างวันที่ 19–22 สิงหาคมนี้โดยจะเข้าพบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่นสำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ และหน่วยงานราชการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลและยืนยันข้อเท็จจริง
วันเดียวกัน เวลา 09.30น.ที่รัฐสภา ได้มีการคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การปกครอง สภาผู้แทนราษฎร โดยมี นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ในฐานะประธาน กมธ. เป็นประธานการประชุมซึ่งมีวาระพิจารณาแก้ไขปัญหาแนวเขตที่ดินเขากระโดง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นประเด็นพิพาทระหว่างกรมที่ดินและการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.)โดยได้เชิญ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, อธิบดีกรมที่ดิน, อธิบดีกรมธนารักษ์ และผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย แต่ทั้งหมดได้มอบหมายผู้แทนชี้แจงแทน
โดยนายเจนกิจ เชฏฐวาณิชย์ รองอธิบดีกรมที่ดินกล่าวว่าการได้มาของที่ดินการรถไฟ ต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติการจัดวางทางรถไฟ พ.ศ.2464 และจะมีพระราชกฤษฎีกา กำกับ 2ฉบับ ได้แก่ พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตสร้างทางคร่าว ๆ และให้สำรวจให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี และเมื่อได้แนวเขตที่ชัดเจนแล้ว และมีพระราชกฤษฎีกาจัดซื้อที่ดินฯพ.ศ. 2464 ซึ่งทั้ง 2 ฉบับจะต้องมีแผนที่แนบที่ท้ายในราชกิจจานุเบกษา แต่จากการตรวจสอบกลับไม่ปรากฏแผนที่แนบท้าย จึงไม่ทราบว่าบริเวณที่ที่เป็นปัญหา อยู่ในเขตพระราชกฤษฎีกาจัดซื้อหรือไม่
ด้าน นายเศรษฐสีห์ เหล็งบุญ ผู้ว่าคดีการรถไฟ(ทนายความ) ชี้แจงว่าการออกพระราชกิจจานุเบกษา จะออกเฉพาะข้อความในตัวกฎหมาย แต่ตัวแผนที่จะยังไม่มีการแนบมา เป็นเหตุทำให้อธิบดีกรมที่ดินสงสัยว่าแผนที่ที่การรถไฟฯใช้อ้างต่อศาลมาโดยตลอด และศาลเชื่อเป็นเอกสารแนบท้ายกฎหมายใช่หรือไม่ แต่อธิบดีกรมที่ดินมองว่าไม่ได้อยู่ในส่วนหนึ่งของราชกิจจานุเบกษา จึงทำให้ไม่สนิทใจในการรับฟัง ถือเป็นเรื่องของมุมมอง และต้องมองในบริบทว่าในอดีตเทคโนโลยี ยังไม่ดีเท่าปัจจุบัน
ขณะที่ผู้แทนการรถไฟ ชี้แจงเพิ่มว่า เราดำเนินการสำรวจเพื่อทำแผนที่แสดงเขตว่ามีระยะเท่าไหร่ ยาวเท่าไหร่ ถึง กม.ไหน โดยให้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของพระราชกฤษฎีกา ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ดังนั้นรูปแบบจึงต่างกันจากที่เราเข้าใจในการระบุว่าแผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกา อันนั้นเราคุยกันหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ที่เรามีพระราชบัญญัติเวนคืนที่ดิน ซึ่งกำหนดรูปแบบการเวนคืน ที่ต้องมีพระราชกฤษฎีกา มีแผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกา ซึ่งเกิดขึ้นในยุคหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ผู้ว่าคดีการรถไฟ ยังระบุว่า การประกาศจะสร้างทางรถไฟ ได้มีทีมที่ไปสำรวจเส้นทาง เพื่อจัดทำแผนที่ที่จะทำทางว่า มีระยะกว้างยาวเท่าใด ซึ่งแผนที่ต้องทำเสร็จก่อนที่จะออกกฎหมายอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับการปลูกบ้าน หากไม่มีแบบบ้าน ก็จะไม่ออกมาเป็นไปตามที่ต้องการแน่นอน ดังนั้น แผนที่จึงถือเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมาย แม้จะไม่มีปรากฏตามในราชกิจจานุเบกษา จึงมีหลักฐานยืนยัน ไม่ใช่อยู่ดี ๆ แผนที่ลอยมา และย้ำว่าแผนที่เกิดก่อนกฎหมายด้วยซ้ำ
จากนั้นที่ประชุมได้สอบถามถึงประเด็นหลังจากที่ศาลยุติธรรม มีคำพิพากษาให้ที่ดินเป็นของการรถไฟแล้วนั้น ผู้แทนการรถไฟฯชี้แจงว่ากรมที่ดินได้อ้างว่าไม่ได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งในคดีที่คำพิพากษาศาลฎีกา ระบุให้ที่ดินเป็นของการรถไฟนั้น การรถไฟฯไม่ได้มีเอกสารแผนที่แนบท้ายให้กรมที่ดินในการออกกฎหมาย แต่การรถไฟให้กรมที่ดินเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ แต่กรมที่ดินไม่ใช่คู่ความ จึงให้การรถไฟฯไปใช้สิทธิ์ผ่านศาล แต่ศาลปกครองกลางได้มีคำวินิจฉัยไปแล้ว จึงมีผลผูกพันหน่วยงานรัฐ ฉะนั้นเมื่อศาลตัดสินเป็นที่ดินการรถไฟแล้วจะต้องมีการตั้งคณะกรรมการตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมาย เพื่อตรวจสอบแนวเขตการรถไฟ
ด้านรองอธิบดีกรมที่ดินระบุว่า หลังศาลปกครองกลาง มีคำสั่งให้กรมที่ดิน มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อให้ร่วมกับการรถไฟฯ ตรวจสอบแนวที่ดินบริเวณเขากระโดง เพื่อหาแนวเขตที่ดินที่เป็นของการรถไฟฯตามคำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งผลการดำเนินการดังกล่าว อธิบดีกรมที่ดิน มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามคำพิพากษาศาลปกครองกลางแล้ว เพื่อสำรวจแนวที่ดินของ รฟท.ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของ รฟท.
ขณะที่ผู้แทนรฟท.ชี้แจงว่า ระหว่างที่เราจัดทำแบบ ร.ว.9 (รูปแผนที่กระดาษบางที่จำลองรูปแปลงที่ดิน) และจัดทำข้อโต้แย้งกับที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ ทางอธิบดีกรมที่ดินมีหนังสือ ขอให้การรถไฟส่งเอกสารหลักฐานถึง 3 ครั้ง ทางการรถไฟก็ส่งเอกสารตอบให้ทั้ง 3 ครั้งซึ่งเป็นแผนที่แสดงแนวเขตที่ดินที่เราใช้ในศาล และมีเอกสารโต้ตอบกันอยู่โดยระหว่างที่จัดทำแบบ ร.ว.9ร่วมกันอยู่ อธิบดีกรมที่ดินชิงมีมติก่อนว่าไม่เพิกถอนเนื่องจากไม่มีเอกสารหลักฐานว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินของการรถไฟ
หลังจากนั้นมีหนังสือแจ้งมาที่การรถไฟฯและการรถไฟฯมีการอุทธรณ์คำสั่ง ท้ายที่สุดมีการวินิจฉัยว่าการอุทธรณ์ฟังไม่ขึ้นจึงเป็นเหตุให้การรถไฟฯนำคดีนี้ไปฟ้องเพื่อเพิกถอนคำสั่งของอธิบดีกรมที่ดินที่ศาลปกครอง เนื่องจากอธิบดีกรมที่ดินชิงใช้อำนาจก่อนที่แบบ ร.ว.9จะเสร็จโดยอธิบดีกรมที่ดินมีมติเพิกถอนก่อน ถ้ารออีกไม่กี่วันท่านสามารถใช้เป็นพยานหลักฐานได้ว่า แนวเขตอยู่ในจุดใด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี