วันที่ 22 สิงหาคม 2568 นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก "เอ็ดดี้ อัษฎางค์" ระบุว่า “ภาษากาย” ในศาล
#อัษฎางค์ยมนาค #อ่านเกมอำนาจ
งานวิจัยและบทความเกี่ยวกับ “ภาษากาย” (demeanor evidence) ในศาล พบว่าภาษากายหมายถึงข้อมูลที่สื่อสารออกมาผ่านท่าทาง สีหน้า และการเคลื่อนไหวของร่างกายโดยที่ไม่ใช่คำพูดโดยตรง ซึ่งสามารถนำมาใช้อ่านหรือประเมินความน่าเชื่อถือของพยานหรือผู้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้
โดยมีประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับภาษากายในชั้นศาล ดังนี้
• การใช้ภาษากายในการจับโกหกพยานในชั้นศาลมักอาศัยสัญญาณบางอย่าง เช่น ไม่สบตา เอามือกุมส่วนต่างๆ ของร่างกาย หรือแสดงท่าทางลุกลี้ลุกลน แต่ระดับความน่าเชื่อถือของการใช้ภาษากายนี้ยังเป็นที่ถกเถียง เพราะหลายงานวิจัยพบว่ามีข้อจำกัดและอาจตีความผิดได้
•“ความเครียด” และ “การโกหก” มักทำให้เกิดอาการกายภาพใกล้เคียงกัน
• ทฤษฎี Cognitive Load ระบุว่า การโกหกต้องใช้พลังสมองมากกว่าพูดความจริง เพราะต้อง “กดความจริง – สร้างเรื่องใหม่ – ทำให้สมเหตุสมผล” งานวิจัยเลยพบว่าคนโกหกมักมีภาษากายสะดุด แต่คนพูดความจริงในศาลก็มี cognitive load เช่นกัน เพราะเขากำลัง “กดความกลัว – คุมคำพูด – สู้กับการถูกซัก” ทำให้ร่างกายก็เกร็งไม่ต่างจากคนโกหก
• นักจิตวิทยาพบว่า ท่าทางลักษณะนี้ไม่สามารถใช้แยก “โกหก/พูดจริง” ได้แน่นอน แต่สะท้อนระดับความกดดันทางอารมณ์
• ภาษากายช่วยให้ผู้พิพากษา ทนาย และคณะลูกขุน สามารถตีความอารมณ์ ความรู้สึก สถานะความมั่นใจ หรือความเครียดของผู้เข้าสู่กระบวนการศาลได้ ซึ่งส่งผลต่อการประเมินความน่าเชื่อถือและความสมจริงของถ้อยคำที่กล่าว
• ท่าทางการยืนกุมมือแน่น สีหน้าตึงเครียด และการกัดริมฝีปาก สะท้อนสภาวะ เปราะบางทางจิตใจ ของผู้นำเมื่อถูกนำเข้าสู่บริบทที่ตนไม่สามารถควบคุมได้เต็มที่ (courtroom setting) ซึ่งต่างจากเวทีการเมืองที่ผู้นำเป็นฝ่าย “กำหนด narrative” ได้เอง ดังนั้น ภาษากายในศาลบ่งบอกถึงภาวะผู้นำที่เปราะบาง
• ภาษากายของ แพทองธาร ที่มีพฤติกรรม “ยืนกุมมือแน่น ปลายนิ้วชี้ชนกัน” เป็นสัญญาณของความพยายามควบคุมอารมณ์อย่างเต็มที่ แต่ก็สะท้อนถึง “การขาดความมั่นใจ” และ “ความพยายามสร้างความมั่นคง” ท่ามกลางสถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ สอดคล้องกับทฤษฎีที่ว่าในสถานการณ์ที่บุคคลรู้สึกถูกจำกัดอำนาจหรือถูกบีบคั้น จะเกิดความเครียดด้านจิตใจที่ส่งผ่านเป็นสัญญาณภาษากายอย่างชัดเจน
• สัญญาณทั่วไปในทฤษฎีภาษากายที่แสดงถึงความเครียดและความพยายามปกปิดอารมณ์ภายในที่ว้าวุ่นใจ ซึ่งรวมถึงอาการวิตกกังวลหรือความกลัวที่อาจทำให้บุคคลแสดงออกผ่านภาษากายโดยไม่รู้ตัว
• กรณีนี้ยังสะท้อนความเป็นจริงที่ว่าผู้นำระดับสูง แม้จะดูมีความมั่นใจในสถานการณ์ทั่วไป แต่เมื่อต้องเจอสถานการณ์ที่กลายเป็น “ถูกตรวจสอบ” และ “ถูกกล่าวหา” ในศาล ความเปราะบางภายในจิตใจและแรงกดดันจะถูกแสดงออกมาอย่างเด่นชัดผ่านภาษากายและอารมณ์
• งานวิจัยด้าน political psychology ชี้ว่า ผู้นำเมื่อถูกตรวจสอบหรือตกเป็นจำเลย มักสะท้อนอารมณ์ผ่านภาษากายชัดเจนกว่าสถานการณ์ทั่วไป
• งานวิจัยทางจิตวิทยาการเมืองสนับสนุนว่าอารมณ์ของผู้นำในสถานการณ์วิกฤติ ส่งผลต่อความรุนแรงของสถานการณ์และการตัดสินใจทางนโยบาย
• ในมิติรัฐศาสตร์ ภาษากายในศาลไม่เพียงสะท้อนสภาพจิตใจ แต่ยังส่งผลต่อ การเมืองการรับรู้ (politics of perception) ผู้สนับสนุน อาจมองว่าเป็นสัญญาณของ “ความเข้มแข็งที่อดทนต่อแรงกดดัน” ในขณะที่ ฝ่ายตรงข้าม อาจตีความว่า “เป็นความอ่อนแอหรือกลัวความผิด” ซึ่งนี่คือสิ่งที่เรียกว่า framing battle ภาษากายเดียวกันถูกตีความคนละทาง ขึ้นอยู่กับ narrative ที่แต่ละฝ่ายสร้าง
• ในทางจิตวิทยาการเมือง ผู้นำที่เผชิญวิกฤติและถูกตรวจสอบ หากสามารถเปลี่ยน “เปราะบาง” ให้เป็น “ความจริงใจ” (authenticity) จะกลับกลายเป็นจุดแข็งในสายตาประชาชน
ผู้นำทางการเมือง เมื่อถูกดึงเข้าสู่สนามศาล จะถูกเปิดเผยด้าน “มนุษย์ธรรมดา” มากกว่าด้าน “ผู้นำที่มั่นคง” ภาษากายจึงกลายเป็นหน้าต่างที่ทำให้เห็นว่า อำนาจทางการเมือง ไม่ได้อยู่เหนือ อำนาจทางกฎหมาย และความเปราะบางของผู้นำสามารถกลายเป็นทั้งจุดอ่อนเชิงการเมือง หรือจุดแข็งเชิงความจริงใจ ขึ้นอยู่กับว่าถูก framing อย่างไรในสายตาสังคม
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : 'แพทองธาร' ในห้วงตึงเครียด ภาษากายที่สะท้อนแรงกดดัน (ชมคลิป)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี