'รุจิระ บุนนาค'ชี้ข้อตกลงภาษีแลกหมูมะกันทะลักเข้าไทยอาจทำเกษตรกรไทยล้มละลาย
วันที่ 22 สิงหาคม 2568 รุจิระ บุนนาค เจ้าของคอลัมนิสต์ "กฎ กติกา ธุรกิจ" ของหนังสือพิมพ์แนวหน้า ได้เขียนคอลัมนิสต์ ในหัวข้อ "หมูมะกัน ทะลักเข้าไทย" ว่า (คลิกอ่านต้นฉบับ)
การเจรจาต่อรองภาษีทรัมป์ ระหว่างไทย-สหรัฐ ของคณะทำงานของกระทรวงการคลัง (Team Thailand) ภายใต้การนำของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เข้าเจรจาลดอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐของสินค้าไทยในภาพรวม จากเดิม 36% ลดเหลือ 19% ซึ่งสหรัฐประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2568
อัตราภาษี 19% นี้ เมื่อเป็นข่าวราวกับเป็นความสำเร็จของคณะทำงานฝ่ายไทย ในขณะเดียวกันสื่ออเมริกันได้เสนอข่าวว่าเป็น ความสำเร็จของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่กดดันให้ทั้งไทยและกัมพูชาหยุดยิง โดยใช้อัตราภาษีนำเข้าสหรัฐเป็นตัวต่อรอง
แต่เมื่อพิจารณาถึงอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐใหม่ ที่ใช้บังคับกับหลายประเทศในภูมิภาคแถบนี้จะเห็นว่าส่วนใหญ่อยู่ในอัตราระดับเดียวกัน แสดงว่าสหรัฐมีอัตราภาษีที่เป็นคำตอบในใจอยู่แล้ว
อัตราภาษี 19% ที่ไทยได้มานี้ต้องแลกกับการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐหลายรายการ โดยไทยต้องยกเว้นการเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐ
หนึ่งในรายการสินค้านำเข้าจากสหรัฐที่ได้รับยกเว้นภาษีซึ่งเป็นที่รับรู้ว่าจะก่อให้เกิดปัญหาตามมาในประเทศไทยมากมาย ได้แก่ เนื้อหมู และเครื่องในหมู
ผลกระทบที่เกิดขึ้นมีผลต่อเกษตรกรไทยผู้เลี้ยงหมู เพราะเนื้อหมูจากสหรัฐ เป็นการผลิตแบบเชิงอุตสาหกรรมจำนวนมาก (Mass Product) รวมทั้งมีแหล่งผลิตอาหารเลี้ยงสุกรครบวงจรในราคาถูก โดยเฉพาะ ข้าวโพด ย่อมได้เปรียบ ทำให้การเลี้ยงหมูสามารถทำได้เป็นจำนวนมาก จนเกินความต้องการในสหรัฐ สามารถส่งออกได้เป็นจำนวนมากอีกทั้งราคาเนื้อหมูสหรัฐถูกกว่าราคาเนื้อหมูของไทยเป็นอย่างมาก
ในขณะที่ประเทศไทย ผู้เลี้ยงหมูมีกำลังผลิตได้เพียงพอกับความต้องการภายในประเทศเท่านั้นไม่ได้ทำเป็นอุตสาหกรรม จำนวนมาก (Mass Product) แบบสหรัฐ
ผู้เลี้ยงหมูชาวไทย ยังต้องซื้อข้าวโพด ซึ่งเป็นอาหารสำคัญในการเลี้ยงหมู ในอัตรากิโลกรัมละ 9.00-9.10 บาท โดยประมาณ และไม่สามารถหาซื้อได้ในราคาที่ต่ำกว่านี้ เพราะรัฐบาลไทยพยุงราคาข้าวโพดไม่ต่ำกว่าระดับนี้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด จึงทำให้ผู้เลี้ยงหมูชาวไทยมีต้นทุนในการผลิตที่สูงกว่าผู้เลี้ยงหมูสหรัฐ
ประเด็นที่สำคัญยังมีอีกว่า ประเทศไทยห้ามใช้สารเร่งเนื้อแดง (Ractopamine) ในการเลี้ยงหมูตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค เพราะมีผลต่อปัญหาสุขภาพของผู้บริโภคในเรื่องความดันหัวใจ และหลอดเลือด
ในขณะที่สหรัฐไม่มีข้อห้ามในการใช้สารเร่งเนื้อแดงในการเลี้ยงหมูแต่อย่างใด
ที่น่าเป็นห่วงคือ คนไทยบริโภคเนื้อหมูที่นำเข้าจากสหรัฐแล้ว ยังบริโภคเครื่องในด้วย หากนำเข้าเนื้อหมูและเครื่องในจากสหรัฐ สารเร่งเนื้อแดงจะสะสมอยู่ที่ ตับ และไตของหมูเป็นจำนวนมาก เมื่อรับประทานเข้าไปจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคเรื้อรังอื่นๆ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ซึ่งสังคมไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว
นอกจากนี้ การเลี้ยงหมูในสหรัฐ ยังใช้สารเร่งโตเร็ว ทำให้ต้นทุนในการเลี้ยงหมูต่ำ เนื้อหมูจึงมีราคาถูกมาก สารเร่งโตเร็วมีผลกระทบต่อสุขภาพผู้บริโภคอีกเช่นกัน
การนำเข้าเนื้อหมู และเครื่องในหมูจากสหรัฐ จะทำให้ผู้เลี้ยงหมูในประเทศไทยประสบปัญหาอย่างหนักในระยะเวลาอันใกล้ เพราะจะไม่สามารถแข่งขันด้านราคากับหมูที่นำเข้าจากสหรัฐอาจถึงขั้นขาดทุน เลิกกิจการ หรือล้มละลายในที่สุด ซึ่งจะกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของไทยโดยส่วนรวมด้วย
ที่ผ่านมา คณะเจรจาฝ่ายไทยควรพิจารณาปัญหาให้รอบด้าน และไม่รีบผลีผลามตกลงกับสหรัฐโดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่จะตามมาในอนาคต
รัฐบาลไทยควรรีบกำหนดมาตรการรองรับในเรื่องผลกระทบจากการนำเข้าเนื้อหมูและเครื่องในจากสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็น มาตรการให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูชาวไทย หรือการจำกัดปริมาณหรือโควตาเนื้อหมูและเครื่องในที่นำเข้าจากสหรัฐ
เรื่องปัญหาการนำเข้าเนื้อหมูและเครื่องในหมูจากสหรัฐ อาจเป็นเพียงหนึ่งในหลายๆ ปัญหาที่จะตามมา และเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจไทยโดยไม่คาดคิด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี