ศาลอาญาสั่งยกฟ้องคดีม.112
'เทวดาแม้ว'รอด!
ศาลพิเคราะห์คำพูดจำเลย
ไม่ได้เจาะจงหมายถึงใคร
ทั้งระบุการทำหน้าที่โจทก์
ไม่สมกับภาระการพิสูจน์
ศาลอาญาพิพากษา ยกฟ้อง “ทักษิณ ชินวัตร”คดี ม.112 และพ.ร.บ.คอมพ์กรณีให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้ ศาลชี้คำพูดของจำเลย ใช้แค่คำว่า “เขา” ไม่ได้ระบุเจาะจงหมายถึงใคร อีกทั้งพยานโจทก์เป็นผู้มีอคติต่อ “ทักษิณ” ทั้งการสืบพยานหลักฐานของโจทก์ ไม่สมกับภาระการพิสูจน์ในคดีอาญา ด้าน “ทนายทักษิณ” เผยจากนี้ลูกความจะทำประโยชน์ให้ประเทศชาติเต็มที่ พร้อมยื่นคำร้องเพิกถอนคำสั่งห้ามไปนอก ด้านโฆษกอัยการเผยเป็นอำนาจ’อสส.’อุทธรณ์คดีทักษิณ ม.112หรือไม่?
เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2568 ที่ห้องพิจารณาคดี 902 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์ตัดสินยกฟ้องในคดี ดูหมิ่นสถาบันหมายเลขดำ อ.1860/2567 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยในความผิด ฐานดูหมิ่นสถาบันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ความผิดเกี่ยวกับพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 กรณีเมื่อปี 2558 นายทักษิณ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อทีวีประเทศเกาหลีใต้ พาดพิง ดูหมิ่นสถาบันฯ ซึ่งนายทักษิณ จำเลยให้การปฏิเสธ และได้รับการประกันตัว
โดย ศาลอาญาพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยแล้ว เห็นว่า สำหรับความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ เห็นควรวินิจฉัยก่อนว่า จำเลยเป็นผู้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวตามคลิปวิดีโอ โดยมีเนื้อหาของข้อความตามคำฟ้องหรือไม่
โจทก์ไม่มีคลิปฉบับเต็ม
โจทก์มีพยานซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจและพยานปากนายอนันต์ เหล่าเลิศวรกุล มาเบิกความยืนยันว่าดูคลิปวิดีโอ แล้วเห็นว่าเป็นการกล่าวถ้อยคำให้สัมภาษณ์จำเลยจริง แม้โจทก์ไม่มีคลิปให้สัมภาษณ์ของจำเลยฉบับเต็มมาเป็นหลักฐาน
แต่เมื่อพยานโจทก์ต่างยืนยันว่าคลิปวิดีโอเป็นคลิปให้สัมภาษณ์ของจำเลยบางช่วงบางตอน และพยานโจทก์เห็นว่าสามารถนำมาใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีได้ ส่วนที่จำเลยอ้างว่าเป็นการตัดต่อคลิปวิดีโอ ไม่ปรากฏว่าเป็นการตัดต่อในส่วนใดและส่วนไหนไม่ถูกต้องหรือไม่ตรงกับความจริง จึงเป็นการกล่าวอ้างโดยไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้มาสนับสนุนหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ ประกอบกับจำเลยยังเบิกความตอบโจทก์ถามค้านรับว่า บุคคลและเสียงในคลิปวิดีโอ เป็นจำเลย พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักรับฟังได้ว่า จำเลยให้สัมภาษณ์นักข่าวที่สาธารณรัฐเกาหลี ตามคลิปวิดีโอโดยมีเนื้อหาของข้อความตามคำฟ้อง ไม่ได้เป็นการตัดต่อหรือเสริมแต่งเพื่อใส่ความให้ร้ายจำเลย
ในส่วนของข้อความที่จำเลยให้สัมภาษณ์ตามฟ้องนั้นเป็นการพูดหรือแสดงหรือพาดพิงหรือทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นการกล่าวถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้่อยู่หัวรัชกาลที่ 9 อันมีลักษณะเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อองค์พระมหากษัตริย์หรือไม่
วิเคราะห์องค์ประกอบคดีหมิ่น
เห็นว่า ข้อความที่จะถือว่าเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทนั้น จะต้องได้ความว่าการใส่ความนั้นระบุถึงตัวบุคคลผู้ถูกใส่ความ หรือเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงที่รู้ได้แน่นอนว่าบุคคลที่ถูกใส่ความเป็นใคร หรือหากไม่ระบุถึงผู้ที่ถูกใส่ความโดยตรงการใส่ความนั้นก็ต้องได้ความว่าหมายถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
ส่วนการดูหมิ่น ต้องพิจารณาว่าถ้อยคำที่กล่าวเป็นการดูถูกเหยียดหยาม หรือสบประมาทผู้ที่ถูกกล่าวถึงขนาดทำให้อับอายหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นก็ถือได้ว่าเป็นการดูหมิ่นแล้ว อีกทั้งความผิดฐานหมิ่นประมาทและดูหมิ่นผู้อื่นด้วยการใช้ข้อความหรือคำพูด ก็ต้องพิจารณาด้วยว่า เมื่อวิญญูชนโดยทั่วไปได้พบเห็น หรือได้อ่านหรือได้ยินข้อความนั้นแล้ว จะส่งผลให้ผู้ถูกกระทำเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังหรือไม่ เมื่อพิจารณาข้อความหรือถ้อยคำให้สัมภาษณ์ของจำเลยมิได้ใช้คำว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9” โดยตรง และไม่ได้ใช้ถ้อยคำสรรพนามที่อ้างถึงบุคคลที่สามโดยมีคำราชาศัพท์หรือถ้อยคำที่สามารถระบุเฉพาะเจาะจงให้เข้าใจได้ว่าหมายถึงพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด หากแต่ใช้คำสรรพนามบุรุษที่ 3 ว่า “เขา” เรียกแทนบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือบุคคลอื่นหลายคนรวมกัน และยังมีคำว่า “องคมนตรี” “ทหาร” “Palace Circle” และ “คนในวัง”ล้วนแต่อยู่ในประโยคคำให้สัมภาษณ์ของจำเลย
พยานโจทก์มีอคติต่อจำเลย
เห็นว่า พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาที่โจทก์นำมาเป็นพยานเพียงปากเดียว กับพยานบุคคลภายนอกที่โจทก์อ้างมา ล้วนแต่เข้าร่วมชุมนุมขับไล่จำเลยทางการเมือง อันส่อแสดงให้เห็นว่าเป็นผู้มีอคติต่อจำเลย จึงมีข้อสงสัยถึงความเป็นกลางและต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง พยานบุคคลดังกล่าวของโจทก์จึงไม่อาจแสดงให้เชื่อได้ว่าวิญญชนทั่วไปจะตีความข้อความที่จำเลยกล่าวไปในลักษณะที่พยานเหล่านั้นเข้าใจ ส่วนพยานที่เป็นเจ้าพนักงานตำรวจของโจทก์ก็ต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากพยานเบิกความตอบคำถามค้านสอดคล้องกันว่า ในระหว่างการดำเนินคดีกับจำเลยนั้น
ความจริงพยานต่างเห็นว่าพยานหลักฐานไม่เพียงพอที่จะสั่งฟ้องจำเลยได้ เพราะคลิปวิดีโอของกลางไม่อาจยืนยันได้ว่าเป็นต้นฉบับ ทั้งไม่สามารถสืบหาบุคคลที่นำคลิปลงเผยแพร่ในระบบคอมพิวเตอร์ ประกอบกับเมื่อพิจารณาเพจแอปพลิเคชันเฟซบุ๊กและเว็บไซต์ยูทูบ ที่นำคลิปวิดีโอให้สัมภาษณ์ของจำเลยมาเผยแพร่ลงในระบบคอมพิวเตอร์
พบว่าบุคคลที่นำมาเผยแพร่ซึ่งเป็นคนที่ได้รับฟังคลิปวิดีโอมาตั้งแต่แรก ล้วนเข้าใจตรงกันว่าจำเลยให้สัมภาษณ์โจมตีการยึดอำนาจและรัฐประหาร โดยพาดพิงถึงนายสุเทพกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ และองคมนตรีเท่านั้น
ไม่ได้เข้าใจว่าถ้อยคำให้สัมภาษณ์นั้นจะพาดพิงหรือสื่อความหมายหรืออ้างว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติรัฐประหาร พยานหลักฐานทั้งหมดที่โจทก์นำสืบมา จึงยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่า จำเลยกล่าวข้อความตามคำฟ้องโดยเจตนาหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 หรือเมื่อวิญญูชนทั่วไปได้พบเห็นหรืออ่านข้อความที่จำเลยกล่าวแล้วจะเข้าใจได้ว่าหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9
ไม่สมกับภาระการพิสูจน์
ในขณะที่การสืบพยานหลักฐานของโจทก์ไม่สมกับภาระการพิสูจน์ในคดีอาญาว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาจึงไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยในความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ตามฟ้อง
ท้ายคำพิพากษาระบุว่า สำหรับข้อหาร่วมกันแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องแต่มิได้นำพยานหลักฐานใดๆมานำสืบเกี่ยวกับข้อหานี้เลย จึงรับฟังไม่ได้
สำหรับความผิดฐานร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรตามประมวลกฎหมายอาญาหรือไม่ เห็นว่า เมื่อพยานหลักฐานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่า คำให้สัมภาษณ์ของจำเลยเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ จำเลยจึงไม่มีความผิดในข้อหานี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ระหว่างที่นายทักษิณ เดินทางลงบันไดศาล มีสีหน้ายิ้มแย้ม และพูดเบาๆ ว่า “ยกฟ้อง”ได้โบกมือทักทายคนที่มารอ ก่อนขึ้นรถยนต์เบนท์ลี่ สีดำ ทะเบียน ฐฐ 267 เดินทางกลับทันทีโดยมีมวลชนเสื้อแดง ประมาณ100คนโห่ร้องด้วยความดีใจ.
"แม้ว"เตรียมเดินทางไปนอก
ภายหลัง นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ ให้สัมภาษณ์ว่า ศาลยกฟ้องนายทักษิณโดยใช้เหตุผลหลากหลายเหตุผล และการพิสูจน์ของโจทก์ไม่สมกับภาระการพิสูจน์ตามฟ้อง โดยเรื่องนี้จากการสัมภาษณ์ที่เกาหลีใต้ศาลได้ใช้หลักการในการชั่งน้ำหนักตัววัตถุพยาน ศาลเชื่อว่ามีการสัมภาษณ์จริงที่นั่น แต่บทสัมภาษณ์มีมากกว่าที่ปรากฏอยู่ภายในคลิปวิดีโอซึ่งเป็นบางส่วนและมีถ้อยคำตรงกัน เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธ จึงไม่ใช่หน้าที่จำเลยที่ต้องพิสูจน์ให้ชัดเจนว่าเป็นการตัดต่อหรือไม่ เพราะส่วนนี้เป็นหน้าที่ของโจทก์ แต่เมื่อโจทก์ไม่ได้พิสูจน์ให้ชัดเจนว่าไม่ได้ตัดต่อ ซึ่งศาลรับฟังด้วยความระมัดระวังและเห็นว่าน่าเชื่อว่ามีการสัมภาษณ์ แต่การสัมภาษณ์ดังกล่าวจะสามารถตีความและรับฟังได้ว่าหมายถึงบุคคลตามมาตรา 112 หรือไม่นั้น
เผยทักษิณใช้คำพูดว่า”เขา”
ศาลพิจารณาประกอบด้วยหลักไวยากรณ์ ตามหลักไวยากรณ์ มีประธาน กริยาและกรรม ซึ่งศาลท่านมองว่าประธานเป็นบุคคลที่ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าเป็นบุคคลตามมาตรา 112 แม้จะมีสรรพนามว่า”เขา” ซึ่งพยานบางปากนำมาตีความพิจารณาโดยใช้หลักอะไรของพยานแต่ละคนก็ตามศาลเห็นว่ารับฟังได้น้อยมากไม่น่าเชื่อถือ เนื่องจากพยานที่เป็นพยานความเห็นมีอคติ ซึ่งฝั่งจำเลยก็พิสูจน์ว่าพยานความเห็นเคยแสดงออกทางเมืองอย่างไรบ้างในอดีต มีใครให้การแบบขัดแย้งและไม่เป็นกลางในชั้นสอบสวนและชั้นศาลบ้าง บางถ้อยคำก็นึกคำขึ้นเอาเองว่าตัวนายทักษิณ น่าจะพูดแบบนั้น เพื่อให้แปลความว่าหมายถึงบุคคลตามมาตรา 112
นายวิญญัติ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ศาลยังใช้พจนานุกรมของต่างประเทศ ว่าความหมายตามที่ปรากฎในคำฟ้องหมายถึงอะไรบ้าง ตนไม่ขอลงรายละเอียดในส่วนนี้ แต่รับฟังได้ว่าความหมายดังกล่าวไม่ได้หมายถึงพระมหากษัตริย์ เมื่อเป็นเช่นนั้นองค์ประกอบความผิด องค์ประกอบภายนอก จึงไม่เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 112 และองค์ประกอบที่เป็นการกระทำต้องทำให้เข้าใจว่าหมายถึงบุคคลใด
เผยอดีตนายกฯปฎิเสธหนักแน่น
นายวิญญัติ กล่าวอีกว่า ศาลยังเห็นว่าพยานที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ของฝ่ายจำเลย มีความรู้ และเชี่ยวชาญ ได้แปลความและพยานที่จำเลยอ้างทั้งหมดและตั้งแต่ต้นนายทักษิณก็ปฏิเสธอย่างหนักแน่นอยู่แล้ว จึงเป็นภาระการพิสูจน์ของฝ่ายโจทก์ ทั้งเรื่องของการนำคลิปวิดีโอมา การแปลความ น่าเชื่อถือหรือไม่ และเรื่องการสอบสวนในอดีตว่ามีความเป็นมาเป็นอย่างไร
เมื่อถามว่ามีความกังวลใจที่อัยการยื่นอุทธรณ์ในชั้นต่อไปหรือไม่ นายวิญญัติ กล่าวว่า คดีนี้ศาลยกฟ้อง การอุทธรณ์เป็นหน้าที่ของอัยการซึ่งเป็นโจทก์ แต่เรื่องนี้ข้อเท็จจริงค่อนข้างชัดเจนแล้ว ตนยืนยันว่าไม่กังวลถ้าจะมีการอุทธรณ์ ทางทีมทนายความก็มีหน้าที่แก้อุทธรณ์
“อย่างที่ตนได้บอกไป การอุทธรณ์ไม่ใช่จะสักแต่จะอุทธรณ์อย่างเดียว ต้องดูว่ามีสาระสำคัญหรือข้อกฎหมายที่ควรจะอุทธรณ์หรือไม่ ตนทำคดีการเมืองมาหลายเรื่องก็ไม่เห็นว่าจะมีการอุทธรณ์ทุกเรื่อง เดี๋ยวสังคมก็ไปกดดันว่าจะต้องให้อัยการอุทธรณ์เหมือนกับที่กดดันให้ดำเนินคดีนายทักษิณ และความเห็นของสังคมที่ทำลายและแย่งชิงอำนาจซึ่งตนไม่อยากใช้คำว่าเป็นเรื่องการเมือง เพราะนี่คือปัญหาของกระบวนการยุติธรรมในปัจจุบัน ตนจึงไม่อยากให้ศาลตกเป็นเครื่องมือของความขัดแย้ง”
พร้อมทำคุณประโยชน์ให้ชาติ
เมื่อถามว่าภายหลังจากศาลพิพากษายกฟ้องนายทักษิณมีท่าทีอย่างไรบ้าง นายวิญญัติ กล่าวว่านายทักษิณยิ้ม พร้อมกล่าวขอบคุณทีมทนายความ พร้อมบอกว่าหลังจากนี้จะได้ทำคุณประโยชน์และทำงานเพื่อประเทศชาติอย่างเต็มที่
ส่วนบรรยากาศในช่วงการฟังคำพิพากษา นายทักษิณมีท่าทางเรียบเฉยและใช้สมาธิในการฟังคำพิพากษาของศาล และเมื่อศาลอ่านถึงท่อนที่ว่าพยานโจทก์ไม่มีนำหนักเพียงพอ นายทักษิณยิ้มและดีใจ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติของผู้ที่ตกเป็นจำเลยอยู่แล้ว โดยเฉพาะข้อกล่าวหานี้ที่ตนมองว่าเป็นข้อกล่าวหาที่นำมาเล่นงานนายทักษิณและเจ้าตัวก็ตกเป็นเหยื่อ ตอนนี้ก็ถือว่าได้พิสูจน์ตัวเองและเดินเข้าสู่กระบวนการอย่างเต็มที่ซึ่งผลก็ออกมาตามที่ทุกคนเห็นในวันนี้
ร้องเพิกถอนคำสั่งห้ามไปนอก
เมื่อถามว่าหลังจากนี้นายทักษิณจะสามารถเดินทางออกนอกประเทศได้หรือไม่ นายวิญญัติ กล่าวว่า ตอนนี้ข้อหานี้ยกฟ้องแล้ว ถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ คำสั่งขออกนอกประเทศหลังจากนี้ทีมทนายความจะยื่นคำร้องเพิกถอนในเร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน ส่วนการเดินทางไปในช่วงนี้หรือไม่นั้น นายทักษิณคงไม่เดินทางไปในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน
เมื่อถามว่าภายหลังจากนี้มีอะไรอยากฝากถึงสังคมว่าภายหลังจากที่ยกฟ้องแล้วสามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ สังคมจะกังวลว่าจะมีการหลบหนีก่อนที่จะนัดฟังคำสั่งคดีชั้น 14 หรือไม่ นายวิญญัติ กล่าวว่า นายทักษิณยืนยันว่าจะเข้าฟังการนัดฟังคำสั่งคดีชั้น 14 อย่างแน่นอน บุคคลที่ชอบคิดว่านายทักษิณจะหนี หรือเอาผลประโยชน์เข้าครอบครัว ตนคงไม่กราบวิงวอนบุคคลเหล่านี้ให้เลิกคิด เพราะเป็นไปได้ยาก ซึ่งบุคคลเหล่านี้มักจะอาศัยกินบุญเก่า คิดว่าตนพูดแล้วจะมีคนฟังหรือเป็นเรื่องจริงทุกอย่าง อันนี้อยู่ที่สติปัญญาของบุคคลในสังคม และอยากฝากบุคคลในสังคมให้ใช้สติปัญญาในการรับฟังบุคคลกลุ่มนี้ด้วย ที่ผ่านมาก็พิสูจน์อยู่แล้วว่านายทักษิณไม่ได้หลบหนีและสู้คดีดังกล่าวมาโดยตลอด.
"สมชาย"บอกทักษิณเป็นคนดี
ก่อนหน้านี้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี น้องเขยนายทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า จากที่ตนใกล้ชิดนายทักษิณพอสมควร เห็นว่าท่านเป็นคนที่จงรักภักดีและ เทิดทูลสถาบันสถาบันอย่างยิ่ง ส่วนศาลจะตัดสินอย่างไรต้องรอฟัง เราไม่สามารถไปก้าวล่วงได้
ส่วนมีความกังวลเกี่ยวกับคดีชั้น 14 รพ.ตำรวจหรือไม่ นายสมชาย ระบุว่า เรื่องดังกล่าวนี้ท่านก็ทำตามขั้นตอน เมื่อผ่านกระบวนการของศาล ก็เข้าสู่กระบวนการรับโทษ ซึ่งเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ว่าจะดำเนินการอย่างไร และหากศาลจะพิจารณาอย่างไรเราก็เคารพ เพราะถือว่าเป็นกระบวนการยุติธรรม แต่ส่วนตัวไม่สามารถออกความผิดได้
เมื่อถามว่ามีความเป็นห่วงในคดีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีด้วยหรือไม่ ที่จะมีการนัดฟังวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญคำพิพากษาในวันที่ 29 สิงหาคม นี้นั้นนายสมชาย ระบุว่า อย่างที่ตนเคยบอก นางสาวแพทองธาร ทำเพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองและประชาชน การรักษาอธิปไตยของคนไทยทุกคนรวมถึงตัวท่านด้วย ในฐานะผู้นำประเทศต้องรักษาเต็มที่อยู่แล้ว ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเสียดินแดน เพราะทหารดูแลอยู่ แต่เมื่อเกิดเรื่องมาแล้วก็ต้องดำเนินการตามกฎกระบวนการที่กฎหมายตราไว้ พร้อมย้ำว่าหากศาลว่าอย่างไรก็ต้องเป็นไปตาม
ชี้อำนาจอสส.ยื่นอุทธรณ์คดี
ด้านนายศักดิ์เกษม นิไทรโยคโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยภายหลังศาลอาญามีคำพิพากษายกฟ้องคดี ม.112 นายทักษิณ ว่าหลังจากนี้พนักงานอัยการเจ้าของสำนวนจะต้องไปขอคัดถ่ายคำพิพากษาพร้อมคำเบิกความมาเพื่อพิจารณาทำความเห็นว่าควรยืายอุทธรณ์หรือไม่ไปยัง สำนักงานคดีอัยการสูงสุดพิจารณากลั่นกรอง และทำความเห็นต่อไป ยังรองอัยการสูงสุด(รองอสส.)ที่มีหน้าที่ดูแลในเรื่องนี้ ซึ่งรอง อสส. ก็จะทำความเห็นส่งไปให้อัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณาลำดับสุดท้ายว่าจะยื่นอุทธรณ์คดีต่อหรือไม่ภายใน 30 วันซึ่งหากครบกำหนดเเล้วอัยการสูงสุดยัง พิจารณายังไม่แล้วเสร็จก็ อาจจะมีการขยายระยะเวลาก็ได้ โดยปกติก็จะขอขยายครั้งละ 30 วัน สำหรับคดีนี้เป็นคดีนอกราชอาณาจักรผู้ที่มีอำนาจพิจารณายื่นอุทธรณ์จะเป็นอำนาจอัยการสูงสุด
"ภูมิธรรม"ยันเทวดาบริสุทธิ์
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ศาลอาญายกฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีความผิดมาตรา 112 จะเป็นผลบวกต่อรัฐบาลหรือไม่ ว่า ตนเพิ่งทราบว่าพ้นเรื่องมาตรา 112 ไปแล้ว และศาลได้ยกฟ้องเพราะไม่มีข้อมูลที่เป็นจริงในการพิจารณา ดังนั้นถือเป็นข้อยุติ ศาลพิจารณาเป็นเรื่องๆ อย่าไปผูกโยงกัน ไม่เช่นนั้นจะเป็นการละเมิดอำนาจศาล
เมื่อถามว่า หมายความว่าอย่าเอาคำพิพากษาของศาล มาผูกกับสัญญาณการเมืองใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่มีสัญญาณทางการเมืองหรอก แต่คือความเป็นจริง ที่ศาลพิจารณาตามความเหมาะสม
เมื่อถามว่า ผลออกมาแบบนี้ จะทำให้ขวัญกำลังใจของสมาชิกพรรคเพื่อไทยดีขึ้นหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ขวัญและกำลังใจสมาชิกพรรคเพื่อไทยดีมาตลอด เพราะเรามั่นใจในสิ่งที่ทำ ว่าไม่มีอะไรที่ผิดกฎหมาย
เมื่อถามว่า จากคดีความต่างๆ ขณะนี้ มั่นใจใช่หรือไม่ว่ารัฐบาลจะอยู่จนครบวาระ นายภูมิธรรม กล่าวว่า มั่นใจว่าเราบริสุทธิ์ใจ เราตั้งใจบริหารและทำประโยชน์ให้ประเทศชาติ เพราะฉะนั้น เมื่อเรารับอาสามาแล้ว เราจะทำให้ดีที่สุด อะไรที่เกิดขึ้นและเป็นปัญหาคดีความ ก็ขอให้ว่าไปตามกระบวนการทางกฎหมาย ไม่ได้มีผลอะไรต่อเรา เพราะเรารู้ว่าศาลใช้ดุลยพินิจ พิจารณาตามความยุติธรรมอย่างเหมาะสม
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.วัฒนธรรม เดินทางไปชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ กรณีคลิปเสียงสนทนากับ ฮุน เซน ได้พูดคุยกับนายกฯ หลังจากนั้นหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ยังไม่ได้พูดคุยกันเลย เพราะเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ตนทำงานจนดึก วันนี้ก็ตื่นสายหน่อย เพราะตื่นเช้ามาหลายสัปดาห์แล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี