รัฐบาลเร่งเครื่องแก้หนี้! พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ชี้ ร่าง พ.ร.บ. ล้มละลายฉบับใหม่ มุ่ง 'ฟื้นฟู' มากกว่า 'ลงโทษ' ครอบคลุมทั้งธุรกิจและประชาชน ย้ำกฎหมายใหม่ไม่ใช่แค่แก้คำ แต่คือการปฏิรูปโครงสร้างครั้งใหญ่
23 ส.ค. 68 พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่) พ.ศ. ... ได้เข้าร่วมและกล่าวปาฐกถาพิเศษในการสัมมนาประเด็นร่วมสมัยวิชาการ ครั้งที่ 4 ในหัวข้อ "นโยบายและกฎหมายของรัฐกับการแก้ไขกฎหมายฟื้นฟูกิจการธุรกิจและการฟื้นฟูฐานะบุคคลธรรมดา" ของสถาบันพระปกเกล้า โดยย้ำถึงความสำคัญของการปฏิรูปกฎหมายล้มละลายครั้งใหญ่ เพื่อเป็นเครื่องมือในการแก้ไขวิกฤตหนี้สินของชาติ และเปิดโอกาสให้ผู้ประสบปัญหาทั้งภาคธุรกิจและประชาชนได้กลับมาเริ่มต้นใหม่อย่างมีศักดิ์ศรี
พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า สถานการณ์หนี้สินของไทยอยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง โดยมีหนี้สินในระบบบังคับคดีรวมกว่า 18 ล้านล้านบาท และเมื่อรวมกับคดีล้มละลายที่มีมูลค่าหนี้กว่า 7.8 ล้านล้านบาท จะทำให้ยอดหนี้ในระบบยุติธรรมสูงถึง 25 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 8 เท่าของงบประมาณประจำปีของประเทศ ซึ่งตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงความทุกข์และความเปราะบางทางเศรษฐกิจและสังคมที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน การสัมมนาครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่ง เนื่องจากร่าง พ.ร.บ. ล้มละลายฯ ได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการฯ ถึง 23 ครั้ง และกำลังจะเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่ 3 ของสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 3 กันยายนนี้
พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เน้นย้ำว่านี่ไม่ใช่เพียงการแก้ไขถ้อยคำในกฎหมาย แต่เป็นการ "ปฏิรูปโครงสร้างกฎหมายล้มละลายครั้งสำคัญ" ที่จะเปลี่ยนแนวคิดจาก "การลงโทษ" ไปสู่ "การฟื้นฟู" โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเป็นธรรมและเสถียรภาพให้กับระบบเศรษฐกิจในอนาคต
[ขยายกลไกฟื้นฟูจากบริษัทใหญ่สู่ SMEs และประชาชน]
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า กลไกการฟื้นฟูกิจการที่ใช้ในปัจจุบันประสบความสำเร็จในการช่วยเหลือบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่ง เช่น สายการบิน โรงแรม หรือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ให้สามารถปรับโครงสร้างหนี้และกลับมาดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ซึ่งช่วยรักษาการจ้างงานและทำให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้มากกว่าการปล่อยให้ล้มละลาย
อย่างไรก็ตาม กลไกนี้ยังไม่ครอบคลุมถึงผู้ประกอบการ SME ซึ่งมีกว่า 3.2 ล้านราย และมีจำนวนกว่า 2.1 ล้านรายที่กำลังเผชิญปัญหาหนี้ค้างชำระอย่างหนัก ร่างกฎหมายใหม่จึงมุ่งเปิดช่องทางให้ SME สามารถเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น เช่น ให้มีผล Automatic Stay หรือการพักชำระหนี้ทันทีที่ศาลรับคำร้อง และเปิดโอกาสให้ศาลมีอำนาจอนุมัติแผนฟื้นฟูได้แม้จะได้รับมติไม่ครบ หากเห็นว่ามีความเป็นธรรมและสมเหตุสมผล
นอกจากนี้ ร่างกฎหมายยังได้ "ขยายกลไกฟื้นฟูสู่บุคคลธรรมดา" เป็นครั้งแรก เพื่อช่วยเหลือกลุ่มคนที่เปราะบางที่สุดในสังคม เช่น เกษตรกร ข้าราชการ หรือผู้ประกอบการรายเล็ก ที่มีหนี้สินเพื่อการดำรงชีพ ซึ่งหากปล่อยให้ล้มละลายจะส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงาน ศักดิ์ศรี และครอบครัวโดยตรง
[หลักการสำคัญของกฎหมายใหม่: สร้างโอกาสครั้งที่สอง]
พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้กล่าวถึงหลักการสำคัญของร่างกฎหมายใหม่นี้ โดยมุ่งเน้นที่การ "สร้างโอกาสครั้งที่สอง" ให้กับประชาชนที่ประสบปัญหาหนี้สินอย่างสุจริต:
* ขยายกลไกฟื้นฟูสู่บุคคลธรรมดา: เปิดโอกาสให้บุคคลธรรมดาที่สุจริตและมีรายได้ต่อเนื่องสามารถยื่นขอฟื้นฟูได้
* แยกกระบวนการฟื้นฟูกับการล้มละลาย: ลูกหนี้ที่ปฏิบัติตามแผนฟื้นฟูจนสำเร็จจะไม่ถูกตราหน้าว่าเป็นบุคคลล้มละลาย
* ปกป้องผู้ค้ำประกัน: ลดการลุกลามของปัญหาหนี้จากบุคคลหนึ่งไปสู่ครอบครัว
* ยึดหลักความสุจริต: ให้โอกาสปลดหนี้แก่ลูกหนี้ที่ตั้งใจชำระหนี้อย่างแท้จริง
พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวปิดท้ายด้วยการเน้นย้ำว่า กฎหมายที่ดีไม่ใช่กฎหมายที่ลงโทษได้แรงที่สุด แต่คือกฎหมายที่ “พาคนล้ม ลุกขึ้นมาได้อย่างสง่างาม” ซึ่งร่างกฎหมายฉบับนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะช่วยให้ประชาชนและธุรกิจที่ประสบปัญหาได้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง และหวังว่าการปฏิรูปกฎหมายครั้งนี้จะไม่เพียง “ผ่านในรัฐสภา” แต่จะ “ผ่านในหัวใจของประชาชนไทย” ด้วยเช่นกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับการสัมมนาประเด็นร่วมสมัยวิชาการ ครั้งที่ 4 ในหัวข้อ "นโยบายและกฎหมายของรัฐกับการแก้ไขกฎหมายฟื้นฟูกิจการธุรกิจและการฟื้นฟูฐานะบุคคลธรรมดา" ของสถาบันพระปกเกล้า ในวันนี้มีผู้ร่วมอภิปรายประกอบด้วย นายพิชัย นิลทองคำ, ดร.พรภัทร์ ตันติกุลานันท์, อาจารย์สฤนี อาชวานันทกุล และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. นิสิต อินทมาโน ฯลฯ โดยมีนักศึกษาสถาบันพระปกเกล้า และประชาชนที่สนใจ เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี