ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 วินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ จากคดีคลิปเสียงสนทนากับ สมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาของกัมพูชา เป็นการทำผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568
การหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ แพทองธาร ชินวัตร ไม่ใช่เพียง แค่การสูญเสียตำแหน่ง ผู้นำประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดประตูไปสู่วิบากกรรมทางกฎหมายและการเมืองที่รออยู่เบื้องหน้าซึ่งอาจส่งแรงสั่นสะเทือนถึงพรรคเพื่อไทย และตระกูลชินวัตร อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
คดีนี้จะเป็นบรรทัดฐานที่ดีต่อไป
พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา สมาชิกวุฒิสภา หนึ่งใน36 ผู้ร้องในคดีดังกล่าว กล่าวว่าคำพิพากษาเป็นไปตามข้อเท็จจริง ซึ่งศาลพูดถึง2ครั้งว่า ย่อมรู้ด้วยวิญญูชน เรื่องนี้เป็นการทำหน้าที่ตามความความรับผิดชอบ ไม่ได้มีอะไรมากกว่านี้ ถือเป็นบทเรียนสำคัญของผู้ดำรงแหน่งนายกรัฐมนตรีและจะเป็นบรรทัดฐานที่ดีต่อไป
ขณะที่ นายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) กล่าวว่า เรื่องนี้ชัดเจน คือเป็นการทำผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง การที่นายกฯ แถลงไต่สวนหรือกล่าวอ้างใดๆก็ได้
“ปรากฏชัดแล้วตามคำวินิจฉัยของศาล ซึ่งมีรายละเอียดครบถ้วน ซึ่งตนคิดว่าเป็นคำแถลงที่ตรงไปตรงมาที่สุด เพราะคำร้องนี้ มีการร้อง 2 ประเด็น ถือร้องตาม (4)ไม่ซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ และการผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง ในตำแหน่งหน้าที่นายกรัฐมนตรี ไม่รักษาเกียรติภูมิของประเทศ มีส่วนได้เสีย ตามที่พวกเราได้รับทราบ และพวกตนก็ยืนยันมาตลอดว่านายกรัฐมนตรี มีความคิดในส่วนนี้”
คำวินิจฉัยชัดเจนส่งให้ป.ป.ช.ลุยดำเนินคดีอาญาดาบสอง
นายสมชาย กล่าวว่า มันมีตั้งแต่กรณีคดีของ นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็ชัดเจน และศาลบรรยายพฤติการณ์ทั้งหลาย ในกรณีที่โทรศัพท์ของนายกรัฐมนตรี มีส่วนได้เสียปกป้องผลประโยชน์ส่วนตัว มากกว่าผลประโยชน์ของชาติ ในเรื่องของคะแนนนิยม เรื่องการถูกไล่ไปเป็นนายกฯเขมรอยู่แล้ว อันนี้ก็ชัด ในเนื้อหาการเจรจาเราก็เห็นว่า เป็นการยอมรับข้อเสนอของ ฮุน เซน ทั้งนั้น ไม่ได้มีข้อเสนอของฝ่ายไทยเลย
ดังนั้น ศาลวินิจฉัยโดยชอบแล้ว คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จะผูกพันทุกองค์กรซึ่งคดีที่ค้างอยู่ก็มีเรื่องที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ที่สว.ปัจจุบัน ไปร้องผิดจริยธรรมและมีเรื่องที่ตนเองและคณะที่ไปร้องและมีประชาชนอื่นไปร้องตนเชื่อว่าคำวินิจฉัยก็เข้าในประเด็นที่ร้องอยู่แล้วป.ป.ช.ก็คงจะเร่งดำเนินการเรื่องคดีอาญาต่อไป
เมื่อถามว่า หลังเสร็จสิ้นคดีนี้แล้วจะมีการเคลื่อนไหวทางการเมือง ในฐานะกลุ่มรวมพลังแผ่นดินอย่างไรหรือไม่ นายสมชาย กล่าวว่า ตนยังตอบไม่ได้ เพราะเขามีการประชุมช่วงเที่ยง ซึ่งตนมาฟังการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
วิบากกรรมทางกฎหมายที่ยังไม่สิ้นสุด
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในคดีคลิปเสียง ถือเป็นคำตัดสินที่ผูกพันทุกองค์กรและหากมีการส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการป.ป.ช.ที่กำลังไต่สวนอยู่ จะยิ่งทำให้กรณีนี้ มีความชัดเจนมากขึ้น เมื่อเข้าสู่ขั้นตอนทางกฎหมายอาญา หาก ป.ป.ช.มีมติส่งฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมือง โทษที่จะตามมาอาจรุนแรงยิ่งกว่าการพ้นตำแหน่งทางการเมือง เพราะเกี่ยวพันถึงคุกตะราง และการถูกตัดสิทธิ์เลือกตั้งยาวนาน
จุดนี้ทำให้ แพทองธาร แตกต่างจาก เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ ที่แม้เผชิญแรงกดดันทางการเมืองแต่ยังไม่ถึงขั้นคดีอาญาหนักหน่วง การพัวพันคดีลักษณะนี้ ทำให้อนาคตทางการเมืองของ แพทองธาร แทบปิดประตูโดยสมบูรณ์
ล่าสุด เมื่อวันที่ 1 กันยายน นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตวุฒิสภา ได้ส่งหนังสือทางไปรษณีย์ EMS เพื่อขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)นำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2568 ที่ให้น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากนายกรัฐมนตรีนั้น ในคำวินิจฉัยมีประเด็นที่อาจเกี่ยวข้องกับการกระทำของน.ส.แพทองธาร ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่อาจเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืน พรป.พรรคการเมือง2560 มาตรา 92 (2) รวมอยู่ด้วย
โดยนำมาถือเป็นหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคเพื่อไทยโดยน.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้กระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทางเป็นประมุข อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.)ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 92 (2) หรือไม่ ทั้งนี้ กกต.สามารถอ้างสรรพเอกสารในคำวินิจฉัยดังกล่าวต่อศาลได้ ไม่จำต้องให้นายทะเบียนดำเนินการตามมาตรา 93แต่อย่างใด
“เมื่อศาลได้อ่านคำวินิจฉัยแล้ว ย่อมเป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันต่อกกต.แต่ศาลมิอาจสั่งยุบพรรคการเมืองได้ เนื่องจากคำร้องไม่ได้มาจากกกต.ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจตามกฎหมาย กรณีจึงต้องร้องขอให้กกต.เป็นผู้ดำเนินการยื่นเรื่องร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยตามมาว่าพรรคเพื่อไทยมีเหตุต้องถูกยุบเพราะกระทำการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 92 (2) หรือไม่”กรณีดังกล่าวเทียบเคียงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2562 คดียุบพรรคไทยรักษาชาติ”
ผลสะเทือนต่อพรรคเพื่อไทย
เมื่อผู้นำพรรคและแคนดิเดตนายกฯหลักหลุดจากตำแหน่งทันที พรรคเพื่อไทยเผชิญวิกฤตศรัทธาครั้งใหญ่
ฐานมวลชนสั่นคลอน จากที่เคยเชื่อมั่นว่าพรรคเพื่อไทยยังเป็นพรรค “แบรนด์ชินวัตร” ที่ชนะการเลือกตั้งได้เสมอ กลับถูกตั้งคำถามว่ามีอนาคตหรือไม่
กระแสพรรคตกวูบ การเสียตำแหน่งนายกฯทันทีอาจทำให้คะแนนนิยมไหลไปยังพรรคฝ่ายค้านหรือพรรคขั้วที่สามอย่างก้าวไกล หรือแม้แต่เปิดทางให้พรรคฝ่ายขวากลับมาทวงพื้นที่
เสี่ยงต้องพลิกเป็นฝ่ายค้าน หากสถานการณ์การเมืองไม่เอื้อ หรือพรรคร่วมรัฐบาลเริ่มลังเล การสูญเสียผู้นำอาจทำให้เพื่อไทยถูกผลักไปอยู่ฝ่ายค้านเร็วกว่าที่คาด
ปมซ้ำเติมจากคดีทักษิณ
อีกปัจจัยที่ทำให้วิกฤตพรรคเพื่อไทยหนักหน่วงขึ้น คือคดี ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ถูกวิจารณ์อย่างหนักจากการรักษาตัวชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ กรณีนี้หากผลออกมาเป็นลบในสายตาสังคม จะยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของตระกูลชินวัตร เสื่อมมนต์ขลัง และตอกย้ำข้อครหาว่าใช้ความเป็น“อภิสิทธิ์ชน”หลบเลี่ยงกระบวนการยุติธรรม
เมื่อทักษิณซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของพรรคเพื่อไทยเองยังถูกตั้งคำถามเรื่องความชอบธรรม ประกอบกับแพทองธารถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าผิดจริยธรรม พรรคเพื่อไทยจึงเผชิญวิกฤตศรัทธาครั้งร้ายแรงที่สุด อาจส่งผลทำให้ ส.ส.ในพรรคกระโดดหนีย้ายไปสังกัดพรรคใหม่ เพราะกระแสของพรรคตกลงวูบ ทำให้หาเสียงลำบาก
จุดเปลี่ยนของเพื่อไทยและตระกูลชินวัตร
สถานการณ์นี้สะท้อนว่า เพื่อไทยและตระกูลชินวัตรอาจถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ จากการถูกตัดสิทธิ์ผู้นำรุ่นใหม่ และการสั่นคลอนความน่าเชื่อถือของผู้นำรุ่นเก่าหากพรรคไม่สามารถสร้างผู้นำคนใหม่ที่ก้าวพ้นเงาทักษิณและแพทองธารได้ทันเวลา พรรคอาจเผชิญกับการถดถอยอย่างต่อเนื่อง และเปิดทางให้พรรคการเมืองอื่นขึ้นมาแทนที่
วิกฤตครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การเสียเก้าอี้นายกฯของแพทองธาร แต่เป็นสัญญาณเตือนว่ายุคสมัยแห่ง“มนต์ขลังชินวัตร”อาจกำลังจบสิ้นลงจริงๆ แม้จะออกมาขู่ไพ่ใบสุดท้ายในการยุบสภาเพื่อคืนอำนาจประชาชนเลือกตั้งใหม่ ไม่ใช่ว่าจะมีโอกาสกลับมามีอำนาจได้อีกครั้ง และสุดท้ายพรรคเพื่อไทยอาจจะแตกยับครั้งใหญ่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี