ถอนฟ้อง‘ภูมิธรรม’
‘สุรทิน-ไทกร’ไม่เอาผิดปมทูลเกล้าฯ
‘พิราบขาว’ตามซ้ำฟันมาตรา112
“ศุภชัย ใจสมุทร” ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคภูมิใจไทย ถอนแจ้งความ ม.157 “ภูมิธรรม”ปมยื่นทูลเกล้าฯยุบสภา เพราะเพื่อไทยหมอบราบแล้ว ไม่ต้องการซ้ำเติมอีก เช่นเดียวกับ สส. สุรทิน พิจารณ์ ที่ถอนแจ้งความด้วย ขณะที่กลุ่มพิราบขาวไม่ยอม เดินหน้าประเคน“บิ๊กอ้วน” คดีม.112
เมื่อวันที่ 4 ก.ย.2568 นายศุภชัย ใจสมุทร ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคภูมิใจไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัว ระบุว่า ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้บรรจุระเบียบวาระให้มีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีแล้ว นั่นหมายความว่าความพยายามที่จะยื่นยุบสภาอีกได้ยุติลง ซึ่งประเทศก็จะเดินหน้าต่อไปได้เป็นไปตามครรลองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ผมมองว่า หลายคนเห็นการเมืองของเมืองไทยมาก็จะพบว่าในบางสถานการณ์ ก็สู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ความจริงที่มีอยู่อย่างหนึ่งก็คือแต่ละฝ่ายที่อยู่คนละข้างกันล้วนแล้วแต่รู้จักคุ้นเคยรักใคร่ เป็นพี่เป็นน้องเป็นเพื่อนกัน บางครั้งเคยอยู่ฝ่ายเดียวกันแล้วสถานการณ์ก็ผลักดันให้ไปอยู่ฝ่ายตรงกันข้าม ชีวิตการเมืองของผมก็เป็นเช่นนี้ เพราะการต่อสู้ที่ว่านี้ปฎิเสธไม่ได้ว่าคือสงครามช่วงชิงอำนาจ ซึ่งบางคราวก็ชนะบางครั้งก็แพ้ ผู้ใหญ่ที่รักเคารพของผมเคยให้คำแนะนำว่าหากแพ้ก็ให้หมอบให้ราบ รอเวลา
และเมื่อชนะก็ไม่ซ้ำเติมฝ่ายที่แพ้ ซึ่งตนก็ยึดถือปฏิบัติแบบนี้มา จบถือว่าจบ ไม่มีอาฆาตหรือคิดแก้แค้นเพราะที่สุดแล้วคนทำงานการเมืองด้วยอุดมการณ์เป้าหมายก็คือประโยชน์สุขของประเทศชาติประชาชน ซึ่งแน่นอนที่สุดประเทศจะเดินหน้าต่อไปได้ก็ด้วยความสามัคคี
“ผมจึงตัดสินใจว่าผมไม่ประสงค์ที่จะดำเนินคดีอาญากับนายภูมิธรรม เวชยชัย ผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีอีกต่อไปและจะดำเนินการถอนคำร้องทุกข์กล่าวโทษกับพนักงานสอบสวน”
นอกจากนี้ นายศุภชัย ยังโพสต์ข้อความตอนหนึ่ง ในพระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชพระราชทานแก่คณะประชาชนจังหวัดราชบุรี ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ว่า “บ้านเมืองไทยสามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ได้โดยดี เพราะว่าจิตใจสามัคคีและแสดงออกซึ่งสามัคคี ถ้าตราบใด เรารักษาความสามัคคีความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันไว้ได้ เราก็จะอยู่ได้อย่างมีความสุขตราบนั้น’
เวลา 11.00น.ที่ศูนย์รับแจ้งความ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นายสุรทิน พิจารณ์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปไตยใหม่ (ปธม.) พร้อมด้วย นายไทกร พลสุวรรณ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ถอนแจ้งความเอาผิด นายภูมิธรรม เวชยชัย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ในความผิดตาม ม.112 จากกรณีทูลเกล้าฯ ถวายกฤษฎีกายุบสภา ที่ไปแเจ้งความเมื่อวันที่ 3ก.ย.ที่ผ่านมา
นายไทกร กล่าวว่า สาเหตุที่เมื่อวานนี้ (3 ก.ย.) มาแจ้งความนายภูมิธรรม เนื่องจากเห็นว่ากระบวนการที่นายภูมิธรรมกำลังทำอยู่ คือการผลักดันให้พระมหากษัตริย์ทรงเข้าไปอยู่ระหว่างศึกแย่งชิงอำนาจทางการเมือง อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาประมาณ 3 ทุ่มที่ผ่านมา นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ออกหนังสือเรียกประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้มีการเลือกนายกรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ (5 ก.ย.) ทำให้ตนเองสบายใจได้ว่าจะไม่มีความพยายามที่จะดำเนินการยุบสภาอีกแล้ว ส่วนนายภูมิธรรมก็ยกเลิกภารกิจวันนี้ทั้งหมด ไม่มีความพยายามจะยื่นทูลเกล้าฯ พ.ร.ฎ.ยุบสภา ครั้งที่2 ดังนั้น เชื่อว่า นายภูมิธรรม เข้าใจแล้วว่าทำผิดพลาด จึงควรให้โอกาส เพื่อให้การเมืองดำเนินการไปตามปกติ คือโหวตเลือกนายกฯอย่างไรก็ตาม ตนยืนยันว่า นายภูมิธรรม ไม่สมควรเดินหน้าที่สิ่งที่ไม่บังควรต่อ
ด้าน นายสุรทิน กล่าวว่า ที่ตัดสินใจถอนแจ้งความ เพราะมองว่าบ้านเมืองเดินหน้าไปแล้ว ทุกอย่างยุติแล้ว และกำลังจะมีการโหวตนายกฯคนใหม่ ดังนั้น จึงถอนแจ้งความเพื่อให้ทุกฝ่ายทุกวงการเกิดความสบายใจ ยืนยันไม่มีใครกดดันให้ออกมาถอนแจ้งความ
อย่างไรก็ตาม เวลา 10.00น.ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง นายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล (อดีตแกนนำกลุ่มพิราบขาว 2006) ได้เดินทางเข้าพบ พงส.บก.ป.แจ้งความดำเนินคดีกับ นายภูมิธรรม เวชยชัย ในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
นายนพรุจเปิดเผยว่า การแจ้งความครั้งนี้สืบเนื่องจากกรณีที่นายภูมิธรรม เวชยชัย ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่าได้นำร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ยุบสภาขึ้นทูลเกล้าฯ แล้วตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน 2568 ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วนายภูมิธรรมดำรงตำแหน่งเพียงรักษาการนายกรัฐมนตรีเท่านั้น และมีหน้าที่รักษาการจนกว่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามารับตำแหน่ง ซึ่งไม่มีอำนาจในการนำร่าง พ.ร.ฎ. ยุบสภาขึ้นทูลเกล้าฯ ได้เลยนับตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2568 ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อันเนื่องมาจากความผิดฐานฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งมีผลให้คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ
นายนพรุจ กล่าวเพิ่มเติมว่า การกระทำของนายภูมิธรรมถือเป็นการนำความมิบังควรขึ้นทูลเกล้าฯ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความระคายเคืองเบื้องยุคลบาท และทราบมาว่า พ.ร.ฎ. ยุบสภาดังกล่าวได้ถูกส่งคืนกลับมาที่เลขาธิการนายกรัฐมนตรีแล้ว พร้อมย้ำว่าการพยายามนำ พ.ร.ฎ. ยุบสภาขึ้นทูลเกล้าฯ อีกครั้งถือเป็นเรื่องที่ไม่บังควรอย่างยิ่ง เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้รับแจ้งความแล้วสอบปากคำ ก่อนจะนำไปรวมเป็นคดีเดียวกับที่นายไทกร พลสุวรรณ และ สส.สุรทิน พิจารณ์ (ครูสุรทิน) หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยใหม่ มาแจ้งความในเรื่องเดียวกันเมื่อวานนี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี