พลิกปูม‘อนุทิน’นายกฯคนที่32 จากนักเรียกนอก ถึง‘บ้านเลขที่111’ สู่ผู้นำ‘รัฐบาลเฉพาะกิจเพื่อชาติ’

พลิกปูม‘อนุทิน’นายกฯคนที่32 จากนักเรียกนอก ถึง‘บ้านเลขที่111’ สู่ผู้นำ‘รัฐบาลเฉพาะกิจเพื่อชาติ’

วันศุกร์ ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2568, 15.56 น.

พลิกปูม‘อนุทิน’นายกฯคนที่32 จากนักเรียกนอก ถึง‘บ้านเลขที่111’ สู่ผู้นำ‘รัฐบาลเฉพาะกิจเพื่อชาติ’

ผ่านพ้นไปเรียบร้อยกับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันนี้ (5 ก.ย.68) ซึ่งมีวาระสำคัญที่คือการโหวตเลือก “นายกรัฐมนตรีคนที่32”


เป็นไปตามคาดหมาย คือ “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ที่มีชัยเหนือ “นายชัยเกษม นิติสิริ” แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย (พท.) ด้วยคะแนน

สำหรับประวัติของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล

เกิดเมื่อวันที่ 13 ก.ย.2509 ที่กรุงเทพมหานคร ในปี 2568 จะอายุครบ 59 ปีเป็นทายาทของ “ชวรัตน์ ชาญวีรกูล” ผู้ก่อตั้งหนึ่งในบริษัทรับเหมาก่อสร้างยักษ์ใหญ่อย่าง “ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)”

ดีกรี “นักเรียนนอก” จบการศึกษาระดับอุดมศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยฮอฟสตรา (Hofstra University) เมือวนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2532 นอกจากนั้นยังเป็นศิษย์เก่า คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (หลักสูตร Mini MBA) ในปี 2533

“นายกฯหนู” เริ่มปรากฏตัวในแวดวงการเมืองเมื่อปี 2539 กับการเป็นปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (ประจวบ ไชยสาส์น) และเป็นรัฐมนตรีครั้งแรกในปี 2547 ในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในรัฐบาล “พรรคไทยรักไทย” ที่มี “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นนายกฯ ในเวลานั้น

“อนุทิน” เคยติดหล่มทางการเมือง เมื่ออยู่ในกลุ่ม “บ้านเลขที่ 111” หมายถึงนักการเมือง 111 คนที่ถูก “แบน” ตัดสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ในคดี “ยุบพรรคไทยรักไทย” ในปี 2550

ในปี 2555 หลังพ้นโทษแบน นายอนุทินหวนคืนสนามการเมืองอีกครั้ง รับไม้ต่อจากนายชวรัตน์ ที่ก่อนหน้านั้นได้ไปร่วมก่อตั้ง “พรรคภูมิใจไทย” กับ “ลุงเน - เนวิน ชิดชอบ” และนำพรรคภูมิใจไทยเข้าร่วมรัฐบาลกับ “พรรคประชาธิปัตย์” หนุน “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เป็นนายกฯ ช่วงปี 2552 - 2554 โดยนายชวรัตน์เป็นหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยและดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ขณะที่ “เนวิน” ค่อยๆ ถอยออกจากสนามการเมือง หันหน้าไปเอาจริงเอาจังกับทำทีมฟุตบอลในบ้านเกิดอย่าง “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด

“อนุทิน” ลงสนามการเมืองในฐานะ “หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย” ครั้งแรกในการเลือกตั้งเมื่อเดือน ก.พ.2557 ท่ามกลางสถานการณ์ร้อนแรงทางการเมืองจากการชุมนุมของ “กลุ่ม กปปส.” และต่อมาการเลือกตั้งดังกล่าวเป็น “โมฆะ” จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 21 มี.ค.2557

ตามด้วยการ “รัฐประหาร” ของกองทัพที่นำโดย “บิ๊กตู่ - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้บัญชาการทหารบก (ในขณะนั้น) ยึดอำนาจการปกครองในวันที่ 22 พ.ค.2557 ในนาม “คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)”

บทบาทของนักการเมืองและพรรคการเมืองถูกพักไว้ชั่วคราว

วันเวลาผ่านไปราว 5 ปี การเลือกตั้งได้กลับมาอีกครั้งในเดือน มี.ค.2562 พรรคภูมิใจไทยได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) 51 ที่นั่ง มากเป็นอันดับ 5 ร่วมสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เปลี่ยนสถานะจากนายกฯ รัฐบาลทหาร คสช. มาเป็นนายกฯ รัฐบาลพลเรือนในนามตัวแทนจากพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งได้ สส. 116 ที่นั่ง เมื่อรวมกับเงื่อนไขของบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ที่นายกฯ ต้องได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ก็ทำให้ “ลุงตู่อยู่ต่อ” พล.อ.ประยุทธ์ ได้เป็นนายกฯ ต่ออีกสมัย ส่วนพรรคเพื่อไทยแม้จะได้ที่นั่ง สส. 136 คน มากเป็นอันดับ 1 แต่เมื่อรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ก็ต้องไปเป็นฝ่ายค้านร่วมกับพรรคอนาคตใหม่ที่ได้ สส. 81 ที่นั่ง อยู่ในอันดับ 3

ช่วงปี 2562 - 2566 ภายใต้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์

“อนุทิน” รับตำแหน่งรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กับผลงานที่ “ฮือฮา” อย่างมากคือ “ปลดล็อกกัญชา” พ้นจากบัญชียาเสพติดให้โทษ ซึ่งเป็นนโยบายที่ก่อให้เกิดข้อถกเถียงมาจนถึงปัจจุบัน ที่ด้านหนึ่งมีฝ่ายสนับสนุนคือผู้ใช้กัญชาโดยเฉพาะในทางการแพทย์ แต่อีกด้านก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงานด้านเด็กและเยาวชนเนื่องจากนโยบายดังกล่าวขาดมาตรการรองรับที่รัดกุมเพียงพอจนส่งผลกระทบต่อประชากรวัยที่ถูกคาดหวังให้เป็นอนาคตของชาติ

ในการเลือกตั้งปี 2566 “พรรคก้าวไกล” ซึ่งมาแทนพรรคอนาคตใหม่ที่ถูกยุบไป ชนะเลือกตั้งได้ สส.มากที่สุด 151 ที่นั่ง แต่เนื่องจากยังติดห้วงเวลาบทเฉพาะกาลที่นายกฯ ต้องได้เสียงสนับสนุนจาก สว.บวกกับพรรคก้าวไกลไม่ยอมถอยเรื่องนโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แม้พรรคการเมืองอื่นๆ รวมถึง สว.จะส่งสัญญาณขอให้ถอยเรื่องดังกล่าว โอกาสการจัดตั้งรัฐบาลจึงไปอยู่ที่พรรคอันดับ 2 อย่างพรรคเพื่อไทยซึ่งมี สส. 141 ที่นั่ง

ในครั้งนี้ “พรรคภูมิใจไทย” ซึ่งมาเป็นพรรคอันดับ 3 กับจำนวน สส. 71 ที่นั่ง เข้าร่วมกับพรรคเพื่อไทย หนุน “เสี่ยนิด - เศรษฐา ทวีสิน” ขึ้นเป็นนายกฯ

เกือบ 2 ปีในการร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ภายใต้นายกฯ 2 คน คือนายเศรษฐาและ น.ส.แพทองธาร “อนุทิน” รับตำแหน่งรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

กระทั่งเริ่มปรากฏ “รอยร้าว” ช่วงปลายเดือน พ.ค.2568

เมื่อ “สทร.ทักษิณ” เปรยขึ้นมาว่า เก้าอี้ รมว.มหาดไทย ควรเป็นของพรรคเพื่อไทย และเมื่อล่วงเข้าสู่เดือน มิ.ย.2568 ก็เริ่มมีข่าว “อนุทิน” ทยอยเก็บข้าวของออกจากกระทรวงมหาดไทย

แล้วก็ถึงจุดแตกหัก “มันจบแล้วครับนาย” คำรบสอง

ช่วงค่ำวันที่ 18 มิ.ย.2568 หรือไม่กี่ชั่วโมงหลังเกิดกรณีคลิปหลุดเสียงสนทนา “แพทองธาร - ฮุน เซน”

พรรคภูมิใจไทยได้ออกแถลงการณ์ “ถอนตัว” จาการร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย มีผลตั้งแต่วันที่ 19 มิ.ย.2568 เป็นต้นไป อ้างรับไม่ได้กับเรื่องดังกล่าว

จากนั้น “อิ๊งค์” ถูกวินิจฉัยกรณี “คลิปเสียง” พ้นจากตำแหน่งนายกฯ

“อนุทิน” และภูมิใจไทย เดินเกมขอเสียงสนับสนุนจาก “พรรคประชาชน”

และก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรีคนที่ 32” ของไทย

ภายใต้รัฐบาลที่ถูกเรียกว่า...  

“รัฐบาลเฉพาะกิจ” เพื่อชาติ!!!

#ทีมข่าวการมือง

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top