เปิดขั้นตอนราชทัณฑ์คุมขัง'ทักษิณ' หลังศาลฎีกาฯ สั่งบังคับโทษ 1 ปี

เปิดขั้นตอนราชทัณฑ์คุมขัง'ทักษิณ' หลังศาลฎีกาฯ สั่งบังคับโทษ 1 ปี

วันอังคาร ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2568, 14.59 น.

เปิดขั้นตอนราชทัณฑ์คุมขัง"ทักษิณ" หลังศาลฎีกาฯ สั่งบังคับโทษ 1 ปี ฝากเงินเข้าบัญชีไม่เกิน 15,000 บาท - ระบุรายชื่อญาติ 10 คนสำหรับเยี่ยม - ป้องกันขังรวมแดนคู่กรณี

เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 จากกรณีเมื่อเวลา 11.00 น.ที่ผ่านมา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สั่งบังคับโทษ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 1 ปี นับตั้งแต่วันนี้ โดยให้เหตุผลว่าการรักษาตัวและการส่งตัวไม่ถูกต้องตามระเบียบราชทัณฑ์ จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้คุมตัวขึ้นรถตู้เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เพื่อเข้าสู่กระบวนการรับโทษตามคำพิพากษาศาล ตามที่ได้มีการรายงานข่าวไปแล้วนั้น


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามขั้นตอนแล้วหลังจากศาลอ่านคำสั่ง เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ต้องควบคุมตัวนายทักษิณมาที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เพื่อเข้าสู่กระบวน การรับโทษตามคำพิพากษาและเข้าสู่ขั้นตอนการจำแนกแยกลักษณะผู้ต้องขัง ซึ่งนายทักษิณ ถือเป็นผู้ต้องขังสูงอายุ 76 ปี โดยจากการตรวจสอบข้อมูลกรมราช ทัณฑ์ เกี่ยวกับมาตรฐานการปฏิบัติงานด้านการควบคุมผู้ต้องขัง (Standard Operating Procedures for Custodial Measures) ในส่วนการปฏิบัติ - การจัดสวัสดิการต่อผู้ต้องขังสูงอายุ ซึ่งบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.2564 พบเนื้อหาสาระสำคัญและจำแนกการดูแลผู้ต้องขังสูงอายุที่อยู่ในการควบคุมของกรมราชทัณฑ์น่าสนใจ อาทิ นิยามผู้ต้องขังสูงอายุ หมายถึง ผู้ต้องขังที่มีอายุ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป โดยขั้นตอนรับตัวกลุ่มผู้ต้องขังสูงอายุราช ทัณฑ์จะดำเนินการเช่นเดียวกับผู้ต้องขังทั่วไป โดยเริ่มจากจัดทำประวัติ รายละเอียดเกี่ยวกับคดี กําหนดโทษ ประวัติ การต้องโทษ ประวัติการรักษาพยาบาล ภูมิลําเนา จํานวนบุตร ตลอดจนความสัมพันธ์ในครอบครัวญาติที่สามารถติดต่อได้ โดยเก็บไว้ในระบบข้อมูลผู้ต้องขัง เพื่อนำไปประกอบการวางแผนปฏิบัติอย่างถูกต้องเหมาะสม

อย่างไรก็ตาม ตามกระบวนการระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการตรวจร่างกายผู้ต้องขังเข้าใหม่และผู้ต้องขังเข้า-ออกเรือนจำ พ.ศ.2561 ระบุว่า เมื่อเรือนจำได้รับตัวผู้ต้องขังเข้าใหม่แล้วให้เจ้าพนักงานเรือนจำที่รับตัวให้ตรวจสอบความถูกต้องว่าเป็นบุคคลตามชื่อที่ปรากฏในหมายอาญา หรือเอกสารอันเป็นคำสั่งของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจตามกฏหมายหรือไม่ ประกอบด้วย การตรวจสอบชื่อ นาม สกุลและเลขประจำตัวประชาชนของผู้ต้องขังตามที่ปรากฏในบัตรประจำตัวประชาชน และพิมพ์ลายพิมพ์นิ้วมือผู้ต้องขัง และเทียบความถูกต้องกับลายพิมพ์นิ้วมือที่ส่งมา จากนั้นเมื่อเจ้าพนักงานเรือนจำได้ตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าผู้ต้องขังที่รับตัวมาเป็นบุคคลเดียวกับบุคคลตามหมายอาญา หรือเอกสารคำสั่งของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจ ให้ดำเนินการ “จัดทำทะเบียนประวัติผู้ต้องขังเข้าใหม่” ในวันที่รับตัว โดยมีรายละเอียดอย่างน้อยดังนี้ ชื่อ-นามสกุล ผู้ต้องขัง / เลขประจำตัวประชาชน หรือเอกสารแสดงตนของผู้ต้องขังเท่าที่ทราบ / ข้อหาหรือฐานความผิดที่ผู้นั้นได้กระทำ / พิมพ์ลายนิ้วมือหรือสิ่งแสดงลักษณะเฉพาะของบุคคล และตำหนิรูปพรรณ / สภาพร่างกายและจิตใจ ความรู้ ความสามารถ

เมื่อจัดทำทะเบียนประวัติผู้ต้องขังเข้าใหม่เสร็จสิ้นแล้วจะเข้าสู่ขั้นตอน "การตรวจค้นตัวและสัมภาระ" ซึ่งสิ่งของที่ผู้ต้องขังติดตัวมา ทางราชทัณฑ์จะแยกเป็นสิ่งของต้องห้าม สิ่งของอนุญาต สิ่งของไม่อนุญาต และเงินสด แล้วให้ดำเนินการ ดังนี้ 1.กรณีสิ่งของต้องห้าม ถ้าไม่ใช่ของที่มีไว้นอกเรือนจำแล้วเป็นความผิดอาญา ให้จัดการแบบเดียวกับสิ่งของไม่อนุญาต แต่ถ้าเป็นของที่มีไว้นอกเรือนจำแล้วเป็นความผิดตามกฎหมายให้ยึดไว้เป็นของกลางแล้วแจ้งความดำเนินคดีต่อพนักงานสอบสวนในวันรุ่งขึ้น 2.กรณีสิ่งของที่อนุญาต ให้ผู้ต้องขังเก็บไว้ในล็อกเกอร์ส่วนตัวเท่านั้น ห้ามนำขึ้นไปเก็บ ไว้บนเรือนนอน 3.กรณีสิ่งของที่ไม่อนุญาต ให้แยกเก็บไว้แล้วดำเนินการคืนญาติจำหน่าย หรือทำลาย ตามที่กำหนดไว้ในกฎหรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง

4.กรณีเงินสด ให้รับฝากไว้ตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง ในกรณีที่เรือนจำไม่ได้ใช้ระบบรับฝากเงินอิเล็กทรอนิกส์แล้วเงินสดมีเกินจำนวนที่กำหนดไว้ในระเบียบ ให้รับฝากไว้ก่อนแล้วติดต่อคืนจำนวนที่เกินกำหนดให้กับบุคคลที่ผู้ต้องขังแจ้งไว้ ถ้าไม่สามารถหาผู้ที่จะคืนเงินจำนวนที่เกินดังกล่าวได้เลย ให้อนุโลมรับฝากไว้แต่ไม่ให้รับฝากเพิ่มจากบุคคลภายนอกอีก อย่างไรก็ตาม เสื้อผ้า สิ่งของมีค่า เครื่องประดับ นาฬิกา สร้อยแหวน พระเครื่อง เป็นต้น ปกติแล้วไม่ว่าผู้ต้องขังจะนำสัมภาระใดเข้ามา เจ้าหน้าที่เรือนจำก็จะไม่อนุญาตให้นำผ่านเข้าไปภายในเรือนจำ ส่วนเสื้อผ้าเจ้าหน้าที่จะเก็บไว้เพื่อให้ญาติติดต่อขอรับกลับไป หรือผู้ต้องขังประสงค์ให้เจ้าหน้าที่เก็บไว้ให้ก่อนได้ (ในกรณีที่ผู้ต้องขังแจ้งว่าได้มีการยื่นขอประกันตัวต่อศาล อยู่ระหว่างรอฟังคำสั่งของศาล) แต่ระยะเวลาต้องไม่เกินระหว่าง 7 - 15 วัน ขณะที่สิ่งของมีค่า เจ้าหน้าที่จะรับฝากไว้ให้เช่นกัน และจะมีการจดบันทึกรายการว่ามีสิ่งของอะไรบ้าง ผู้ต้องขังฝากไว้เมื่อวันที่เท่าไร เมื่อพ้นโทษก็ติดต่อขอรับกลับ หรือจะให้ญาติติดต่อขอรับแทนก็ได้

เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนการตรวจค้นตัวและสัมภาระ ถัดไปจะเข้าสู่ขั้นตอน "การคัดกรองโรค" โดยเจ้าหน้าที่พยาบาลหรือผู้ที่ผ่านการอบรมด้านงานพยาบาลของเรือนจำดำเนินการตรวจสุขภาพเบื้องต้นแก่ผู้ต้องขังและหากผู้ต้องขังมีโรคประจำตัว ยารักษาโรค (เพื่อเจ้าหน้าที่เก็บยาไว้ให้และจะสอบถามถึงการกินยาว่าแพทย์สั่งให้กินยาอย่างไร) หรือหากมีใบรับรองแพทย์ก็ให้ยื่นแสดงกับเจ้าหน้าที่ อีกทั้งจะมีการบันทึกรายงานเกี่ยวกับบาดแผลหรืออาการเจ็บป่วยของผู้ต้องขังก่อนเข้าเรือนจำฯ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อใช้ยืนยันว่าผู้ต้องขังได้มีลักษณะบาดแผลหรืออาการเจ็บป่วยมาก่อนที่จะเข้าไปในเรือนจำไม่ได้เกิดจากการถูกทำร้ายหลังก้าวเข้าเรือนจำแต่อย่างใด และผู้ต้องขังจะต้องเซ็นชื่อกำกับการบันทึกดังกล่าวด้วยตัวเอง เพื่อตรวจสอบว่าข้อความดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่

ส่วนกระบวนการตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 ก่อนจำแนกแยกแดนนั้น เจ้าหน้าที่จะให้มีการกักโรคระยะเวลา 5 วัน ที่ห้องกักโรค แดนแรกรับ เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจาย ดังนั้น เมื่อครบกำหนดกับโรคโควิดแล้วไม่พบว่ามีเชื้อโควิด ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการประชุมของคณะจำแนกแยกแดนผู้ต้องขังเด็ดขาด เพื่อพิจารณาว่าจะให้ไปคุมขังยังแดนใด โดยมีข้อระมัดระวังว่าการจำแนกผู้ต้องขังไปคุมขังยังแดนใดจะต้องไม่เป็นการคุมขังร่วมกับคู่กรณีหรือคู่ความที่เคยมีปัญหากันมาก่อน เพื่อป้อง กันเหตุการณ์ทะเลาะวิวาท กลั่นแกล้ง หรือการทำร้ายร่างกายกัน ซึ่งถือเป็นการระมัดระวังความปลอดภัยในการดูแลผู้ต้องขังระหว่างที่อยู่ในเรือนจำ ส่วนถ้าหากระหว่างการกักโรค พบว่าผู้ต้องขังมีปัญหาเรื่องสุขภาพร่างกายที่เป็นข้อกังวล หรือโรคประจำตัวกำเริบ จำเป็นต้องใช้เครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่เรือนจำและแพทย์ประจำเรือนจำ จะมีการพิจารณาเพื่อส่งตัวผู้ต้องขังออกไปรับการรักษาที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งจะมีห้องกักโรคโควิดอยู่แล้วเช่นเดียวกัน แต่หากอาการเจ็บป่วยได้รับการรักษาทุเลาดีขึ้น ก็จะต้องนำตัวผู้ต้องขังกลับมาคุมขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครดังเดิม

เมื่อดำเนินการตรวจค้นตัว คัดกรองโรค และจัดการทรัพย์สินที่ติดตัวของผู้ต้องขังเสร็จแล้ว ให้เจ้าพนักงานเรือนจำแจ้งให้ผู้ต้องขังทราบข้อบังคับของเรือนจำระเบียบเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวของผู้ต้องขัง สิทธิ หน้าที่และประโยชน์ของผู้ต้องขัง รวมทั้งเรื่องอื่นที่จําเป็น เมื่อเจ้าพนักงานเรือนจำได้ดำเนินการในเรื่องต่างๆที่กำหนดไว้ข้างต้นครบถ้วนแล้ว เจ้าหน้าที่จะดูด้วยว่าผู้ต้องขังรายดังกล่าวเป็นผู้กระทำความผิดจากคดีประเภทใด เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนจำแนกลักษณะผู้ต้องขัง เช่น เป็นผู้ต้องขังจากคดีอุกฉกรรจ์ร้ายแรง คดียาเสพติด หรือคดีที่กระทำความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรงหรือไม่ หรือคดีทุจริต ฯลฯ เพื่อวางมาตรการ หรือทาง ผบ.เรือนจำฯ อาจจะมีการสั่งการให้เจ้าหน้าที่ผู้คุมเฝ้าจับตากวดขันเข้มงวดเป็นพิเศษ และยังเป็นการป้องกันการคิดสั้นของผู้ต้องขังได้ด้วย

รวมถึงจะมีการจัดลำดับชั้นนักโทษ โดยจะต้องเป็นกรณีที่เป็นนักโทษคดีเด็ดขาด คือ ศาลมีคำสั่งพิพากษาเรื่องโทษจำคุกเรียบร้อย ไม่ว่าจะเด็ดขาดชั้นต้น เด็ดขาดชั้นอุทธรณ์ หรือเด็ดขาดชั้นฎีกา ซึ่งกรณีที่ผู้ต้องขังรายใดไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน หรือเรียกว่าเป็นการต้องโทษครั้งแรก เมื่อเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์พิจารณาองค์ประกอบต่างๆ แล้ว ผู้ต้องขังจะได้รับการจัดลำดับชั้นนักโทษเป็นนักโทษเด็ดขาดชั้นกลาง ทั้งนี้ สำหรับกระบวนการแรกรับผู้ต้องขังใหม่ เจ้าพนักงานเรือนจำจะมีการใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 1 ชม.ต่อผู้ต้องขังหนึ่งราย

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ระหว่างกระบวนการกักโรคโควิด-19 ระยะเวลา 5 วัน ผู้ต้องขังจะสามารถเยี่ยมได้เพียงทนายความ แต่เมื่อครบระยะเวลากักโรคเรียบร้อยแล้ว จึงจะสามารถเยี่ยมญาติได้ โดยจะต้องเป็นญาติที่ถูกระบุอยู่ในบัญชีรายชื่อการเยี่ยมญาติ 10 รายชื่อ ซึ่งรายชื่อดังกล่าวนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ภายหลังครบ 30 วัน ส่วนเรื่องการฝากเงินเข้าบัญชีเงินฝากผู้ต้องขัง เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายซื้อของอุปโภคบริโภคระหว่างอยู่ในเรือนจำนั้น มีจำนวนเงินสูงสุดที่สามารถฝากเงินได้ไม่เกิน 15,000 บาท ส่วนมีความคืบหน้าจากกรมราชทัณฑ์อย่างไร จะมีการรายงานให้ทราบต่อไป (ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ฉบับเต็ม! เปิดคำพิพากษาศาลฎีกาฯ บังคับโทษ'ทักษิณ'จำคุก 1 ปี คดีชั้น 14)

- 006

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top