‘ทักษิณ’ไม่รอด!ศาลฎีกาบังคับโทษจำคุก1ปี ส่งตัวเข้าคุกทันที ขัง‘คลองเปรม’ความมั่นคงสูง

‘ทักษิณ’ไม่รอด!ศาลฎีกาบังคับโทษจำคุก1ปี ส่งตัวเข้าคุกทันที ขัง‘คลองเปรม’ความมั่นคงสูง

วันพุธ ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

‘ทักษิณ’ไม่รอด!ศาลฎีกาบังคับโทษจำคุก1ปี

ส่งตัวเข้าคุกทันที

ขัง‘คลองเปรม’ความมั่นคงสูง

ปิดฉากคดีป่วยทิพย์ชั้น14

ผิดพรบ.ราชทัณฑ์/รพ.ตร.

‘อิ๊งค์’โอดนายกฯคนแรกติดคุก

 

“เทวดาทักษิณ” ไม่รอด! มติศาลฎีกา 5-0 ให้ส่งตัวเข้าเรือนจำบังคับโทษใหม่ 1 ปี หลังขึ้นทางด่วนไปนอนป่วยชั้น 14 ผิด พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ร.บ.รพ.ตำรวจ ชี้เจ้าหน้าที่รู้เห็นเป็นใจ แกล้งป่วย ได้ประโยชน์ ขณะที่เจ้าตัวน้อมรับขอเวลาที่เหลืออยู่รับใช้แผ่นดินไทย ด้าน“อิ๊งค์”ระบุถือเป็นประวัติศาสตร์นายกฯ คนแรกถูกจำคุก


เวลา 10.00 น. วันที่ 8 กันยายน ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (อม.) สนามหลวงศาลนัดอ่านคำสั่งคดีบังคับโทษ ที่ บค.1/2568 กรณีการบังคับโทษนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีสิ้นสุดหรือไม่ โดยคดีนี้ศาลไต่สวนพยานรวม 31 ปากจนแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคมโดยมีนายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรีเบิกความเป็นพยานปากสุดท้าย

การอ่านคำพิพากษาในวันนี้ศาลออกหมายเรียกนายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ คนปัจจุบันและนายทักษิณเข้ามาฟังคำสั่งในวันนี้ด้วย

โดยเวลาเวลา 09.30 น. นายทักษิณ เดินทางเข้ามาฟังคำสั่งของศาลพร้อมกับครอบครัวเช่น ลูกสาวทั้งสองคน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคเพื่อไทย น.ส.พินทองธา คุณากรณ์วงศ์ และนายปิฎก สุขสวัสดิ์ นายณัฐพงศ์ คุณากรณ์วงศ์ สามีของน.ส.แพทองธาร และ น.ส.พินทองธา นอกจากนั้นยังมีนายสมชาย วงส์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี น้องเขย นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช อดีตรมว.การท่องเที่ยวและกีฬา นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แกนนำ นปช.รวมทั้งกลุ่มคนเสื้อแดง ประมาณ 50คน เดินทางเข้ามาให้กำลังใจ สำหรับบรรยากาศโดยรวมนายทักษิณไม่ได้มีอาการเครียดใด ๆ ได้ทักทายสื่อมวลชนที่เข้าฟังการพิจารณาคดีในวันนี้

ส่งไปรพ.ต้องป่วยจริง

ศาลพิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่า ศาลมีอำนาจไต่สวนการบังคับโทษของจำเลย หรือไม่ เห็นว่า การไต่สวนเพื่อตรวจสอบว่าได้มีการบังคับโทษให้เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลหรือไม่ มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายรับรองไว้ในข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2562 ข้อ 61 วรรคสอง แม้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและอธิบดีกรมราชทัณฑ์จะมีอำนาจตามพ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 55 และกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 แต่การนำตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำนั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำด้วย มิใช่ว่าเมื่อเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครหรือกรมราชทัณฑ์ใช้อำนาจตามกฎหมายที่บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะแล้วจะไม่อยู่ภายใต้การตรวจสอบความถูกต้องชอบด้วยกฎหมายโดยศาล

ดังนั้น หากความปรากฏแก่ศาลว่าอาจมีการบังคับโทษผู้ต้องขังในคดีนี้ไม่เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งเป็นศาลที่มีคำพิพากษาและออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดย่อมมีอำนาจไต่สวนและตรวจสอบว่า การที่ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำและอธิบดีกรมราชทัณฑ์อนุญาตให้จำเลยรักษาตัวอยู่ภายนอกเรือนจำต่อเนื่องจนได้รับการปล่อยตัว เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามพ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 55 และกฎกระทรวง ที่เกี่ยวข้องหรือไม่ และเป็นการบังคับโทษให้เป็นไปตามหมายจำคุกเมือคดีถึงที่สุดของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 89 หรือไม่

ทุกอย่างต้องชอบด้วยกฎหมาย

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปว่า การไต่สวนของศาลเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคำสั่ง ของศาลที่ให้ยกคำร้องเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 และวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 หรือไม่ เห็นว่า ที่มาของประเด็นที่ศาลนี้ได้วินิจฉัย ตามที่นายชาญชัยยื่นคำร้องมาก่อนหน้านี้ทั้งสองฉบับก่อให้เกิดประเด็นแห่งคดีตามคำร้องฉบับแรกที่ยื่นเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 ว่า เจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ปฏิบัติหน้าที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และเกิดประเด็นแห่งคดีตามคำร้อง ฉบับที่สองที่ยื่นเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2567 ว่า กรณีตามคำร้องที่ยื่นมีการทุเลาการบังคับโทษตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 24 หรือไม่ ส่วนที่มาแห่งประเด็นแห่งคดีของการไต่สวนครั้งนี้ กำหนดประเด็นการไต่สวนตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏต่อศาล ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากรณีอาจมีการบังคับโทษไม่เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาล

ซึ่งยังไม่เคยมีคำวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นนี้มาก่อน ทั้งการไต่สวนของศาลก็ไม่ได้อาศัยเนื้อหาตามคำร้องของนายชาญชัยแต่อย่างใด การดำเนินกระบวนพิจารณาไต่สวนของศาลในชั้นนี้จึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคำสั่งศาลตามคำร้อง ทั้ง 2 ฉบับ ให้ยกคำร้ง

คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า มีการบังคับโทษจำเลยเป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดหรือไม่

เผยอาการแค่อ่อนเพลีย

ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าในวันที่ 22 สิงหาคม 2566 หลังจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครได้รับตัวจำเลยไว้ตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดแล้วได้นำตัวจำเลยไปคุมขังไว้ที่ห้องกักโรค แดน 7 ซึ่งเป็นสถานพยาบาลของเรือนจำพิเศกรุงเทพมหานคร โดยมีแพทย์ประจำทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ตรวจร่างกายจำเลยขณะรับตัวและสรุปประวัติการรักษาโรคของจำเลยจากเวชระเบียนของรพ.ต่างประเทศ รวม 10 โรค อาการโดยรวมทั้งหมดคงที่ มีเพียง 3 โรคที่แพทย์ประจำทัณฑสถานรพ.ราชทัณฑ์เห็นว่าจำเลยควรได้รับการตรวจเพิ่มเติม ได้แก่ โรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทและโรคหัวใจเนื่องจากทัณฑสถานรพ.ราชทัณฑ์ไม่มีแพทย์เฉพาะทาง และโรคไวรัสตับอักเสบบีเนื่องจากทัณฑสถานรพ.ราชทัณฑ์ไม่มีคลินิกโรคตับ จึงมีความเห็นว่าจำเป็นต้องส่งตัวไปรักษาที่รพ.ภายนอกเรือนจำซึ่งมีศักยภาพสูงกว่าในวันและเวลาราชการ แต่อยู่ในภาวะที่ไม่ใช่กรณีฉุกเฉิน สอดคล้องกับความเห็นของศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ประสิทธิ์ วัฒนาภา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากแพทยสภา

แต่ข้อเท็จจริงได้ความจากพยาบาลเวรว่า ในคืนวันที่ 22 สิงหาคม 2566 เวลา 22.00น. จำเลยแจ้งว่ามีอาการอ่อนเพลีย ขาขวาอ่อนแรงเล็กน้อย นอนไม่หลับ บ่นแน่นหน้าอกและมีความดันโลหิตสูง วัดความดันโลหิตจำเลยได้ 178/98 มิลลิเมตรปรอท หัวใจเต้น 86 ครั้ง/นาที หายใจ 24 ครั้ง/นาที ออกซิเจนปลายนิ้ว 92 เปอร์เซ็นต์ อุณหภูมิร่างกาย 36.8 องศาเซลเซียส พยาบาลเวรทำบันทึกข้อความขอส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พัศดีเวรอนุญาตให้ส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำ หลังจากนั้นเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครส่งตัวจำเลยไปโรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ได้ส่งตัวจำเลยไปที่ทัณฑสถานรพ.ราชทัณฑ์ซึ่งมีแพทย์เวรประจำอยู่ในคืนดังกล่าว และทัณฑสถานรพ ราชทัณฑ์อยู่ห่างจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครเพียง 200เมตตามพ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 และกฎกระทรวงดังกล่าวมีสาระสำคัญของการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำที่จะต้องปฏิบัติเป็นลำดับขั้นตอนดังนี้ กล่าวคือ เมื่อผู้ต้องขังป่วยต้องได้รับการตรวจจากแพทย์ในสถานพยาบาลของเรือนจำโดยเร็วตามมาตรา 55 วรรคหนึ่ง ประกอบกฎกระทรวงดังกล่าวข้อ 2 วรรคหนึ่ง หากแพทย์เห็นว่าผู้ต้องขังรักษาตัวในสถานพยาบาลของเรือนจำแล้วจะไม่ทุเลาดีขึ้น และแพทย์ พยาบาล หรือเจ้าพนักงานเรือนจำซึ่งผ่านการอบรมด้านการพยาบาลเสนอให้เจ้าพนักงานเรือนจำพาผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำ จึงให้ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำได้

ไม่ชอบด้วยพรบ.ราชฑัณฑ์

ดังนั้นการส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำ จึงไม่ชอบด้วยพ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 55 และกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ

นอกจากนี้ การส่งตัวจำเลยออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำแบบฉุกเฉินเนื่องจากจำเลยมีอาการแน่นหน้าอก แต่ข้อเท็จจริงได้ความจากเจ้าพนักงานเรือนจำชุดควบคุมว่า เมื่อส่งตัวจำเลยไปถึง รพ.ตำรวจ ได้พาจำเลยไปที่ห้องพักพิเศษ ชั้นที่ 14 ของรพ. ซึ่งไม่ใช่ห้องฉุกเฉินหรือห้องอุบัติเหตุ ขัดกับระเบียบรพ.ตำรวจ ว่าด้วยการรับตัวผู้ป่วยคดีที่เป็นผู้ต้องหา ผู้ต้องกัก ผู้ต้องขังหรือนักโทษเข้ารับการรักษาพยาบาลเป็นผู้ป่วยของรพ.ตำรวจ ที่กำหนดแนวทางการตรวจรักษาในกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินไว้ในข้อ 53 ว่า ในกรณีนอกเวลาราชการ แพทย์ผู้ปฏิบัติหน้าที่ที่ห้องฉุกเฉินและอุบัติเหตุจะเป็นผู้ให้การตรวจ รักษา และกำหนดแนวทางการรับตัวผู้ป่วยคดีไว้ในห้องผู้ป่วย ไว้ในข้อ 6 ว่า ให้รับตัวผู้ป่วยคดีไว้ที่ห้องผู้ป่วยที่รพ.ตำรวจจัดไว้สำหรับผู้ต้องหา ผู้ต้องกัก ผู้ต้องขังหรือนักโทษ เว้นแต่นายแพทย์ใหญ่ (สบ 8) จะพิจารณาอนุญาตเป็นอย่างอื่นประกอบกับได้ความจากศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ประสิทธิ์ และศาสตราจารย์นายแพทย์ไชยรัตน์ ที่ให้ความเห็นเกี่ยวกับการรักษาจำเลยในคืนที่รับตัว สรุปได้ว่า เมื่อพยานทั้งสองตรวจสอบจากเวชระเบียนบันทึกความคืบหน้าการรักษา พบว่าในวันที่ 23 สิงหาคม 2566 ที่มีการส่งตัวจำเลยมาที่รพ.ตำรวจโดยอ้างว่าเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น ไม่มีการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และไม่มีการตามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจมาดูอาการในทันที เพิ่งจะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจเข้ามาตรวจจำเลยในวันที่ 24 สิงหาคม 2566 หรือหลังจาก 24 ชั่วโมงไปแล้ว

รพ.ราชฑัณฑ์ยังรักษาได้

และได้ความจากนายแพทย์วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผอ.รพ.ทัณฑสถานโรงพยในขณะนั้น

และแพทย์ ซึ่งเป็นเชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคหัวใจ สรุปได้ว่า ที่รพ.ราชทัณฑ์มีเครื่องมือตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ มียาขยายหลอดลมและยาลดความดันโลหิตที่ใช้รักษาจำเลยตามเวชระเบียนของรพ.ตำรวจในวันที่ 23 สิงหาคม 2566 แสดงให้เห็นได้ว่า อาการของจำเลยในคืนเกิดเหตุอยู่ในศักยภาพที่ทัณฑสถานรพ.ราชทัณฑ์สามารถรักษาได้ ไม่จำต้องส่งตัวจำเลยไปรักษานอกเรือนจำ เชื่อได้ว่า ในคืนวันที่ 22 สิงหาคม 2566 จำเลยไม่ได้มีอาการแน่นหน้าอกแต่อ้างว่ามีอาการแน่นหน้าอกเพื่อให้เจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครใช้เหตุดังกล่าวเป็นข้ออ้างในการส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ

นอกจากนี้ยังได้ความจากนายแพทย์วัฒน์ชัยและนายแพทย์พงศ์ภัคอีกว่า อาการของจำเลยตามที่ระบุในเวชระเบียนของรพ.ตำรวจนับแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไปนั้น ทัณฑสถานรพ.ราชทัณฑ์สามารถดูแลจำเลยได้ ซึ่งข้อเท็จจริงในส่วนนี้พ.ต.อ.นายแพทย์ชนะก็เบิกความยืนยันว่า อาการของจำเลยตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2566 จำเลยสามารถกลับไปรักษาตัวที่รพ.ราชทัณฑ์ได้

สามารถส่งกลับเรือนจำได้

จึงเห็นได้ว่า อาการแน่นหน้าอกของจำเลยหากเกิดขึ้นจริงดังที่จำเลยอ้าง อาการของจำเลยก็ทุเลาดีขึ้นและจำเลยก็สามารถกลับไปรักษาตัวที่สถานพยาบาลของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครหรือทัณฑสถานรพ.ราชทัณฑ์ได้ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไป

สำหรับการรักษาจำเลยที่รพ.ตำรวจตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2566 จนถึงวันที่จำเลยออกจากรพ.ตำรวจเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 นั้น แพทย์รพ.ตำรวจออกใบแสดงความเห็นแพทย์ให้เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครใช้ใบรับรองแพทย์ฉบับลงวันที่ 15 กันยายน 2566 วันที่ 18 ตุลาคม 2566 และวันที่ 21 ธันวาคม 2566 เป็นหลักฐานประกอบบันทึกข้อความถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ขออนุญาตให้จำเลยพักรักษาตัวนอกเรือนจำต่อไปเกินกว่า 30 วัน 60 วัน และ 120 วัน โดยอ้างเหตุต้องรักษาแผลผ่าตัด ต้องรับการผ่าตัดเร่งด่วน ต้องรักษาสมองขาดเลือดและผ่าตัดภาวะกระดูกคอเสื่อม ตามลำดับ ทั้งที่การผ่าตัดตามที่ระบุในใบแสดงความเห็นแพทย์เป็นการผ่าตัดนิ้วล็อก ผ่าตัดเอ็นหัวไหล่ขวาซึ่งฉีกขาดเพราะจำเลยประสบอุบัติเหตุขณะพักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ และมิใช่สาเหตุการป่วยอันเป็นเหตุที่อ้างใช้ส่งตัวจำเลยมาที่โรงพยาบาลตำรวจ และการผ่าตัดภาวะกระดูกคอเสื่อมแพทย์เคยเสนอจำเลยให้ผ่าตัดภายหลังจากจำเลยอยู่โรงพยาบาลตำรวจแต่จำเลยปฏิเสธการผ่าตัด ทั้งได้ความว่าในที่สุดก็ไม่มีการผ่าตัดกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาทของจำเลยแต่อย่างใดจนกระทั่งจำเลยออกจากโรงพยาบาลตำรวจ

บังคับโทษไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า การบังคับโทษจำคุกจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และตามพฤติการณ์ดังกล่าวมาข้างต้นบ่งชี้ให้เห็นว่า จำเลยทราบข้อเท็จจริงหรือรับรู้เหตุการณ์ได้ว่าตนไม่ได้ป่วยวิกฤติฉุกเฉิน แต่จำเลยมีเพียงโรคประจำตัวซึ่งเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาตัวแบบผู้ป่วยนอกได้ โดยไม่จำเป็นต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่รพ.ตำรวจ เพราะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพและสภาวะร่างกายของจำเลยเอง

นอกจากนั้นยังได้ความว่าจำเลยเข้ามามีส่วนตัดสินใจในกระบวนการรักษาของแพทย์ โดยปฏิเสธการผ่าตัดรักษาโรคหัวใจและโรคกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาท แต่ให้แพทย์รักษาโดยการรับประทานยาตามอาการและเลือกรับการผ่าตัดนิ้วล็อกและเอ็นหัวไหล่ขวาซึ่งไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนและเป็นผลทำให้การรักษาตัวจำเลยในรพ.ตำรวจขยายระยะเวลาออกไป จำเลยจึงได้รับประโยชน์จากการพักอยู่ที่รพ.ตำรวจโดยไม่ต้องกลับไปถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครจนได้รับการปล่อยตัว และไม่อาจอ้างว่าเป็นการดำเนินการของแพทย์และเจ้าหน้าที่มิได้เกิดจากการกระทำของจำเลยเพื่อถือเอาประโยชน์จากระยะเวลาที่พักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจมาหักวันคุมขังโทษตามคำพิพากษา

ต้องรับโทษจำคุกอีก1ปี

เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 1 สิงหาค 2566 มีพระบรมราชโองการพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษให้จำเลยเหลือโทษจำคุกต่อไปอีก 1 ปี ตามกำหนดโทษตามคำพิพากษา ดังนี้ ย่อมมีผลทำให้จำเลยได้รับการลดโทษและต้องรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาต่อไปอีก 1 ปี นับแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2566 แต่หามีผลทำให้การบังคับโทษจำคุกจำเลยสิ้นสุดลงไม่ เมื่อการบังคับโทษจำเลยเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายดังที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้น กระบวนการบังคับโทษรวมทั้งการพักการลงโทษจำเลยจึงไม่มีผลตามกฎหมาย และไม่อาจนำเอาระยะเวลาที่พักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจมาหักเป็นวันคุมขังได้ จำเลยจึงต้องรับโทษจำคุกอีก 1 ปี ตามพระบรมราชโองการ

ต่อมาเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ได้นำตัวนายทักษิณ ขึ้นรถตู้สีขาวมุ่งหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพทันที

มติศาล5-0 ส่งเทวดาเข้ากลับคุก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบคำสั่งศาลฎีกาฯนักการเมืองในคดีบังคับโทษชั้น 14 ไม่ได้มีการเขียนมติขององค์คณะไว้ในคำสั่ง แต่ เเหล่งข่าวจากศาลยุติธรรมระบุว่า กรณีถ้ามีมติเป็นเอกฉันท์จะไม่มีการระบุมติไว้ในคำสั่ง ยกเว้นเเต่กรณีที่มีความเห็นไม่ตรงกันจึงจะเขียนมติเอาไว้ เท่ากับคำสั่งศาลฎีกาในวันนี้ที่ไม่ลงรายละเอียดมติองค์คณะเอาไว้มติจึงเป็นที่เอกฉันท์

สำหรับรายชื่อ องค์คณะศาลฎีกาทั้ง 5 คนประกอบด้วย นายฉัตรชัย ไทรโชต นายอดุลย์ อุดมผล นายไตรรัตน์ แก้วศรีนวล นางสุพิชญ์ กรอบคำ และ นายพัฒนไชย ยอดพยุง

อิ้งค์เปิดใจเทวดาติดคุก

เวลา 11.15น.น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สั่งบังคับโทษนายทักษิณ เป็นเวลา 1 ปี ว่า รู้สึกสำนักในพระมหากรุณาธิคุณที่ลดโทษพ่อเหลือ 1 ปี พวกเราทั้งครอบครัวสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ต้องขอบคุณทุกท่านที่ส่งกำลังใจ ห่วงใยพ่อและครอบครัวของเรา นายทักษิณ ยังเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณในเรื่องการเมืองที่ผ่านมา ผลงานที่ทำเพื่อบ้านเมือง ท่านนึกถึงบ้านเมืองอยู่เสมอ หวังเป็นส่วนหนึ่งให้ชีวิตประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ ตนและครอบครัวห่วงนายทักษิณ แต่ก็ภูมิใจที่พ่อสร้างประวัติศาสตร์มากมายในประเทศ นโยบายที่เป็นประโยชน์อย่างมาก

วันนี้ประวัติศาสตร์นายกฯคนแรกที่ต้องจำคุก ซึ่งเป็นเรื่องค่อนข้างหนักนิดหนึ่ง กำลังใจดีทั้งพ่อและครอบครัว ส่วนตัวตนและเพื่อไทยยังมุ่งหน้าทำงานต่อเป็นฝ่ายค้าน ทำงานเพื่อประชาชน ตรวจสอบรัฐบาลต่อไป ทุกคนในพรรคมีกำลังใจที่ดีขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจ อยู่เคียงข้างตลอดเวลาที่ผ่านมา จากนั้น น.ส.แพทองธาร ยกมือไหว้ขอบคุณ ก่อนเดินทางกลับ

เทวดาแม้วน้อมรับคำตัดสิน

ด้านนายทักษิณ โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุกส่วนตัว ระบุว่า “พี่น้องประชาชนที่เคารพ ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้พระราชทานอภัยลดโทษจำคุกแก่ผมคงเหลือเวลา 1 ปี นับเป็นพระมหากรุณาที่คุณอย่างหาที่สุดไม่ได้ ต่อทั้งตัวผม และครอบครัว ผมขอน้อมรับและพร้อมเข้าสู่กระบวนการตามคำพิพากษาในวันนี้ ตลอดระยะเวลาของการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีตั้งแต่ปี 2544 - 2549 ผมพยายามผลักดันทุกนโยบายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน เปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเมืองของประเทศไทย ให้พรรคการเมืองแข่งขันกันด้วยนโยบาย สร้างประชาธิปไตยที่กินได้จากผลงานของรัฐบาลที่ทำได้จริง ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจอย่างที่สุดในฐานะนักการเมืองจากการเลือกตั้งของประชาชน แม้ว่าทุกคดีจะเกิดขึ้นหลังการรัฐประหารรัฐบาลของผมเมื่อปี 2549 แต่วันนี้ผมขอมองไปข้างหน้า ให้ทุกอย่างที่ผ่านมามีข้อยุติ ทั้งการต่อสู้คดีตามกฎหมาย และความขัดแย้งใดๆอันเกิดขึ้นหรือเกี่ยวข้องกับตัวผม

ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ให้การสนับสนุนตลอดมา ขอบคุณนักการเมือง สมาชิกพรรคเพื่อไทย และเพื่อนมิตรทั้งหลายที่เคียงข้างกัน ทั้งในยามสุขและยามยาก ผมตัดสินใจเลือกทางเดินนี้ เพื่อส่งกำลังใจให้ทุกคนเดินไปข้างหน้า ทำงานเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน ด้วยอุดมการณ์และจิตวิญญาณที่เรามีร่วมกันมา จนกว่าจะถึงวันที่เราได้เดินร่วมทางกันอีกครั้ง

จากวันนี้แม้ผมจะไร้อิสรภาพ แต่ยังมีเสรีภาพทางความคิดเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ผมจะรักษาความเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อใช้เวลาในชีวิตที่เหลืออยู่ รับใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ แผ่นดินไทยและประชาชนคนไทย ไม่ว่าจะในสถานะใดนับจากนี้ ขอบคุณครับ”

ชมเทวดาทักษิณมารับโทษ

นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตสส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ ผู้ร้องคดีนายทักษิณ กล่าวว่า ขอขอบคุณนายทักษิณที่แสดงความรับผิดชอบ เดินทางกลับมาฟังคำพิพากษาศาล อันนี้ต้องยอมรับว่านายทักษิณคิดถูกที่กลับมารับโทษแต่ประเทศไทยไม่คุ้มหรอกติดคุกปีเดียว ซึ่งก็เป็นเรื่องที่กฎหมายทำได้เท่านี้เอง

ส่วนนายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา(สว.) กล่าวว่า ขอบคุณศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่คืนความยุติธรรมให้กับสังคมไทย และขอชื่นชมคุณทักษิณที่กล้ากลับมา เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมเดินหน้าต่อไป

ส่งตัวเข้าเรือนจำพิเศษกทม.แล้ว

เวลา 11.52น.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขบวนรถตู้ของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่มี นายทักษิณ อยู่ด้วย ได้มาถึงเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เขตจตุจักร กทม.

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวตรวจสอบพบว่าเพจ Facebook ชื่อ “เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร“ ซึ่งเป็นบัญชี Facebook สำหรับประชาสัมพันธ์งานเยี่ยมญาติของเรือนจำและกิจกรรมของเรือนจำ พบว่าเมื่อ 4 วันที่ผ่านมา ทางเรือนจำฯ ได้โพสต์รูปภาพและข้อความระบุว่า “ประชาสัมพันธ์จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร” เรือนจำพิเศษกรุงเทพ มหานคร เรือนจำศูนย์ระหว่างพิจารณาคดี (HUB) ประกาศหยุดให้บริการชั่วคราว เนื่องด้วยทางเรือนจำมีการดำเนินการปรับปรุงพื้นที่บริการ เพื่อยกระดับความสะดวกในการให้บริการแก่ประชาชน จึงขอแจ้งหยุดให้บริการชั่วคราวในส่วนของการมารับบริการที่เรือนจำ (Onsite) ในวันที่ 8-9 ก.ย.68 ได้แก่ การเยี่ยมญาติ/ทนายความ การซื้อสินค้า (หน้าร้านสงเคราะห์) การฝากเงิน แต่ในส่วนของการเยี่ยมญาติทางไลน์/ซื้อสินค้าทางไลน์ ยังเปิดให้บริการตามปกติ ขออภัยในความไม่สะดวก

“หนู”เศร้าใจเทวดาติดคุก

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายทักษิณ ต้องกลับไปเข้าคุกอีก1ปี โดย ระบุสั้นๆ ว่า “ผมก็เสียใจ ผมก็เห็นใจท่าน” คนระดับท่าน คนระดับนี้ที่บริหารประเทศมา ตนก็ไม่อยากให้ท่านมาเจอสภาพเช่นนี้

คิวต่อไปลูกสมุนรับผลกรรม

นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าศาลฎีกา โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กระบุว่า ศาลฎีกามีคำสั่งว่า นายทักษิณ ยังไม่ได้ถูกจำคุกตามหมายจำคุกของศาล จึงมีคำสั่งให้กรมราชทัณฑ์ นำตัวนายทักษิณไปจำคุกตามหมายจำคุกของศาลมีกำหนดเวลา1ปี ต่อไปนี้บรรดาข้าราชการกรมราชทัณฑ์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งตัวนายทักษิณไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจและนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจรวมทั้งแพทย์ที่มีส่วนช่วยให้นายทักษิณได้รับการปล่อยตัวโดยไม่ต้องรับโทษ ก็คงรอรับผลกรรมที่แต่ละคนได้กระทำไว้

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top