'อดีตผู้พิพากษา' เห็นด้วยคำสั่งบังคับโทษจำคุก แต่เห็นแย้งวันเริ่มนับโทษ ชี้'ทักษิณ'อาจขอ'ขังนอกเรือนจำ'

'อดีตผู้พิพากษา' เห็นด้วยคำสั่งบังคับโทษจำคุก แต่เห็นแย้งวันเริ่มนับโทษ ชี้'ทักษิณ'อาจขอ'ขังนอกเรือนจำ'

วันพุธ ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2568, 07.39 น.

วันที่ 10 กันยายน 2568 นายวัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า ศาลฎีกาตัดสินจำคุกทักษิณ 1 ปี โดยไม่เอาเวลาที่อยู่ในโรงพยาบาลตำรวจมาหักเป็นวันคุมขัง
----------- 
วันนี้ (อังคารที่ 9 กันยายน 2568) เวลา 10.00 น. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอ่านคำสั่งคดีหมายเลขดำที่ บค1/2568 ว่า การบังคับโทษจำคุกนายทักษิณ ชินวัตร จำเลย ไม่ชอบด้วยกฎหมาย นายทักษิณต้องรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาต่อไปอีก 1 ปี นับแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2566  
ศาลฎีกาให้เหตุผลดังต่อไปนี้

1)ศาลมีอำนาจไต่สวนการบังคับโทษของจำเลย เพราะการนำตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำนั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของกฎหมายว่าด้วยการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำด้วย


มิใช่ว่าเมื่อเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครหรือกรมราชทัณฑ์ใช้อำนาจตามกฎหมายที่บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะแล้วจะไม่อยู่ภายใต้การตรวจสอบความถูกต้องชอบด้วยกฎหมายโดยศาล
ดังนั้น หากความปรากฎแก่ศาลว่าอาจมีการบังคับโทษผู้ต้องขังในคดีนี้ไม่เป็นไปตามหมายจำทุกเมื่อคดีถึงที่สุด ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการมือง ซึ่งเป็นศาลที่มีคำพิพากษาและออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด ย่อมมีอำนาจไต่สวนและตรวจสอบได้

2) การดำเนินกระบวนพิจารณาไต่สวนของศาลในชั้นนี้ไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคำสั่งศาลตามคำร้องเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 และวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 เพราะที่มาแห่งประเด็นแห่งคดีของการไต่สวนครั้งนี้ กำหนดประเด็นการไต่สวนตามข้อเท็จจริงที่ปรากฎต่อศาล ซึ่งแสดงให้เห็นว่า กรณีอาจมีการบังคับโทษไม่เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาล ซึ่งยังไม่เคยมีคำวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นนี้มาก่อน ทั้งการไต่สวนของศาลก็ไม่ได้อาศัยเนื้อหาตามคำร้องของผู้ร้องแต่อย่างใด

3) การบังคับโทษจำเลยไม่เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด เพราะว่า

1)การส่งตัวจำเลยออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 มาตรา 55 และกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ 2563

2) เมื่อส่งจำเลยไปถึงโรงพยาบาลตำรวจ ได้พาจำเลยไปที่ห้องพักพิเศษ ชั้นที่ 14 ของอาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา (มภร.) ซึ่งไม่ใช่ห้องฉุกเฉินหรือห้องอุบัติเหตุ ขัดกับระเบียบโรงพยาบาลตำรวจ ว่าด้วยการรับตัวผู้ป่วยคดีที่เป็นผู้ต้องหา ผู้ต้องกัก ผู้ต้องขังหรือนักโทษเข้ารับการรักษาพยาบาลเป็นผู้ป่วยของโรงพยาบาลตำรวจ พ.ศ. 2557 

3) ในวันที่ 23 สิงหาคม 2566  ที่มีการส่งตัวจำเลยมาที่โรงพยาบาลตำรวจโดยอ้างว่าเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น ไม่มีการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และไม่มีการตามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจมาดูอาการในทันที เพิ่งจะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจเข้ามาตรวจจำเลยในวันที่ 24 สิงหาคม 2566 หรือหลังจาก 24 ชั่วโมงไปแล้ว และได้ความว่า ที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์มีเครื่องมือตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ มียาขยายหลอดลมและยาลดความดันโลหิตที่ใช้รักษาจำเลยตามเวชระเบียนของโรงพยาบาลดำรวจในวันที่ 23 สิงหาคม 2566 แสดงให้เห็นได้ว่า อาการของจำเลยในคืนเกิดเหตุอยู่ในศักยภาพที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์สามารถรักษาได้ ไม่จำต้องส่งตัวจำเลยไปรักษานอกเรือนจำ

4) เชื่อได้ว่า ในคืนวันที่ 22 สิงหาคม 2566 จำเลยไม่ได้มีอาการแน่นหน้าอก แต่อ้างว่ามีอาการแน่นหน้าอกเพื่อให้เจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครใช้เหตุดังกล่าเป็นข้ออ้างในการส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ

หากเกิดขึ้นจริงดังที่จำเลยอ้าง อาการของจำเลยก็ทุเลาดีขึ้นและสามารถกลับไปรักษาตัวที่สถานพยาบาลของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร หรือทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไป

5) อาการของจำเลยตามที่ระบุในเวชระเบียนของโรงพยาบาลตำรวจนับแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไปนั้น  ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์สามารถดูแลจำเลยได้

6) สำหรับการรักษาจำเลยที่โรงพยาบาลตำรวจตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2566 จนถึงวันที่จำเลยออกจากโรงพยาบาลตำรวจเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 นั้น แพทย์โรงพยาบาลตำรวจออกใบแสดงความเห็นแพพย์ให้เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครใช้ใบรับรองแพทย์ฉบับลงวันที่ 15 กันยายน 2566 วันที่ 18 ตุลาคม 2566 และวันที่ 21 ธันวาคม 2566 เป็นหลักฐานประกอบบันทึกข้อความถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ขออนุญาตให้จำเลยพักรักษาตัวนอกเรือนจำต่อไปเกินกว่า 30 วัน 60 วัน และ 120 วัน โดยอ้างเหตุต้องรักษาแผลผ่าตัด ต้องรับการผ่าตัดเร่งด่วน ต้องรักษาสมองขาดเลือดและผ่าตัดภาวะกระดูกคอเสื่อม ตามลำดับ

ทั้งที่การผ่าตัดตามที่ระบุในใบแสดงความเห็นแพทย์เป็นการผ่าตัดนิ้วล็อก ผ่าตัดเอ็นหัวไหล่ขวาซึ่งฉีกขาดเพราะจำเลยประสบอุบัติเหตุขณะพักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ และมิใช่สาเหตุการป่วยอันเป็นเหตุที่อ้างใช้ส่งตัวจำเลยมาที่โรงพยาบาลดำรวจ และการผ่าตัดภาวะกระดูกคอเสื่อม แพทย์เคยเสนอจำเลยให้มาผ่าตัดภายหลังจากจำเลยอยู่โรงพยาบาลตำรวจ แต่จำเลยปฏิเสธการผ่าตัด ทั้งได้ความว่าในที่สุดก็ไม่มีการผ่าตัดกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาทของจำเลยแต่อย่างใดจนกระทั่งจำเลยออกจากโรงพยาบาลตำรวจ

ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า การบังคับโทษจำคุกจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย 

7) ตามพฤติการณ์ดังกล่าวมาข้างต้นบ่งชี้ให้เห็นว่า จำเลยทราบข้อเท็จจริงหรือรับรู้เหตุการณ์ได้ว่าตนไม่ได้ป่วยวิกฤติฉุกเฉิน แต่จำเลยมีเพียงโรคประจำตัวซึ่งเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาตัวแบบผู้ป่วยนอกได้

โดยไม่จำเป็นต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลดำรวจ เพราะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพและสภาวะร่างกายของจำเลยเอง

นอกจากนั้นยังได้ความว่าจำเลยเข้ามามีส่วนตัดสินใจในกระบวนการรักษาของแพทย์ โดยปฏิเสธการผ่าตัดรักษาโรคหัวใจและโรคกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาท
แต่ให้แพทย์รักษาโดยการรับประทานยาตามอาการและเลือกรับการผ่าตัดนิ้วล็อกและเอ็นหัวไหล่ขวาซึ่งไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนและเป็นผลทำให้การรักษาตัวจำเลยในโรงพยาบาลดำราจขยายระยะเวลาออกไป

จำเลยจึงได้รับประโยชน์จากการพักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจโดยไม่ต้องกลับไปถูกคมขังที่เรือนจำพิเศษกรงเทพมหานครจนได้รับการปล่อยตัว และไม่อาจอ้างว่าเป็นการดำเนินการของแพทย์และ

เจ้าหน้าที่มิได้เกิดจากการกระทำของจำเลยเพื่อถือเอาประโยชน์จากระยะเวลาที่พักอยู่ที่โรงพยาบาลดำรวจมาหักวันคุมขังโทษตามคำพิพากษา

ผู้เขียนพิจารณาแล้ว มีความเห็นดังนี้ 

(1)คำวินิจฉัยของศาลฎีกาชอบด้วยเหตุผลและตรงตามกฎหมายแล้ว และเป็นการยืนยันว่า กรณีนี้เป็นปัญหาการที่ผู้ต้องขังซึ่งอ้างว่าป่วยจนถึงขนาดต้องออกไปรักษานอกเรือนจำตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 55 ไม่ใช่กรณีทุเลาการบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 246 ดังที่กูรูหลายคนกล่าวอ้างผ่านสื่อโทรทัศน์และสื่อออนไลน์

(2) แต่ที่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พระบรมราชโองการอภัยลดโทษเหลือ 1 ปี เริ่มนับตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2566 นั้น ผู้เขียนไม่อาจเห็นพ้องด้วยได้ เพราะข้อความในพระบรมราชโองการระบุชัดเจนเว่า นักโทษเด็ดขาดชาย ทักษิณ ชินวัตร ยื่นทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ โดยอ้างว่า รัยโทษมาแล้ว 10 วัน ซึ่งแสดงว่า ผู้ยื่นรับโทษมาตั้งแต่วันที่ 22 ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2566 ดังนั้น โทษจำคุก 1 ปี จึงต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2566 เป็นต้นไป ไม่ใช่วันที่ 31 สิงหาคม 2566 อย่างไรก็ตาม วันดังกล่าวได้กลายเป็นอดีตผ่านพ้นไปแล้ว จึงต้องนับตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2568 ซึ่งเป็นวันที่ศาลฎีกามีคำสั่งและจำเลยมาฟังคำสั่ง ผลแห่งคดีจึงถูกต้อง ไม่คลาดเคลื่อน

(3) หลังจากจำเลยถูกคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ซึ่งต่อมาได้ย้ายไปอยู่ที่เรือนจำงบกลางคลองเปนมแล้ว จำเลยอาจดำเนินการขอ “ขังนอกเรือนจำ” ตามประกาศกรมราชทัณฑ์ เรื่อง กำหนดคุณสมบัติเฉพาะ ลักษณะต้องห้าม และวิธีการคุมขังผู้ต้องขังในสถานที่คุมขัง ตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ. 2566 พ.ศ. 2568 ที่ประกาศเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 และมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับประกาศนี้ 3 ฉบับ คือ พ.ร.บ. ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 33 , กฎกระทรวงกำหนดสถานที่คุมขัง พ.ศ. 2563  และระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ. 2566 ซึ่งอาจมีปัญหาที่ต้องติดตามต่อไป

วัส ติงสมิตร

นักวิชาการอิสระ

9/9/68

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top