แนวหน้าวิเคราะห์ : เมื่อนักการเมือง คิดลุยไฟ แก้ไข รธน.60‘ฉบับปราบโกง’เคยถามประชาชนจะยอมไหม???

แนวหน้าวิเคราะห์ : เมื่อนักการเมือง คิดลุยไฟ แก้ไข รธน.60‘ฉบับปราบโกง’เคยถามประชาชนจะยอมไหม???

วันพุธ ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2568, 07.00 น.

ต้องยอมรับนักการเมืองยุคนี้ หนีไม่พอสาละวนกับทางแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 60 มาตลอด ในความเป็นจริงแล้ว ประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ไม่ได้มีผลกระทบหรือเดือดร้อนแต่อย่างใด มีเฉพาะนักการเมือง นักเลือกตั้ง ที่ดิ้นรนจะหาทางแก้ไขมาทุกครั้ง มักจะโทษและโยนความผิดไปให้คณะที่มาทำรัฐประหารยึดอำนาจอ้างเป็นผลไม้พิษจากเผด็จการโดยไม่มองในมุมมองที่ดีของรัฐธรรมนูญ‘ฉบับปราบโกง’

ในครั้งนี้ก็เช่นกัน เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เป็นข้อตกลงร่วม ระหว่างพรรคภูมิใจไทย กับพรรคประชาชน  ในการที่พรรคประชาชนโหวตหนุน “อนุทิน ชาญวีรกูล”หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 ภายใต้ ข้อตกลง คือ ให้แก้หมวด 15ว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเปิดช่องให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.)แก้ไขเสร็จ ยุบสภาและเดินกระบวนการเลือกตั้งส.ส.ร.ไปพร้อมกับการเลือกตั้งใหม่ซึ่งพรรคประชาชน ให้เวลารัฐบาล 4 เดือน แล้วยุบสภา 


ในที่สุด เมื่อศาลรัฐธรรมนูญ มีมติว่ารัฐสภามีอำนาจริเริ่มหรือแสดงความต้องการเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ แต่ต้องให้ประชาชนออกเสียงประชามติ ให้ความเห็นชอบว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่เสียก่อน การจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติหมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่งรัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้แต่รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง

ประเด็นที่สอง การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต้องมีการจัดให้มีการออกเสียงประชามติกี่ครั้ง ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติโดยเสียงข้างมาก(6 ต่อ 1)วินิจฉัยว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต้องจัดให้ประชาชนออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง ได้แก่ ครั้งที่ 1 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ครั้งที่ 2 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่ามีวิธีการและเนื้อหาที่สำคัญอย่างไร และครั้งที่ 3 ภายหลังรัฐสภาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่าเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ อนึ่ง การออกเสียงประชามติครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 อาจรวมเป็นครั้งเดียวกันได้

เมื่อในเรื่องประชามติชัดเจน พรรคประชาชน ก็เร่งเครื่องทันที “เท้ง”ณัฐพงษ์  เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ รีบส่งสัญญาณทันที

“เราควรเดินหน้าสู่การจัดทําประชามติ รอบที่ 1 พร้อมกับการเลือกตั้งทั่วไป ที่จะเกิดขึ้นจากการยุบสภาภายใน 4 เดือน หลัง ครม.ใหม่เข้าปฏิบัติหน้าที่ซึ่งจะกระทำการได้ หลังจากที่รัฐสภาพิจารณาและให้ความเห็นชอบกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 15 พรรคภูมิใจไทย ในฐานะพรรคแกนนํารัฐบาลควรรวบรวมเสียงสส.รัฐบาล เพื่อยื่นร่างแก้ไขด้วย”

มองอีกว่าควรมีเนื้อหาที่เป็นการเสนอให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.)ที่มาจากการเลือกตั้งตามข้อตกลง แม้ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่ารัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง แต่เราเห็นว่าคําวินิจฉัยดังกล่าว อาจยังไม่ได้ปิดประตู ในการจะมีส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้ง เนื่องจากรัฐสภาสามารถออกแบบกลไกให้ส.ส.ร.ส่งร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ ส.ส.ร.จัดทํา มาที่รัฐสภาก่อนส่งไปทําประชามติกับประชาชนได้

ข้อเรียกร้องนี้ เหมือนพรรคประชาชนต้องให้พรรคภูมิใจไทยเป็นหน่วยกล้าตาย ในนามรัฐบาลเสนอร่างแก้ไขหมวด 15 ที่มีเรื่องการเลือกตั้ง ส.ส.ร.ตามข้อตกลง ด้วยวิธีที่คาดหวังว่าสภาคงจะสามารถออกแบบกลไกให้มีส.ส.ร.ได้พร้อมใช้เสียงสส.พรรคประชาชนในการกำกับ

เรื่องนี้ พรรคภูมิใจไทย ยังไม่อยากรับปากอะไรได้ แต่ได้ตั้งคณะทำงานเตรียมการพิจารณาการจัดทำประชามติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มี ไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย นั่งประธานฯพิจารณาไปก่อน อาจต้องคุยกับพรรคประชาชนด้วย จะให้ทำอย่างไร เมื่อไม่ให้ส.ส.ร.มาจากการเลือกตั้งโดยตรง

ถึงมีดีลกัน แต่อย่าบีบให้ถึงตายภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560 ใครจะกล้าแหยมกับศาลรัฐธรรมนูญ อาจโดนยุบพรรค ตัดสิทธิ์การเมืองได้

ขณะเดียวกันประโยค“รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง”ไม่ได้บอกว่าไม่ให้มีส.ส.ร. แต่อาจต้องเป็นการได้มาแบบเล่นแร่แปรธาตุอะไรหลายชั้น อาจคล้ายเลือกสว.ซึ่งจะก่อให้เกิดความหวาดระแวงว่า“จะสีน้ำเงินซ้ำรอยหรือไม่”

เมื่อพรรคประชาชนได้ประกาศยืนหยัดเป็นฝ่ายค้านจะ“ทำหน้าที่เข้มแข็งในการตรวจสอบ”แต่ลึกๆในเกม“ภูมิใจไทย”คงไม่ยอมง่ายๆเช่นกัน เพราะยังมีอีกหลายขั้นตอน และสิ่งสำคัญการจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องผ่านด่านของวุฒิสภา ซึ่งจำเป็นต้องได้เสียงสนับสนุน จึงจะเปิดประตูแก้ได้ ถ้าไม่ผ่านก็จบเช่นกัน

ขณะที่พรรคเพื่อไทย"ชูศักดิ์ ศิรินิล"รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย นัดทีมกฎหมายชุดเล็กเป็นฝ่ายกฎหมายของพรรคเพื่อหารือถึงการเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ย้ำ"เรื่องนี้จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และตามหมวด 15 ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติม ที่จะต้องมีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งจะเป็นการกำหนดวิธีการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่า จะทำอย่างไร ก่อนจะนำเสนอสู่รัฐสภา ให้พิจารณาครบทั้ง 3 วาระซึ่งวาระที่ 1และวาระ3 จะต้องมีเสียงของสมาชิกวุฒิสภาเห็นชอบด้วย 1ใน 3 และต้องได้เสียงจากพรรคการเมืองฝ่ายค้านร้อยละ20 เห็นชอบด้วย ซึ่งหากไม่ได้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว การเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็จบกระดาน ม้วนเสื่อกลับบ้าน"

ศาลฯชี้ว่าห้ามเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือ ส.ส.ร.โดยตรงซึ่งแถลงการณ์ของพรรคเพื่อไทยก่อนหน้านี้ มีแนวทางในการเลือกส.ส.ร.โดยอ้อม เช่นแนวคิดที่ว่าให้รัฐสภาเลือก ส.ส.ร.หรือให้รัฐสภา ตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยแนะดึงตัวแทนทุกภาคส่วนร่วมทำหน้าที่แทน ส.ส.ร.

“หากจะยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมให้แล้วเสร็จทั้ง3วาระ ภายในระยะเวลา 4 เดือนไม่ต้องเป็นอันกินอันนอนกัน หลังต.ค.ปิดสมัยประชุมสภาฯก็ไม่ต้องไปไหนกัน ประชุมการจัดทำรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ต้องทุ่มเทกันถึงขนาดทั้งวัน ทั้งคืนไม่เช่นนั้นก็ไม่ทัน พี่น้องสื่อมวลชน ก็ถามกันว่า ปวดหัวไหม ยอมรับว่าปวดหัว ปัญหาไม่ใช่ง่ายๆ พอไปประชุมมีเรื่องที่ต้องให้คิดสลับซับซ้อนเช่นกรรมาธิการกับสภาร่างฯจะเอาอย่างไรเถียงกันได้ทั้งวันทั้งคืน“นายชูศักดิ์ ย้ำ

ขณะที่ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กChaiyan Chaiyapornระบุว่า“ก่อนจะทำประชามติ ขอให้พรรคการเมืองต่างๆบอกมาก่อนว่าจะแก้ประเด็นหรือมาตราอะไรบ้าง?”

ในความจริงแล้ว ทุกพรรคการเมือง เคยถามประชาชนกันบ้างไหมว่าจะยอมหรืออยากให้มีแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้หรือไม่  และทำไมถึงไม่จัดทำประชามติ ครั้งที่ 1 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ เพื่อให้เกิดชัดเจนไปเลย จะได้รู้คำตอบ หากเสียงของประชาชนคนไทยทั้งประเทศไม่เห็นด้วยให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทุกอย่างจะได้จบทีเดียว และควรเอาเวลาไปทำงานแก้ปัญหาบ้านเมืองต่างๆและที่สำคัญจะได้นำเอาเงินงบประมาณที่จะจัดทำประชามตินำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเรื่องปากท้องและอื่นๆที่มีความสำคัญมากกว่าจะมัววุ่นกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญในเวลานี้

 เพราะเชื่อปัญหา ไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญ แต่อยู่ที่นักการเมืองมากกว่า หากมั่นใจอาสามาเป็นตัวแทนประชาชน ไม่มีประวัติด่างพร้อย ก็ไม่ต้องกลัวกับข้อบัญญัติในรัฐธรรมนูญ อย่ามองรัฐธรรมนูญจะไปขัดขวางเพียงอย่างเดียว อยากถามว่า ถ้าไม่มีแก้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ จะมีนักการเมืองเดือดร้อนจนไม่สามารถทำงานทางการเมืองได้สักกี่คน 

หรือจะเป็นอาถรรพ์ทางการเมือง ทุกครั้งที่จะแตะจะแก้ไขรัฐธรรมนูญปี60 มักจะไปไม่รอด แก้ไม่สำเร็จ หากเสียงของประชาชนต้องการให้มีรัฐธรรมนูญปี60ฉบับปราบโกงอยู่ต่อไป ซึ่งนักการเมืองก็ต้องยอมรับและเคารพเสียงของประชาชนด้วย

เพราะสุดท้ายเราจะเห็นธาตุแท้นักการเมือง ที่อยากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเอื้อเฉพาะประโยชน์กับนักการเมืองเท่านั้น โดยที่ประชาชนไม่ได้อะไรเลย จากการแก้ไขที่จะเกิดขึ้น   

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top