ผู้ว่าฯสระแก้วยื่นคำขาดกัมพูชา
เขมรต้องออกไป
ยุติการเจรจาระดับจังหวัด
เร่งติดตั้งรั้วอิเล็กทรอนิกส์
สกัดกั้นผู้ลักลอบเข้าเมือง
กองทัพยังกู้ระเบิดภูมะเขือ
สถานการณ์ชายแดนตึงเครียดขึ้น! ผู้ว่าฯสระแก้ว ออกแถลงการณ์ตอบโต้ผู้ว่าฯ บันเตียเมียนเจย อย่างดุเดือด โดยปฏิเสธ 4 ข้อเสนอจากฝ่ายกัมพูชาที่ขอให้ไทยรื้อลวดหนามออกให้ชาวกัมพูชากลับไปอยู่อาศัยแบบเดิมได้ พร้อมยื่นคำขาดให้ชาวกัมพูชาที่รุกล้ำดินแดนอพยพออกไปจากแผ่นดินไทย พร้อมประกาศยุติการเจรจาในระดับจังหวัด ด้านกองทัพเสริมกำลังตามแนวชายแดนด้วยการสร้างรั้วอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อป้องกันการลักลอบเข้าเมือง ด้านทหารพรานจับกุมแรงงานชาวกัมพูชาลอบเข้าเมืองได้อีก 13 ราย สารภาพอยู่กัมพูชาไม่มีงานทำ ใกล้อดตาย
วันที่ 20 ก.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่นายอุม เรียไตร ผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจย ของกัมพูชา ได้ทำหนังสือถึงนายปริญญา โพธิสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว กรณีข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ที่บ้านหนองหญ้าแก้ว ต.โคกสูง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว อ้างตามข้อตกลงหยุดยิงเมื่อวันที่ 28 ก.ค.68 ในการประชุม GBC สมัยพิเศษ เมื่อวันที่ 7 ส.ค.68 และการประชุม GBC ครั้งที่สองเมื่อวันที่ 10 ก.ย.68 จะไม่ขยายขอบเขตของปัญหาหรือความขัดแย้ง โดยรอมติจากคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (BC) ของทั้งสองประเทศคือกัมพูชา-ไทยในอนาคต
จังหวัดบันเตียเมียนเจย จึงได้เสนอข้อเสนอ 4 ข้อ คือ 1.ให้คงสภาพเดิมไว้โดยเคารพข้อตกลงหยุดยิง 2.ฝ่ายไทยต้องอนุญาตให้ชาวกัมพูชาเดินทางกลับไปในพื้นที่จองตนเองได้ และจะต้องรื้อถอนลวดหนาม ผาสแลนและยางรถยนต์ออกจากพื้นที่ที่ไทยได้วางไว้ 3.ห้ามฝ่ายไทยติดตั้งรั้วลวดหนามเพิ่มเติม ห้ามออกหนังสือถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดิน การรื้อถอนทำลายบ้านเรือนทรัพย์สินของประชาชนกัมพูชาที่อยู่ติด รั้วลวดหนาม และไม่กระทำการใดๆในพื้นที่ ที่คณะกรรมการ JBC ทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้ตกลงกัน และ 4.กรณีที่ไม่อยู่ในอํานาจหน้าที่ของจังหวัด จะต้องส่งเรื่องไปยัง GBC หรือ JBC
ผู้ว่าฯสระแก้วโต้ผู้ว่าเขมร
หลังจังหวัดสระแก้วได้เห็นหนังสือข้อเสนอของผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจย นายปริญญา โพธิสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว จึงได้ทำหนังสือตอบปฏิเสธข้อเสนอของผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจย พร้อมออกแถลงการณ์ตอบโต้ทันที ดังนี้ 1.จังหวัดสระแก้วขอให้ประชาชนชาวกัมพูชาที่รุกล้ำอพยพออกไปให้พ้นแนวพื้นที่อ้างสิทธิ์ตลอดแนว ชายแดนจังหวัดสระแก้วทุกพื้นที่ โดยให้ส่งแผนการอพยพให้จังหวัดสระแก้วก่อนการประชมคณะกรรมการชายแดน ทั่วไป (General Border Commite) GBC ไทย - กัมพูขา ครั้งต่อไปที่จะจัดขึ้นภายในวันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม 2568นี้
2.ให้จังหวัดบันเตียเมียนเจย ปฏิบัติตามข้อเสนอของจังหวัดสระแก้วทั้ง8ข้อ ที่ได้ประชุมร่วมระหว่างผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วและผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจย เมื่อวันพุธที่ 17 ก.ย.68 หากไม่ดำเนินการตามข้อเสนอดังกล่าวจังหวัดสระแก้วจะแจ้งในการประชุม RBC ในระหว่างวันที่ 25-27 ก.ย.68 และจะไม่มีการเจรจาในระดับจังหวัดอีกต่อไป และ 3.จังหวัดสระแก้วพร้อมดำเนินการกับผู้ที่รุกล้ำอธิปไตย ทำลายหรือขโมยทรัพย์สินของทางราชการ ทำร้ายเจ้าหน้าที่และประชาชนคนไทยตามกฏหมายแห่งราชอาณาจักรไทยอย่างเด็ดขาดในขอบเขตอธิปไตยของประเทศไทย
เฝ้าระวังชายแดนต่อเนื่อง
ส่วนสถานการณ์ที่บริเวณพื้นที่ชายแดนบ้านหนองหญ้าแก้ว ต.โคกสูง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ยังคงเป็นไปด้วยความสงบ วันนี้ยังไม่มีรายงานการรวมตัวหรือการเผชิญหน้าที่ผิดปกติเกิดขึ้น แต่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของฝ่ายไทยก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวนและดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างต่อเนื่องตลอดแนวชายแดน
กองทัพไทยเดินหน้าสร้างรั้ว
พลตรีวิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย เปิดเผยถึงความคืบหน้าของแนวทางการจัดทำรั้วชายแดนไทย–กัมพูชา โดยยืนยันว่ากองทัพไทยจะเร่งดำเนินการสร้างรั้วในพื้นที่ตามแนวเขตแดนที่ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันแล้ว เพื่อยกระดับความมั่นคงและเพิ่มประสิทธิภาพในการเฝ้าระวังพื้นที่ชายแดน โดยล่าสุดกองทัพไทยได้ข้อสรุปแนวทางการสร้างรั้วถาวรในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว รวมระยะทาง 23.6 กิโลเมตร แบ่งเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงจุดตรวจอรัญ 09 ถึงหลักเขตที่ 49 ความยาว 6.5 กิโลเมตร และช่วงหลักเขตที่ 50–51 ความยาว 17.1 กิโลเมตร ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวถือว่าไม่มีปัญหาเรื่องแนวเขตแดน เนื่องจากมีคลองลึกและคลองพรมโหดเป็นเส้นแบ่งเขตธรรมชาติที่ชัดเจน
โฆษกกองทัพไทยยังกล่าวถึงแนวคิดการเสริมสร้างความมั่นคงว่า กองทัพได้เสนอรัฐบาลจัดทำ “รั้วอิเล็กทรอนิกส์” โดยใช้ระบบกล้องวงจรปิด (CCTV) ร่วมกับการสร้างรั้วชั่วคราวในจุดที่เป็นพื้นที่ล่อแหลม ซึ่งมักเกิดปัญหาการลักลอบเข้าเมืองและเป็นพื้นที่ที่ยากต่อการเฝ้าตรวจ โดยก้าวแรกของโครงการได้เริ่มต้นแล้ว เมื่อวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา กองทัพไทยได้ติดตั้งเสากล้องวงจรปิดต้นแรกบริเวณหลักเขตชายแดนที่ 50 ด้านหลังด่านคลองลึก อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว นับเป็นการวางรากฐานสำคัญในการพัฒนาระบบรั้วอิเล็กทรอนิกส์ที่ทันสมัย
อุ่นเครื่อง5.1กิโลเมตร
สำหรับแผนงานเร่งด่วนในปีงบประมาณ 2568 กองทัพไทยจะเริ่มก่อสร้างรั้วชั่วคราวในช่วงหลักเขต 50–51 ความยาว 5.1 กิโลเมตร โดยมีหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 12 (นพค.12) รับผิดชอบการปรับปรุงพื้นที่และก่อสร้าง ทั้งนี้ สำหรับพื้นที่ที่ยังไม่สามารถตกลงเรื่องแนวเขตแดนได้ กองทัพไทยยังคงใช้มาตรการลาดตระเวนและเฝ้าตรวจอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการสร้างเส้นทางยุทธวิธีตลอดแนวชายแดน เพื่อรักษาความปลอดภัยและอธิปไตยของประเทศ
พลตรี วิทัย ย้ำว่า แม้จะมีบางฝ่ายแสดงความกังวลเกี่ยวกับการสร้างรั้วชายแดน อาจนำไปสู่ปัญหาการตีความเส้นเขตแดนบนตลิ่งหรือกลางลำน้ำ แต่กองทัพไทยขอยืนยันอย่างหนักแน่นว่า การดำเนินโครงการรั้วอิเล็กทรอนิกส์ และรั้วชั่วคราวในบางพื้นที่นั้นมีความชัดเจนและอยู่ในพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมกันได้แล้ว จึงไม่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียดินแดนแต่อย่างใด ทั้งนี้ จุดประสงค์หลักของโครงการคือการเสริมสร้างความมั่นคง ป้องกันภัยคุกคาม และเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชาในระยะยาว เพื่อความปลอดภัยของประชาชนและประเทศชาติ
นาวิกโยธินจันทบุรีวางลวดหนาม
ด้านกำลังพลจากหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรี โดยชุดควบคุมทหารพรานนาวิกโยธินที่ 4 ได้ดำเนินการติดตั้งลวดหนามตามแนวชายแดน บริเวณหมู่ที่ 4 ตำบลคลองใหญ่ อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย รวมถึงการกระทำผิดกฎหมายอื่น ๆ
การดำเนินการครั้งนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อเสริมความเข้มงวดของมาตรการรักษาความปลอดภัย โดยเฉพาะการป้องกันและป้องปรามการลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย รวมถึงการป้องกันอาชญากรรมทุกรูปแบบในพื้นที่รับผิดชอบ เพื่อสร้างความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยให้กับประชาชนในพื้นที่ชายแดน
เร่งทำถนนเลียบแนวชายแดน
ทางด้านหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรี ได้เริ่มโครงการสำคัญเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน โดยร่วมมือกับภาคประชาชนในจังหวัดจันทบุรีดำเนินการทำถนนเลียบแนวชายแดนเป็นการเร่งด่วน ระยะทางรวม 15 กิโลเมตร ซึ่งการก่อสร้างถนนในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อใช้เป็นเส้นทางในการ ส่งกำลังบำรุงและลาดตระเวน ของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่รับผิดชอบ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเฝ้าระวังและป้องกันการละเมิดอธิปไตยตามแนวชายแดนได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการดำเนินการแก้ไขลักษณะภูมิประเทศรูปตัว U ให้กลับคืนสู่สภาพเดิม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปรับปรุงแนวชายแดนให้มีความชัดเจนและมั่นคงยิ่งขึ้นอีกด้วย
จับ 13 เขมรลอบเข้าไทย
วันเดียวกัน กองกำลังบูรพา โดย พ.อ. ชัยณรงค์ กาสี ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจอรัญประเทศ ได้นำกำลังทหารพรานเข้าจับกุมแรงงานชาวกัมพูชา 13 คน แบ่งเป็นชาย 8 คน และหญิง 5 คน ขณะที่ซ่อนตัวอยู่ในไร่อ้อยในพื้นที่บ้านหนองปรือ ต.ผ่านศึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว
หลังการจับกุมแรงงานทั้งหมดได้ให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับสาเหตุของการลักลอบเข้าเมือง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาทางเศรษฐกิจในประเทศกัมพูชา โดยระบุว่าการหางานทำเป็นเรื่องยากมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ไม่มีวุฒิการศึกษาและไม่มีเส้นสาย ทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น จึงต้องยอมจ่ายค่านายหน้า 5,000 - 5,500 บาท เพื่อเสี่ยงเข้ามาทำงานก่อสร้างในจังหวัดชลบุรี แม้จะรู้ว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายก็ตาม
นอกจากนี้ ยังมีบางส่วนที่เคยทำงานในประเทศไทยมาก่อน แต่ต้องเดินทางกลับประเทศตามคำขอของครอบครัว เนื่องจากกังวลว่าพ่อแม่จะได้รับผลกระทบเรื่องที่ดินทำกินหากไม่กลับไปตามที่ทางการแจ้งไว้ ภายหลังการสอบสวนเบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้ส่งตัวแรงงานทั้งหมดให้กับพนักงานสอบสวน สภ.คลองน้ำใส เพื่อดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมาย
ทัพเรือกู้ระเบิดภูมะเขือ
ด้านกองทัพเรือ โดย ชุดเก็บกู้และกวาดล้างทุ่นระเบิดที่ 2 ได้เข้าดำเนินการสนับสนุนการปฏิบัติ ที่ฐานปฏิบัติการยอดภูมะเขือ โดยมีภารกิจหลักในการเก็บกู้และกวาดล้างทุ่นระเบิด เพื่อสร้างความปลอดภัยและความมั่นคงให้แก่กำลังพลและพื้นที่ปฏิบัติการ
ทัังนี้การปฏิบัติได้ดำเนินการเจาะเส้นทางสำหรับการลาดตระเวนของหน่วย ความกว้าง 1 เมตร ระยะทางรวม 346 เมตร คิดเป็นพื้นที่ปลอดภัย 346 ตารางเมตร
จากการตรวจสอบพื้นที่พบวัตถุระเบิดและวัตถุอันตราย ได้แก่ กระสุนขนาด 40 มม. จำนวน 1 นัด ทุ่นระเบิด PMN-2 จำนวน 4 ทุ่น และเศษโลหะและสิ่งกีดขวางประเภท ขวาก/ล้มลุก จำนวนมาก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี