โพลเผยปชช.หนุน'รัฐบาล–ตร.–แบงก์ชาติ'เดินหน้าสกัดมิจฉาชีพ ชี้ภาพจำ'อนุทิน'ตัดไฟแก๊งคอลฯ

โพลเผยปชช.หนุน'รัฐบาล–ตร.–แบงก์ชาติ'เดินหน้าสกัดมิจฉาชีพ ชี้ภาพจำ'อนุทิน'ตัดไฟแก๊งคอลฯ

วันอาทิตย์ ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2568, 15.19 น.

โพลเผย'อนุทิน'สร้างภาพจำตัดไฟแก๊งคอล! ปชช.หนุน'รัฐบาล–ตำรวจ–แบงก์ชาติ'เดินหน้าสกัดมิจฉาชีพ ฟื้นศรัทธาระบบการเงินไทย พร้อมหนุนตั้งกองทุนช่วยเหยื่อ

เมื่อวันที่ 21 ก.ย.2568 ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้ก่อตั้งสำนักวิจัยซูเปอร์โพล มูลนิธิสถาบันวิจัยความสุขชุมชนและความเป็นผู้นำ เปิดเผยรายงานผลสำรวจเรื่องเสียงของเหยื่อมิจฉาชีพต่อมาตรการเข้มอายัดบัญชีม้า จากกลุ่มตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศจำนวน 1,030 ตัวอย่าง ทั้งการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ระหว่างวันที่ 18 – 20 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา 


ผลการสำรวจพบว่า ประชาชนเกือบทั้งหมด ร้อยละ 95.2 ระบุว่าตนเองรับรู้ปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์และมิจฉาชีพ “มากถึงมากที่สุด” สะท้อนถึงการรับรู้ที่ชัดเจนและแพร่หลายไปทั่วทุกกลุ่มอาชีพ ขณะที่ร้อยละ 3.1 ระบุว่ารับรู้บ้าง และมีเพียงร้อยละ 1.7 เท่านั้นที่ยอมรับว่ารับรู้น้อยหรือไม่รู้เรื่องเลย ตัวเลขนี้ยืนยันว่าปัญหาดังกล่าวได้กลายเป็นประเด็นสาธารณะระดับประเทศที่ไม่อาจละเลยได้อีกต่อไป

ในประเด็นทัศนคติต่อมาตรการยาแรง พบว่าร้อยละ 83.6 เชื่อว่าการอายัดบัญชีม้าสามารถลดปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์และมิจฉาชีพได้จริง ถือเป็นเสียงส่วนใหญ่ที่สนับสนุนความเข้มงวดของรัฐ อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 75.9 เน้นย้ำว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือธนาคารพาณิชย์ ควรพัฒนาเทคโนโลยีตรวจสอบอัจฉริยะที่รวดเร็วและแม่นยำ เพื่อไม่ให้กระทบต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ ขณะเดียวกัน ร้อยละ 71.5 ยอมรับว่ามาตรการดังกล่าวจำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แต่ต้องปรับปรุงวิธีการเพื่อสร้างความเป็นธรรม 

นอกจากนี้ ร้อยละ 63.2 มองว่าวิกฤตการอายัดบัญชีที่ส่งผลต่อผู้บริสุทธิ์สามารถพลิกเป็นโอกาสในการยกระดับความเชื่อมั่นต่อระบบการเงินของประเทศ ส่วนร้อยละ 27.4 เห็นว่าจำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่องแม้จะมีผลกระทบ และมีเพียงร้อยละ 1.1 เท่านั้นที่ไม่เห็นด้วยกับมาตรการอายัดบัญชีม้าอย่างเด็ดขาด ผลลัพธ์นี้สะท้อนสมการสังคมที่ซับซ้อน กล่าวคือ ประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุนความเข้มแข็งของรัฐ แต่ก็เรียกร้องให้ความเข้มแข็งนั้นอยู่บนพื้นฐานของความละเอียดรอบคอบและเป็นธรรม

ที่น่าสนใจ ในด้านความเชื่อมั่นและศรัทธาต่อหน่วยงานหลักในการปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์ พบว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับความเชื่อมั่นสูงสุดที่ร้อยละ 62.3 รองลงมาคือธนาคารแห่งประเทศไทยที่ร้อยละ 58.9 และธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ ร้อยละ 51.3 ตัวเลขเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าประชาชนยังศรัทธาต่อความตั้งใจของตำรวจและธนาคารกลาง แต่ยังมีความกังวลและความเชื่อมั่นที่ต้องเสริมสร้างต่อภาคธนาคารพาณิชย์ อันเป็นด่านแรกของธุรกรรมทางการเงิน

นอกจากนี้ ผลการสำรวจยังชี้ให้เห็นถึงภาพจำเชิงบวกต่อผลงานของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ที่เคยดำเนินมาตรการ “ตัดไฟฟ้าแก๊งคอลเซนเตอร์” ได้สำเร็จ โดยร้อยละ 80.5 ของประชาชนยังจดจำความสำเร็จนี้ได้อย่างชัดเจน และถึงร้อยละ 92.7 หวังว่ารัฐบาลจะเร่งรัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อคืนเงินให้แก่เหยื่อโดยเร็ว ขณะเดียวกัน ร้อยละ 78.5 ต้องการให้รัฐบาลสานต่อมาตรการที่จับต้องได้ ปิดเส้นทางการสื่อสารและการเงินของมิจฉาชีพตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ร้อยละ 74.6 แสดงความคาดหวังให้รัฐบาลยกระดับความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียนเพื่อจัดการแก๊งข้ามชาติ และร้อยละ 73.4 ต้องการให้รัฐบาลลงทุนด้านงบประมาณ ระบบฐานข้อมูล และเทคโนโลยีตรวจสอบแบบเรียลไทม์ที่เชื่อมโยงตำรวจ ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารพาณิชย์ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินอย่างเป็นระบบ

ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้ก่อตั้งซูเปอร์โพล กล่าวต่อว่า จากการสัมภาษณ์เจาะลึกผู้เคยตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพและแก๊งคอลเซ็นเตอร์พบว่า การถูกหลอกลวงไม่เพียงแต่ทำให้ สูญเสียทรัพย์สินจำนวนมาก แต่ยังกลายเป็น วิกฤตชีวิตที่สั่นคลอนหลายมิติไปพร้อมกัน หลายรายเล่าถึงการสูญเงินเก็บทั้งชีวิต หลายแสนถึงหลักหลายล้านบาท ซึ่งถูกโอนเข้าบัญชีม้าที่เชื่อมโยงกับขบวนการโดยไม่รู้ตัว บางคนถูกหลอกด้วยความกลัวว่าจะถูกดำเนินคดี จนโอนเงินทุกบาททุกสตางค์ไปให้คนร้าย

ความสูญเสียทางการเงินยังนำไปสู่ ปัญหาครอบครัว หลายกรณีพบว่าเหยื่อถูกตำหนิหรือถูกกดดันจากคนใกล้ชิด เกิดการทะเลาะแตกแยกในครัวเรือนจนถึงขั้นหย่าร้างหรือแยกกันอยู่ ความไว้วางใจในครอบครัวพังทลาย บางรายต้องแบกรับความรู้สึกผิดว่าตนเองเป็นต้นเหตุให้ครอบครัวลำบาก

ด้านอาชีพการงาน เหยื่อจำนวนหนึ่งต้องประสบปัญหา ล้มละลายทางธุรกิจ จากการนำเงินทุนหมุนเวียนไปโอนให้มิจฉาชีพจนหมดสิ้น ส่งผลให้กิจการปิดตัว พนักงานต้องตกงาน และตัวเหยื่อเองเข้าสู่สภาวะหนี้สินท่วมหัวโดยไม่สามารถฟื้นตัวได้ง่าย บางคนถึงกับถูกศาลสั่งล้มละลายและหมดโอกาสเริ่มต้นใหม่ในชีวิตการทำงาน 

ผลกระทบด้านจิตใจไม่อาจมองข้าม หลายคนเล่าว่าต้องเผชิญ ความเครียด วิตกกังวล และซึมเศร้าอย่างรุนแรง บางรายสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก เช่น คู่ชีวิตหรือบุตรที่เสียชีวิตด้วยอาการเจ็บป่วยเฉียบพลัน เนื่องจากความทุกข์และความกดดันที่เกิดขึ้นภายในครอบครัวหลังถูกโกง สะท้อนถึงผลกระทบที่ลึกซึ้งเกินกว่าตัวเงิน

ท่ามกลางความทุกข์ยากที่ถาโถม ผู้เสียหายจำนวนมากยังคงมี ความหวังและเรียกร้องต่อรัฐบาล โดยตรง โดยเฉพาะต่อ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ที่เคยสร้างผลงานชัดเจนในการตัดไฟฟ้าแก๊งคอลเซนเตอร์ ซึ่งถูกจดจำในฐานะมาตรการที่ได้ผลจริง เหยื่อส่วนใหญ่เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งรัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ธนาคารพาณิชย์ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ดำเนินการคืนเงินที่ถูกอายัดให้แก่ผู้บริสุทธิ์โดยเร็วที่สุด หลายรายย้ำว่า “ทุกวันคือความเดือดร้อน” เพราะไม่สามารถเข้าถึงเงินในบัญชีที่เป็นของตนเองได้

นอกจากนี้ เหยื่อยังเรียกร้องให้รัฐบาล จัดตั้งระบบคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายที่มีประสิทธิภาพ ไม่ให้การปลดล็อกบัญชีต้องเผชิญขั้นตอนซับซ้อนหรือใช้เวลายาวนานจนเกินไป รวมทั้งเพิ่มช่องทางการสื่อสารและศูนย์ช่วยเหลือที่เข้าถึงได้จริง พร้อมทั้งขอให้มี กองทุนเยียวยาผู้เสียหายจากอาชญากรรมไซเบอร์ ที่สามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนฉุกเฉินได้

ข้อเสนอเชิงนโยบายและมาตรการยั่งยืน
เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพควบคู่กับเชิงปริมาณแล้ว งานวิจัยนี้เสนอข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ดังนี้

1. ป้องกันเชิงรุก ขยายมาตรการที่เคยสำเร็จ เช่น การตัดไฟฟ้าและระบบสื่อสารของแก๊งคอลเซนเตอร์ ให้ครอบคลุมทั้งออนไลน์และข้ามประเทศ โดยเน้นความร่วมมือระดับอาเซียน

2. พัฒนาระบบเทคโนโลยี ลงทุนในฐานข้อมูลกลางและระบบตรวจสอบธุรกรรมแบบเรียลไทม์ เชื่อมโยงตำรวจ ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารพาณิชย์ และ ปปง. เพื่อบล็อกบัญชีม้าตั้งแต่ต้นทาง

3. คุ้มครองผู้สุจริต สร้างกลไกปลดล็อกบัญชีที่รวดเร็ว โปร่งใส และมีมาตรฐานชัดเจน ไม่เกิน 24 ชั่วโมงหลังการยืนยันความสุจริต

4. เยียวยาผู้เสียหาย ด้วยการจัดตั้งกองทุนเยียวยาผู้เสียหายจากอาชญากรรมทางไซเบอร์หรือโครงการช่วยเหลือเฉพาะกิจสำหรับเหยื่อที่สูญเสียทรัพย์และได้รับผลกระทบทางจิตใจ ครอบครัว และอาชีพ เพื่อให้สามารถกลับมาตั้งหลักได้

5. การให้ความรู้และเสริมพลังสังคม สร้างแคมเปญการสื่อสารที่เข้มข้นต่อเนื่อง โดยตระหนักว่าอาชญากรไซเบอร์มีการปรับตัวตลอดเวลา การให้ความรู้จึงต้องควบคู่กับการปรับปรุงเทคโนโลยีและกฎหมาย

ผู้ก่อตั้งซูเปอร์โพล กล่าวปิดท้ายว่า ในระยะเวลา 4 เดือนนี้มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันจับต้องได้ หากรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีสามารถใช้วิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาสต่อยอดความสำเร็จในอดีตช่วงที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มายกระดับระบบการเงินและความปลอดภัยทางไซเบอร์ของประเทศ จะไม่เพียงช่วยฟื้นความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจไทย แต่ยังจะเป็นก้าวสำคัญสู่ การสร้างความมั่นคงและความยั่งยืนให้แก่ประชาชนทุกคนในสังคมมีความสุข

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top