เริ่มนับถอยหลัง 4 เดือนในการทำงานของรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล แล้ว โดยมีสารพันปัญหารอให้แก้ไขอยู่ ทั้งเรื่องเร่งด่วนเฉพาะหน้า หรือเรื่องที่ต้องใช้เวลาแก้ไขในระยะยาว
แต่ปัญหาหนึ่งที่รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยจำเป็นจะต้องจัดการให้ได้ก็คือปัญหาความยากจน เรื่องปากท้องของพี่น้องประชาชน ซึ่งถือเป็นโจทย์สำคัญในการบริหารประเทศ
โดยรัฐบาลชุดนี้ก็ได้มีการเปิดเผยนโยบายด้านเศรษฐกิจออกมาบางส่วนแล้ว อาทิ นโยบาย“คนละครึ่ง” ซึ่งมีแนวทางเบื้องต้นว่า ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะได้รับสิทธิ์ในลักษณะ top up เช่น หากบัตรสวัสดิการให้สิทธิ์ 300 บาท รัฐบาลจะเติมให้อีก 700 บาท รวมเป็น 1,000 บาท พร้อมทั้งจะมีการพิจารณามอบสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมแก่ผู้ที่อยู่ในระบบภาษี เช่น อาจได้รับสิทธิ์ 1,200 บาทต่อคน แทน 1,000 บาท
นโยบายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่ต้องถูกเลื่อนจัดเก็บเต็มอัตราออกไปเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่เป็นเจ้าของที่ดิน ซึ่งกำลังหาทางออกที่เหมาะสมกับทุกฝ่าย
นโยบายด้านพลังงาน รัฐบาลเตรียมเดินหน้าโครงการ “โซลาร์ชุมชน” ภายใน 4 เดือน เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 โดยตั้งเป้าผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในชุมชนรวมกว่า 1,500 เมกะวัตต์ในระยะเริ่มต้น สำหรับนโยบายเฉพาะหน้า จะมีการตรึงราคาพลังงาน และหากทำสำเร็จเรามองไปถึงการลดราคาพลังงานในปีหน้า
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังมีแนวคิดผลักดันให้แต่ละจังหวัดแต่งตั้ง รองผู้ว่าฯ ด้านเศรษฐกิจ เพื่อดูแลและขับเคลื่อนการพัฒนาเชิงรุกในระดับพื้นที่
ขณะที่มุมมองของ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยอมรับว่าปัจจุบันเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงเติบโตแผ่ว เหมือนคนไข้เรื้อรัง หรือคนเป็นโรคเบาหวาน สะท้อนจากความสามารถในการแข่งขันที่ชะลอตัวลง ความสามารถในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศที่น้อยกว่าเพื่อนบ้าน การดูแลเรื่องการกระจายรายได้ และปัญหาความเหลื่อมล้ำสูง ที่ต้องเร่งแก้ไข
โดย ธปท. ประเมินว่าในปี 2568 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2.3% ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกคาดว่าจะขยายตัวได้ 3% และครึ่งปีหลังน่าจะอยู่ที่ราว 1% สอดคล้องกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ขณะที่สำนักเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่เริ่มทยอยปรับคาดการณ์ขึ้นมาที่ราว 2% แล้ว แต่ในปี 2569 ยอมรับว่ามีความเสี่ยงขาลงกับเศรษฐกิจ ทั้งเรื่องงบประมาณที่อาจจะล่าช้า หากรัฐบาล 4 เดือนยุบสภาและต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งจะเข้าใกล้ช่วงที่ต้องจัดทำงบประมาณ หากสะดุดก็จะทำให้การจัดทำงบประมาณปี 2570 ล่าช้าออกไป ทำให้มองว่าปี 2569 เศรษฐกิจจะขยายตัวลดลงที่ 1.7%
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย บอกด้วยว่า สิ่งที่น่ากังวล คือ ความเสี่ยงด้านการคลัง ซึ่งในปัจจุบันไม่ได้แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน หลังจากช่วงโควิด-19 มีการใช้ทรัพยากรเยอะในการพยุงเศรษฐกิจ หลังจากใช้กระสุนทางการคลังไปเยอะ ก็ควรจะต้องเริ่มรัดเข็มขัดให้ฐานะทางการคลังกลับมาในรูปแบบที่สร้างเสถียรภาพในระยะปานกลางสูงขึ้น เพราะหากไม่มีการปรับในส่วนนี้ก็มีความเสี่ยงที่ไทยจะถูกลดเครดิตได้ รัฐบาลใหม่จะต้องเข้ามาดูแลเรื่องเสถียรภาพทางการคลัง เพราะแรงโน้มถ่วงจะนำไปสู่การใช้งบประมาณในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเรื่องนี้มีความจำเป็น แต่ต้องเป็นการใช้งบประมาณในการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างระมัดระวัง
นอกจากนี้ ข้อจำกัดทางการคลัง อาจเป็นปัจจัยให้รัฐบาลที่ระบุว่าจะอยู่ 4 เดือนเร่งใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นที่หนักกว่าเดิม แม้จะเข้าใจว่ายังเป็นเรื่องที่ต้องทำ แต่อยากมองว่าถ้าอยากให้คนเลือกรัฐบาลชุดนี้กลับมาอีก ก็จำเป็นต้องทำมาตรการระยะยาวด้วย ตรงนี้ถือเป็นสิ่งที่ดีและจำเป็น เพราะมาตรการระยะสั้น เช่น คนละครึ่ง มีความเสี่ยงที่คนจะติด ดังนั้นจึงอยากให้พิจารณามาตรการที่สอดคล้องกับกรอบความยั่งยืนทางการคลังระยะปานกลาง หากทำเยอะก็ต้องมีแผนจะทำให้รายได้ปรับขึ้นมาด้วย เช่น การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) แต่ยอมรับว่าตรงนี้เป็นเรื่องยาก
เป็นมุมมองและคำแนะนำที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยให้ไว้กับรัฐบาลชุดนี้
สำหรับโฉมหน้าของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจชุดนี้ สะท้อนความพยายามสร้างสมดุลระหว่างการเมือง และมืออาชีพ เพื่อขับเคลื่อนการแก้ปัญเศรษฐกิจปากท้อง ซึ่งมีทั้งนักการเมืองสายฐานเสียง ผู้บริหารระดับสูงจากภาคราชการ และเอกชน
โดยตำแหน่งสำคัญๆ ใน ครม.เศรษฐกิจ ประกอบไปด้วย นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อดีตอธิบดีกรมสรรพากร ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายภาษี และการคลัง ถือเป็นเสาหลักด้านการเงินการคลังของรัฐบาล, นายวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง อดีตผู้ว่าการธนาคารออมสิน และอดีตผู้บริหารธนาคารพาณิชย์ใหญ่ เชี่ยวชาญด้านการเงินการธนาคาร, นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ อดีตผู้บริหารไทยคม และกลุ่มโรงแรมดุสิต มีภาพลักษณ์ผู้บริหารหญิงมืออาชีพที่เข้าใจการค้าและกลยุทธ์ธุรกิจระดับนานาชาติ, นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน อดีตซีอีโอ ปตท. ที่มีประสบการณ์ด้านพลังงานและโครงการลงทุนขนาดใหญ่
นอกจากนี้ ยังมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ ในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม, ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนางตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมทั้ง น.ส.มัลลิกา จิระพันธุ์วาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่ากากระทรวงคมนาคม, นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และนายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาผสานพลังช่วยกันทำงาน
รัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้มีจุดแข็งตรงที่มีคนที่เป็นมืออาชีพตัวจริง ที่จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นต่อตลาดและนักลงทุน มีนักการเมืองฐานเสียงที่จะช่วยเชื่อมโยงนโยบายเศรษฐกิจกับประชาชนในระดับพื้นที่ ซึ่งจะทำให้การประสานงานระหว่าง เทคนิคกับการเมือง เพื่อให้นโยบายเดินหน้าเป็นรูปธรรมในการบริหารประเทศชาติได้
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายก็อยู่ที่ว่าการลงมือทำงานจริงนั้น ผลจะออกมาเป็นอย่างไร ทั้งนี้ ก็ขอส่งกำลังใจให้อย่างเต็มที่เพราะนี่คืองานเพื่อประเทศชาติและประชาชนชาวไทยทุกคน
- ทีมข่าวแนวหน้า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี