กลัวกลับไม่ทันแถลงนโยบายต่อสภาฯ
นายกฯไม่ไปUN
ยืนยันไม่ทำให้ไทยเสียโอกาส
ย้ำมีแผนจัดการปัญหาชายแดน
ทหารกัมพูชาโผล่ยิงป่วนภูผี
จนท.ไทยสวนกลับหนีจุกตูด
แม่ทัพภาคที่ 2 เข้า บก.ทบ. ประชุมครั้งสุดท้าย ก่อนส่งธงให้มทภ.2 คนใหม่ ลั่นจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดจนถึงวันสุดท้าย ยันเขมรยังยั่วยุละเมิดข้อตกลงหยุดยิงต่อเนื่อง พร้อมตอบโต้กัมพูชาตามสถานการณ์ เผยการเมืองทาบนั่งตำแหน่งระดับสูง แต่ปฏิเสธ ขอเป็นกุนซือให้เพื่อนในกองทัพ แจงเหตุเขมรป่วนที่ภูผีเป็นทหารเขมรแอบเข้าใกล้เขตรั้วลวดหนาม ทหารไทยพบจึงเตือน แต่เขมรยิงปืนขึ้นฟ้า ก่อนถูกตอบโต้จนต้องล่าถอยออกไป ผบ.ทบ.ถกหน่วยขึ้นตรงสรุปสถานการณ์ชายแดน 1 เดือนเขมรเคลื่อนไหว 87 ครั้งต้องจับตา 24 ชม. ด้าน“โฆษกกองทัพไทย” ยัน “เขมร” ลงนามเอกสารรับรองหลักเขตพื้นที่ ‘หนองหญ้าแก้ว‘ แล้ว อยู่ในอธิปไตยไทยตั้งนานแล้ว ชี้รั้วลวดหนามไม่ใช่เส้นเขตแดนส่วนนายกฯเปลี่ยนใจไม่ได้ร่วมถกยูเอ็น เพื่อชี้แจงปมพิพาทชายแดน หวั่นกลับมาไม่ทันแถลงนโยบายรัฐบาล แจงต้องทำขั้นตอนเข้าบริหารปท.ให้สมบูรณ์แบบ ลั่นไม่ทำให้ไทยเสียโอกาสบนเวทีโลก
เมื่อวันที่ 23 กันยายนพล.ท. บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 รับมอบเงิน-สิ่งของ จากชมรมการประสานงานข่าวกับผู้บริหารของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน หรือ ชมรม ปขบ.ทบ. เพื่อช่วยเหลือและเยียวยาทหารและครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และขอบคุณทหารที่เสียสละปกป้องแผ่นดินไทย
มทภ.2เข้าบก.ทบ.ประชุมครั้งสุดท้าย
แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า วันนี้นอกจากมารับสิ่งของจากผู้ที่มีน้ำใจแล้ว ยังถือเป็นการเข้าประชุมที่กองทัพบกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเกษียณอายุราชการ ซึ่งเป็นปกติทุกเดือนต้องมาประชุมรายงานสถานการณ์ให้ผบ. ทบ.ทราบแบบนี้อยู่แล้ว แต่ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ต่อไปเป็นหน้าที่ของแม่ทัพภาคที่ 2 คนใหม่ ยืนยันจะทำหน้าที่อย่างดีที่สุดจนถึงวันสุดท้ายคือวันที่ 30 กันยายน 2568
ส่วนสถานการณ์ ชายแดนตอนนี้ยังพบการละเมิดหยุดยิงของเขมร ทั้งเรื่องการยั่วยุ บินโดรน วางทุ่นระเบิดล้ำเขตแดน ซึ่งยังคงดำเนินการเก็บสถิติตลอดเวลา ส่วนแนวทางตอบโต้ นอกจากการยื่นหนังสือประท้วง ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ตามสภาพแวดล้อม ตามห้วงเวลา
เขมรละเมิดซ้ำ-ยันตอบโต้ตามสถานการณ์
เช่นเดียวกับพื้นที่ปราสาทตาควายที่ฝ่ายเขมรยังอยู่ในตัวปราสาท ซึ่งทหารไทยเกาะอยู่ตามขอบปราสาทฯ พร้อมปฏิบัติหน้าที่หากสภาพแวดล้อมเอื้อ พร้อมกับประท้วงเพราะยืนยันว่าพื้นที่ปราสาทตาควายเป็นของไทยส่วนความเห็นของชาวบ้านในพื้นที่ต้องการให้ดำเนินการตอบโต้หรือปะทะครั้งที่สอง ส่วนนี้ก็เป็นความคิดของคนในพื้นที่ แต่การดำเนินการต้องเป็นไปตาม สภาพแวดล้อมและสถานการณ์
ผู้สื่อข่าวได้สอบถามว่าผลงานที่ได้ทำมา หากคิดเป็นคะแนน 100 คะแนนเต็ม แม่ทัพภาคสองให้คะแนนตนเองเท่าไหร่ แม่ทัพภาคที่ 2 ตอบว่า ไม่ทราบครับ นักเรียนทำข้อสอบให้คะแนนตัวเองไม่ได้ ต้องให้อาจารย์เป็นผู้ให้คะแนน แต่แล้วใครคืออาจารย์ ตนก็ไม่ทราบ แต่ถึงอย่างไรเราถือว่าเป็นโอกาสได้ช่วยเหลือประเทศชาติโดยหน้าที่ทหารอยู่แล้วซึ่งทำมาตั้งแต่เรียนจบมาแล้ว และเราก็ทำต่ออีก เพื่อให้คนไทยได้รับรู้ว่าเราทำถูกต้องแล้วในการดูแลประเทศชาติ
ทั้งนี้ การส่งธงแม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่า มั่นใจว่าแม่ทัพคนใหม่มีความหนักแน่น ความรับผิดชอบที่ผู้บังคับบัญชามอบให้เขาก็ทำเหมือนเดิมเหมือนที่ผมทำ เมื่อถึงเวลาตัดสินใจก็ต้องทำมั่นใจในฝีมือ
ย้ำไม่เล่นการเมืองขอเป็นกุนซือให้เพื่อน
พล.ท.บุญสินกล่าวย้ำว่า แม้จะเกษียณอายุราชการในอีกไม่กี่วัน ยืนยันจะยังช่วยงานของกองทัพ แม้ไม่ได้แต่งเครื่องแบบทหารแล้ว ยังสามารถเป็นที่ปรึกษาให้เพื่อนๆได้ พร้อมยืนยันจะไม่ทำงานด้านการเมือง ที่ผ่านมา ตนเข้าไปคุยกับนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อเราบอกว่าไม่ได้เล่นการเมือง เขาก็เปิดใจ คุยกับเรา ยืนยันตนจะรักษาสถานภาพนี้ไปเรื่อยๆ ไม่เอาเรื่องการเมืองเข้ามายุ่ง รับว่ามีคนติดต่อเข้ามา จะให้ตำแหน่งระดับสูงทางการเมือง แต่ก็ไม่เอา มองว่าไม่ยั่งยืน
นอกจากนี้พลโทบุญสิน ยังกล่าวถึงการเตรียมความพร้อมการประชุม คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ไทย-กัมพูชา(RBC) ว่า ยังไม่ได้กำหนดวัน ส่วนการถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ตามข้อตก การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (GBC)ที่ให้หารือกันภายใน3สัปดาห์นั้น ยังไม่ได้คุยกัน ก็ต้องรอดูสถานการณ์ และความจริงใจ ของเขมรว่าเป็นอย่างไร
เขมรไม่ร่วมมือกู้ทุ่นระเบิดเพราะวางเอง
พล.ท.บุญสินย้ำว่า สถานการณ์ชายแดนไทยเขมรไม่ว่าจะเป็นฝั่ง ของกองทัพภาคที่1 บ้านหนองจาน และบ้านหนอมหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว และพื้นที่กองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรี-ตราด(กปจ.ชต.) ส่งผลต่อพื้นที่ของกองทัพภาคที่2เพราะเป็นเส้นเขตแดนประเทศเดียวกัน เกี่ยวข้องกันต้องเป็นนโยบายเดียวกัน และมีข้อระมัดระวังร่วมกัน ยอมรับว่าจากกนี้การทำงานของกองทัพในการปกป้องอธิปไตย ชายแดนไทย-เขมรจะราบรื่นขึ้น เพราะได้รับความร่วมมือของทุกภาคส่วน ซึ่ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ก็สนับสนุนอยู่แล้ว พร้อมย้ำว่าทหารทำตามนโยบายรัฐบาล
ผู้สื่อข่าวถามว่าประชาชนเป็นห่วงว่าอาจมีเหตุปะทะรอบที่สอง พลโทบุญสินกล่าวว่า เป็นเรื่องของสถานการณ์ ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ปกป้องอธิปไตย และย้ำว่าถ้าจะเกิด ถ้าไม่เกิดก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตามห้วงเวลา
ส่วนกรณีเขมรไม่ให้ความร่วมมือเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า ไม่มีความร่วมมือ เพราะเขาวางเอง แล้วจะมาเก็บทำไม ความเป็นภัยคุกคามของทหาร ในพื้นที่กองทัพภาคที่2 ซึ่งจะประสานคณะอนุกรรมการออตตาวา ซึ่งขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบ แต่ยอมรับว่าขัดกันอยู่ แต่มองยาก
ทหารเขมรป่วนแนวรั้วลวดหนามที่ภูผี
ส่วนกรณีมีการเผยแพร่ข่าวเหตุปะทะในพื้นที่ภูผี ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษพล.ท.บุญสินเผยว่า เมื่อเวลา 13.30 น.ตนได้รับรายงานเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว เบื้องต้นทหารฝ่ายไทยได้ตรวจพบทหารกัมพูชามีลักษณะท่าทางจะเข้ามาในอธิปไตยไทยใกล้กับเขตรั้วลวดหนาม ทหารไทยจึงได้แจ้งเตือน ทำให้ทหารเขมรใช้อาวุธปืนเล็กประจำกายยิงขึ้นฟ้า เจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายไทยจึงได้ยิงตอบโต้ไปกระทั่งทหารกัมพูชาซึ่งคาดว่าน่าจะมา2-3 นายล่าถอยกลับไป ขณะนี้ยืนยันว่าเหตุการณ์ปกติ และกองทัพภาคที่ 2 มีการตรวจเฝ้าระวังทหารกัมพูชาที่ลุกล้ำและลักลอบเข้ามาวางทุนระเบิด ซึ่งเรามีมาตรการในการดูแลตรงนี้อยู่แล้วอย่างใกล้ชิด
ทบ.ถกหน่วยขึ้นตรง1เดือนเขมรป่วนไทย87ครั้ง
พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก แถลงผลประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก ครั้งที่ 12/2568 ซึ่งพล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นประธานในพิธี มีการหารือถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ชายแดนไทย-เมียนมา และพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตลอดจนการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัย ช่วงปรับเปลี่ยนตำแหน่งสำคัญ ซึ่งจะมีผล 1 ตุลาคม โดยกรมฝ่ายเสนาธิการทหารบก พร้อมกองทัพภาคที่ 1 – 4, หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษและหน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศกองทัพบกได้รายงานผลปฏิบัติงานช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะการเตรียมพร้อมด้านความมั่นคงในสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา ซึ่งฝ่ายยุทธการ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกรายงานผลการตรวจพบความเคลื่อนไหวของฝ่ายเขมรช่วงเดือนกันยายน 87 ครั้ง ได้แก่ ในพื้นที่กองกำลังบูรพา พบการปรับปรุงที่มั่น 7 ครั้ง และพื้นที่กองกำลังสุรนารี พบการใช้โดรน 36 ครั้ง, การปรับปรุงที่มั่น 14 ครั้ง, การละเมิดมาตรการหยุดยิง 4 ครั้ง, การเพิ่มเติมกำลัง 25 ครั้ง และการลักลอบวางทุ่นระเบิด 1 ครั้ง ที่แสดงถึงการละเมิดมาตรการหยุดยิงต่อเนื่อง โดยหน่วยในพื้นที่ยังเฝ้าระวังใกล้ชิด 24 ชั่วโมง เพื่อปกป้องอธิปไตย รักษาความสงบและดูแลความปลอดภัยให้ประชาชน
โฆษกทบ.กล่าวต่อว่า ในโอกาสที่เป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของปีงบประมาณ 2568 คณะผู้บังคับบัญชาชั้นสูงของกองทัพบกที่จะเกษียณอายุราชการ ประกอบด้วย พล.อ.ณัฐวุฒิ นาคะนคร รองผู้บัญชาการทหารบกพล.อ.เอกรัตน์ ช้างแก้ว ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก, พล.อ.ธงชัย รอดย้อย เสนาธิการทหารบก, พล.อ.นพนันต์ ชั้นประดับ ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพบก (1) และพล.อ.ไกรภพ ไชยพันธุ์ ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพบก (2) ได้กล่าวแสดงความรู้สึกและข้อคิดในการทำงานที่ได้สั่งสมมาตลอดชีวิตรับราชการแก่ผู้เข้าร่วมประชุมในฐานะ เพื่อน พี่และน้องร่วมอาชีพพร้อมทั้งชื่นชมและให้กำลังใจทหารอาชีพทุกนายที่ต้องปฏิบัติงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนต่อไปในอนาคต
ขอปชช.งดเข้าที่ตั้ง-แพร่ภาพหน่วยทหาร
ที่กองบัญชาการกองทัพบก พ.อ.ริชฌาสุขสุวานนท์รองโฆษกกองทัพบกเปิดเผยว่า จากสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาที่ยังตรวจพบปฏิบัติการทหารและละเมิดมาตรการหยุดยิงของเขมรทั้งการเพิ่มกำลัง ลักลอบใช้ทุ่นระเบิด นำโดรนบินตรวจการณ์ รวมถึงยั่วยุต่อเนื่องเพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยทหารในพื้นที่เป็นปลอดภัยมีประสิทธิภาพ กองทัพบกจึงขอความร่วมมือประชาชนและหน่วยงานทุกภาคส่วน ปฏิบัติตามแนวทางดังต่อไปนี้1. การมอบสิ่งของและเยี่ยมกำลังพล ให้ประสานงานหน่วยที่รับผิดชอบล่วงหน้า และดำเนินการเฉพาะในพื้นที่ที่หน่วยทหารกำหนดไว้เท่านั้น 2. กองทัพบกไม่อนุญาตให้ประชาชนจากหน่วยงานภายนอกกองทัพบกเข้าไปประกอบกิจกรรมบริเวณวางกำลังของหน่วยทหาร หากจำเป็นต้องเข้าพื้นที่ ต้องได้รับอนุมัติจากศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกก่อนเท่านั้น 3. การเผยแพร่ข้อมูลและภาพถ่ายการปฏิบัติการทางทหาร ขอความร่วมมือประชาชนและทุกองค์กรงดเผยแพร่ข้อมูลหรือภาพถ่ายที่อาจบ่งชี้ปฏิบัติการทางทหาร เช่น แผนที่ที่แสดงการวางกำลัง ภูมิประเทศสำคัญในพื้นที่ หรือข้อมูลการปฏิบัติของหน่วยทหาร
เขมรเซ็นรับหลักเขตหนองหญ้าแก้วฝั่งไทย
พล.ต.วิทัยลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทยเปิดเผยถึงกรณีหลักเขตแดนที่ 42 ตั้งอยู่ที่บ้านหนองหญ้าแก้ว ตำบลโคกสูง อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว และหลักเขตแดนที่ 43 ตั้งอยู่ที่บ้านโนนหมากมุ่น ตำบลโคกสูง อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้วว่า เอกสารที่เปิดไปเมื่อวันที่22 กันยายน ได้รับมาจากกรมแผนที่ทหาร ซึ่งเอกสารดังกล่าวที่ลงนามร่วมกันระหว่างหัวหน้าชุดตรวจหลักเขตไทย-กัมพูชา มี พล.ท.ชาคร บุญภักดี เจ้ากรมแผ่นที่ทหารปัจจุบัน ในขณะนั้นดำรงยศพันเอกในฐานผู้อำนวยการกองแผนและโครงการกรมแผนที่ทหาร(ฝ่ายไทย) และ นายลาย เซียงลี ปลัดกระทรวงกิจการชายแดนกัมพูชา โดยเอกสารดังกล่าวลงนามร่วมเมื่อปี 2559 และสำรวจร่วมกันในปี 2549 และเสร็จจริงใน 74 หลัก ในปี 2550 ซึ่งเอกสารฉบับดังกล่าวถูกนำเสนอในการประชุม JBC แต่ไม่เคยถูกนำเข้าไปอยู่ในวาระ และเมื่อวันที่ 14 มิถุนายนที่ผ่านมา ไทยได้แนบเอกสารนี้เข้าไป และทั้งสองฝ่ายลงนามรับรองเอกสาร
“ดังนั้น ถ้าฝั่งเขมรไม่ยอมรับไม่มีผล เพราะเอกสารก็คือ เอกสาร เมื่อเอกสารเข้าที่ประชุมแล้ว เขายอมรับแล้ว แต่ก็ต้องชี้แจงให้สื่อมวลชนทราบว่า เป็นการรับรองหลักเขต ตามที่ MOU 2543 ได้กำหนดชัดเจนแล้วว่า จากหลักเขตที่ 41 42 43 และ 44 จะใช้เส้นตรงจากกึ่งกลางของหลักเขต”พล.ต.วิทัยกล่าว
รั้วลวดหนามไม่ใช่เส้นเขตแดน
และว่า ส่วนหลักเขตที่ยังตกลงกันไม่ได้เช่น หลักเขตที่ 42 ที่บ้านหนองหญ้าแก้ว จะต่างที่ 80 เมตร ระหว่างหลักเขตที่ไทยยืนยันกับหลักเขตที่กัมพูชาอ้างเป็นหลักเขตของตัวเอง แต่ส่วนหลักเขต 43 จากการสำรวจล่าสุดว่า ปี 2549 พบว่า หลักเขตล้มอยู่หาไม่เจอ แต่พอมาเจอพบว่า ถูกดินกลบอยู่ ซึ่งทั้งไทย และกัมพูชาปักเสาชั่วคราว มาร์กจุดไว้ ถือว่า เป็นการรับรู้ว่า ตรงนั้นคือหลักเขต 43 การที่กัมพูชาระบุว่า ไม่ได้ยอมรับเรื่องเส้นหลักเขตในการประชุม JBC แต่ก็ยอมรับเรื่องหลักเขต และใน MOU 43 ระบุจะลากเส้นหลักเขตเป็นเส้นตรงเท่านั้นนอกจากนี้หลักเขต 42 และ 43 มีภาพถ่ายทางอากาศชัดเจน ยืนยันว่า บ้านหนองหญ้าแก้วอยู่ในดินแดนอธิปไตยของประเทศไทย ส่วนเรื่องรั้วลวดหนาม ยืนยันว่า ไม่ใช่เส้นเขตแดน แต่เป็นการสร้างความปลอดภัยให้ประชาชน ไม่ให้คนเขมรข้ามมาก่อเหตุเดือดร้อนให้คนไทยได้
ผบ.ทร.ประเมินพิพาทชายแดนยืดเยื้อถึงปีหน้า
ที่กองบัญชาการกองทัพเรือ พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือกล่าวถึง การส่งต่อหน้าที่ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ในโอกาสจะเกษียณอายุราชการว่ามี 4 - 5 เรื่องสำคัญ โดยเฉพาะ การปกป้องอธิปไตยของไทย จึงต้องส่งมอบอย่างละเอียด เช่น การวางแผนติดตามสถานการณ์ต่อเนื่อง อาทิ การตรึงกำลังในพื้นที่ การผลัดเปลี่ยนกำลังเพื่อลดความเหนื่อยล้าของกำลังพล การจัดหายุทโธปกรณ์รองรับภัยคุกคาม หากปีหน้าสถานการณ์พัฒนาไปสู่ระดับเกิดความขัดแย้งต่อเนื่อง
“ยอมรับว่า สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชามีแนวโน้มลากยาวไปถึงปีหน้า เพราะมองว่า การเจรจาระหว่างสองฝ่ายยังล่าช้า แนวโน้มความขัดแย้งจะยืดเยื้อต่อไป แต่ถ้าบรรลุข้อตกลงตามที่ไทยต้องการได้ ความขัดแย้งจะยุติได้เร็ว สิ่งสำคัญคือต้องหาจุดลงตัวที่ประชาชนของทั้งสองฝ่ายยอมรับ เช่น ต้องใช้คนกลางหรือไม่ แต่ถ้าคุยกันสองฝ่ายแล้วตกลงกันได้ก็ควรยุติตรงนี้”ผบ.ทร.กล่าว
คาใจปัญหาชายแดนแก้ไม่เสร็จ
และยอมรับอีกว่า ยังคาใจปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ยังแก้ไม่แล้วเสร็จ แต่เกษียณไปเสียก่อน และเชื่อทุกคนก็คาใจด้วย แต่ทุกเรื่องมีกระบวนการและขั้นตอนดำเนินงาน หากเราต้องการข้อตกลงที่นำไปสู่สันติภาพยั่งยืน ก็ต้องเกิดจากความเห็นชอบร่วมกันทั้งสองฝ่าย
ผบ.ทร.กล่าวย้ำด้วยว่า การเมืองกับการทหารต้องเดินไปด้วยกัน รัฐบาลต้องกำหนดทิศทางชัดเจนให้ทหารดำเนินการ เนื่องจากสิ่งที่ทหารคิดและทำ จะมีผลกระทบรุนแรงต่อประเทศ เพราะเครื่องมือทางทหารเป็นเครื่องมือสุดท้ายที่ประเทศควรใช้ เรายังมีเครื่องมืออื่นที่บีบเขมรได้อีกมาก โดยเฉพาะ ในสถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายอยู่ภายใต้ข้อตกลงหยุดยิง การหาข้อยุติความขัดแย้งด้วยวิถีทางอื่น จึงเป็นเรื่องที่ดี นอกจากนี้การนำเครื่องมือทางทหารมาใช้ ยังอาจเปิดช่องให้ประเทศอื่นใช้โอกาสแทรกแซง เราจึงควรใช้เครื่องมือให้อยู่ระดับพอดี เพื่อสร้างความได้เปรียบในการเจรจาขั้นต่อไป ยืนยันว่า การดำเนินการเหล่านี้อยู่ภายใต้หลักการที่รัฐบาลนำการทหาร ซึ่งเป็นหลักการที่ทุกประเทศใช้บริหาร
ไม่ไปถกUN-หวั่นกลับไม่ทันแถลงนโยบาย
ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทยกล่าวถึงความชัดเจนในการเดินทางไปร่วมประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติหรือ UNGA หลังฝ่ายกฎหมายระบุว่าเดินทางไปได้หากเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนว่า หากพิจารณาจากเวลาแล้วคงไม่ทันการณ์วันแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งเบื้องต้นจะหารือกับรมว.ต่างประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องช่วงเวลา และอำนาจที่มีอยู่ด้วย บางคนบอกไปได้บางคนก็บอกว่าไปไม่ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่าคณะกรรมการกฤษฎีการะบุแล้วว่าไปได้ นายอนุทินกล่าวว่า เรามีแนวทางของเรา อย่างไรก็ตามเราไม่ได้ไปเพื่อลงนามข้อตกลง หากรัฐบาลของตนเข้ามาบริหารประเทศแล้ว เราชัดเจนในการบริหารสถานการณ์ความขัดแย้งของไทยเขมรอย่างไร
ถามอีกว่า การที่นายกฯไม่เดินทางไปด้วยตัวเองทำให้ไทยเสียโอกาสเรียกความเชื่อมั่นจากสถานการณ์ไทย-เขมร นายอนุทินกล่าวว่า เรื่องความเชื่อมั่นอยู่ที่การจัดการของรัฐบาล และการสนับสนุนจากประชาชนและกองทัพ ไม่ได้อยู่ที่เวทีไหน ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับบ้านเรา ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องประชาชนสนับสนุนแนวทางของรัฐบาล นี่คือความเชื่อมั่น
ต้องทำให้สมบูรณ์ทุกรูปแบบมีอำนาจเต็ม
ถามย้ำว่าถ้าไม่ได้ไปเข้าร่วมประชุม UNGA จะทำให้ไทยเสียโอกาสอะไรบ้าง นายอนุทินกล่าวว่า สำหรับแนวทางรัฐบาลเราชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ว่าเป็นประชาคมโลกหรือใครก็ตาม รับทราบข่าวสารกับแนวทาง และนโยบายที่กำลังจะเข้ามา ขณะนี้เราต้องการความสมบูรณ์แบบทุกรูปแบบ ดังนั้นเราต้องแถลงนโยบายให้เรียบร้อยก่อน
ถามอีกว่า ไทยต้องทำเอกสารชี้แจงหรือไม่ จากกรณีเขมรร้องเรียนในเวที UN นั้น นายอนุทินกล่าวว่า กัมพูชาก็กล่าวหาเราว่าละเมิดตลอดเวลา แต่จริงแล้วเราแถลงจากประเทศไทยก็ได้ ถามต่อว่าต้องหารือกับกระทรวงการต่างประเทศหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ก็ต้องหารือว่าจะให้ไปหรือไม่ เมื่อเช้านี้มีการประชุมหลายหน่วยงาน เห็นสมควรว่าไม่ควรไปร่วมประชุม มีการตีความมากมายหากไปเข้าร่วมแล้วไม่สามารถพูดได้เต็มที่ ไปพบคู่เจรจา หากถูกถามว่า manes มีอำนาจเต็มหรือไม่ แล้วจะพูดว่าน่าจะเต็ม ทำให้เราเสียโอกาสแล้ว เราจะคุยกับใครก็รอให้เรียบร้อยก่อน การจะคุยกับใครไม่จำเป็นต้องคุยที่UN คู่กรณีมีไม่กี่ราย
เมื่อถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ หลังจากแถลงนโยบายแล้ว จะแถลงจุดยืนของรัฐบาลไทยในการปกป้องอธิปไตยของไทยกัมพูชาอย่างไร นายอนุทินกล่าวว่า หากจำเป็น ก็ต้องดูว่าที่ UN มีข้อสงสัยอะไรสิ่งสำคัญคือต้องเข้าไปบริหารราชการแผ่นดินเต็มรูปแบบให้ได้ ในสัปดาห์หน้าจะนัดแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งเรื่องนี้สำคัญกว่า หากไปแล้วเกิดเครื่องบินดีเลย์ กลับมาแถลงนโยบายไม่ได้ จะทำให้เกิดปัญหามากมาย ขณะนี้อยู่ระหว่างประสานงานกับรัฐสภาเรื่องการแถลงนโยบายในวันที่ 29-30 กันยายน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี