"เท้ง"ขีดเส้นนับถอยหลัง ยุบสภาเดินหน้าประชามติรัฐธรรมนูญใหม่ ชวนคิดไม่มียุคไหนที่ชีวิตคนไทยไม่เจอรัฐประหาร ฉะเศรษฐกิจไทยตามไม่ทันโลกเหตุระบบการเมืองฉุดรั้งประเทศ ย้ำภารกิจ 4 ข้อ"พรรคประชาชน"เดินหน้าเปิดประตูแก้รัฐธรรมนูญ-ผลักดันกฎหมาย-ถ่วงดุลรัฐบาล
เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 ที่รัฐสภา มีการประชุมร่วมรัฐสภา โดยมี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาเรื่องด่วนคณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีคณะรัฐมนตรี , สส.และ สว.เข้าร่วมประชุมอย่างคึกคัก
โดย นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ กล่าวอภิปรายนโยบายรัฐบาล ว่า วันนี้เป็นหมุดหมายแรกที่รัฐบาลเข้าทำหน้าที่ภายใต้กรอบระยะเวลา 4 เดือนอย่างเป็นทางการแล้ว ยังถือว่าเป็นหมุดหมายแรกของตนและพรรคประชาชนในการทำหน้าที่ฝ่ายค้านเพื่อนับถอยหลังสู่การยุบสภา แล้วมุ่งหน้าสู่การจัดทำประชามติสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยตนขอเชิญท่านประธานรัฐสภา นายกรัฐมนตรี รวมถึงเพื่อนสมาชิกรัฐสภาทุกท่านลวงหวนระลึกถึงในวันที่ท่านเป็นผู้มีสิทธิ์ในการเลือกตั้งเข้าคูหาครั้งแรกในชีวิตว่าประสบการณ์ชีวิตนับแต่วันเข้าคูหาเลือกตั้งจนถึงวันนี้ท่านมีประสบการณ์ต่อการเมือง เศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างไรบ้าง
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า ลองดูที่รุ่นแรกรุ่นพ่อแม่ตนและผู้ใหญ่หลายๆ คนที่เกิดในยุค 2500 กว่าๆ ในวันที่พวกเขามีสิทธิ์เลือกตั้งอยู่ในวัยหนุ่มสาวกำลังอยู่ในยุคหนึ่งของเศรษฐกิจไทยที่ชื่อว่ายุคโชติช่วงชัชวาล จีดีพีของประเทศในขณะนั้นเติบโตเฉลี่ยปีละ 9.7% เพราะประเทศไทยได้รับอานิสงส์จากการเมืองโลก มีเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในประเทศไทยจำนวนมาก จนเราได้รับการขนานนามว่าเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย ใครก็ตามที่เกิดในยุคนี้อาจจะผ่านการปฏิวัติรัฐประหารไม่ต่ำกว่า 6 ครั้งด้วยกัน ลองหันมาดูที่รุ่นตนและเพื่อนสมาชิกอีกหลายคนที่เกิดในยุคปี 2530 ผ่านช่วงชีวิตวัยรุ่นมากับการปฏิวัติรัฐประหารปี 2549 การปฏิวัติครั้งแรกในชีวิตตนๆ ยังจำความไม่ได้นั่นคือเกิดขึ้นในปี 2534 แต่ที่ตนจำความได้คือ 19 ปีนับตั้งแต่การปฏิวัติปี 2549 ที่ทำให้ชีวิตตนต้องผ่านการปฏิวัติรัฐประหารเพิ่มอีก 2 ครั้ง นายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้งถูกปลดจากตำแหน่งถึง 5 คน พรรคการเมืองที่สำคัญถูกยุบ 7 พรรค และการเลือกตั้งก็ต้องถูกล้มไปอีก 2 ครั้ง ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้พวกเราต้องเปลี่ยนนายกฯ ถึง 3 คนด้วยกัน
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า คำถามคือไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ คนรุ่นตน หรือคนรุ่นไหนๆ ปูย่าตายายที่ผ่านมาในยุคสงครามเย็น มีคนไทยรุ่นไหนในยุคใดสมัยใดหรือไม่ ที่พวกเขาเดินเข้าสู่คูหาเลือกตั้ง นับตั้งแต่วันแรกที่เขาเกิดจนถึงวันแรกที่เขามีสิทธิ์เลือกตั้ง ที่ชีวิตของพวกเขาประเทศไม่เคยมีการปฏิวัติรัฐประหารเลย ตนชวนท่านประธานและเพื่อนสมาชิกลองถามตัวท่านเอง และถามไปยังคนไทย 50 กว่าล้านคนทั่วประเทศที่เป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในยุคนี้ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นไหน ในประวัติศาสตร์ชาติไทยไม่เคยมีคนรุ่นไหนเลยที่เดินเข้าคูหาเลือกตั้งแล้วประเทศไทยไม่เคยมีการปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งเป็นเรื่องน่าตกใจ ที่ผ่านมาแปลว่าไม่เคยมีคนไทยสักรุ่นที่เกิดและเติบโตมาในประเทศนี้ที่อยู่ในการเมืองประชาธิปไตยเต็มใบที่มีเสถียรภาพเสียที
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ตนขอย้ำให้ทุกท่านเห็นถึงความสำคัญของการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วยการบอกให้ทุกท่านเห็นว่าประเทศไทยที่ผ่านมาไม่เคยมีสักยุคที่ดอกผลของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่เราเติบโตแบบก้าวกระโดดนั้น เกิดจากแรงถีบและแรงส่งของรัฐบาลและการเมืองภายในประเทศที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ได้เกิดจากแรงฉุดหรือลากจากอานิสงส์ที่เราได้รับจากการเมืองโลก และลมที่กำลังเปลี่ยนทิศจากการเมืองโลกวันนี้ ไม่ได้เข้าข้างประเทศไทยอีกต่อไป คำถามคือด้วยการเมืองแบบที่เป็นอยู่ที่ทำให้เราต้องมาแถลงนโยบายถึง 3 ครั้งในรอบ 2 ปี เนื่องมาจากกลไกของศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระถูกนำมาใช้ทำลายล้างกันทางการเมืองมากกว่าการจับคนโกงลงโทษคนผิด ปัญหาการทุจริตภายในประเทศไม่เคยเบาบางลง มีแต่หนักขึ้นทุกวัน
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ตราบใดที่เรายังคงอยู่ในระบบการเมืองแบบนี้มีใครในประเทศนี้ที่จะต้องเจ็บปวดบ้าง พ่อแม่พี่น้องเกษตรกรที่ผลผลิตราคายังตกต่ำ ปุ๋ยก็แพง หนี้ก็ท่วมหัว แถมยังต้องเป็นหนี้นอกระบบเพราะกู้ไปหล่อเลี้ยงครอบครัว ใช่คนไทยทุกคนหรือไม่ที่ต้องทนอยู่กับปัญหาฝุ่น PM2.5 เหมือนตายผ่อนส่งทุกๆ ปี กฎหมายอากาศสะอาดก็ยังล่าช้าผ่านสภาออกไปไม่ได้ ปัญหาน้ำท่วม ไฟป่าก็ยังไม่เคยมีรัฐบาลยุคใดสมัยใดที่เข้ามาบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นระบบเสียที พ่อแม่พี่น้องในต่างจังหวัด 64 ปีมาแล้วที่เขาเคยอยู่กับคำขวัญที่ว่าน้ำไหลไฟสว่างทางดีมีงานทำ เป็นคำขวัญที่อยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่หนึ่งในปี 2504 แต่หลายพื้นที่ยังคงน้ำไม่ไหล ไฟไม่สว่าง ทางไม่สะดวก จะไปโรงพยาบาลต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 ไปต่อคุยโรงพยาบาลที่อำเภอ
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า หันมาดูที่หลูกหลานคะแนนสอบ PISA ก็ตกลงอย่างต่อเนื่อง เทียบกับประเทศอาเซียนเด็กไทยอยู่อันดับที่ 5 เป็นรองทั้งสิงคโปร์ เวียดนาม บรูไน และมาเลเซีย ลูกหลานเราบางคนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ระบบการศึกษาไทยในปัจจุบันไม่ได้สร้างทักษะที่จำเป็นเพื่อเตรียมตัวให้เขาแข่งขันกับโลกในอนาคตได้เลย และหลายคนต้องหลุดออกจากระบบการศึกษาไปทั้งๆ ที่พวกเขาคืออนาคตของประเทศไทย ถามไปยังผู้ประกอบการพ่อค้าแม่ขายทุกคน ที่ตื่นมาแต่เช้าต้องต่อสู้กับเศรษฐกิจที่ฝืดเคือง เปรียบเทียบจีดีพีของโลก ของไทย และของประเทศเพื่อนบ้านย้อนหลังไป 19 ปีนับตั้งแต่นับตั้งแต่ปี 2549 กล่าวโดยสรุปประเทศเราเดินช้ากว่าโลกและประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ในขณะที่ตั้งแต่ปี 2549 โลกเติบโตเฉลี่ย 3% ต่อปี แม้จะเจอวิกฤตซับไพรม์ ในปี 2551 หรือวิกฤตโควิด-19 ในปี 2563 โลกก็ยังฟื้นตัวกลับมาได้เร็ว แต่ไทยไม่เคยฟื้นตัวกลับมายืนอยู่บนเส้นเดียวกับโลกได้เลย
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า สะท้อนให้เห็นว่าโครงสร้างเศรษฐกิจในไทยปัจจุบันกำลังอ่อนแอ อุตสาหกรรมของเรากำลังล้าหลัง และไม่สามารถฟื้นตัวได้เร็วเหมือนประเทศอื่นๆ นี่ไม่ใช่เหตุบังเอิญแต่เป็นวงจรซ้ำแล้วซ้ำเล่าแสดงให้พวกเราเห็นว่าหากปราศจากปัจจัยเชิงบวกที่ไทยได้รับอานิสงส์จากการเมืองโลกภายนอก เราแทบไม่เคยเติบโตแบบก้าวกระโดดด้วยลำแข้งของเราเองเลย และในวันที่โลกมีแต่ปัจจัยเชิงลบซัดเข้าหาประเทศไทย เราก็ดูดซับแรงกระแทกเหล่านั้นเขามาเต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นโควิด สงครามการค้า สินค้าราคาถูก หรือปัญหาทุนเทาก็ตาม ดัชนีคอร์รัปชันของไทยก็ยังคงตกลงอย่างต่อเนื่อง จากในปี 2555 ที่เรามีคะแนนดัชนีคอร์รัปชันอยู่ที่ 37 คะแนน ในปี 2567 เหลืออยู่เพียง 34 คะแนนต่ำที่สุดในรอบ 12 ปี เราอยู่ในอันดับที่ 107 จาก 180 ประเทศทั่วโลก ทั้งๆ ที่พวกเรามีองค์กรอิสระคอยตรวจสอบมากมาย แต่ดัชนีของเรากลับตกลงอย่างต่อเนื่อง นั่นเพราะกลไกตรวจสอบที่มีถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองมากกว่าการปกป้องเงินภาษีของประชาชน
"รัฐธรรมนูญและระบบการเมืองแบบนี้หรือ ที่จะพาประเทศไทยพุ่งทะยานไปข้างหน้าได้ ในขณะที่รถยนต์ที่ชื่อว่าเศรษฐกิจโลกกำลังวิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็ว รถยนต์ที่ชื่อว่าเศรษฐกิจไทยกลับวิ่งช้าตามไม่ทันแล้วเหมือนติดหล่มอยู่กับที่ เพราะเครื่องยนต์หรือระบบการเมืองภายในประเทศกำลังฉุดรั้งรถคันนี้เอาไว้อยู่ ถึงเวลาแล้วที่พวกเราต้องมายกเครื่อง เครื่องยนต์นี้ใหม่ให้เราเดินหน้าได้อย่างเต็มกำลัง ถ้าพวกเรามีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คำถามก็คือทำไมเราถึงต้องให้ความสำคัญกับรัฐธรรมนูญที่ยึดโยงกับประชาชนมากที่สุด เพราะเราต้องการรัฐบาลที่มีความโปร่งใส มีประสิทธิภาพและมีความชอบธรรม ยึดโยงกับพ่อแม่พี่น้องของประชาชน บรรดา ครม.ถูกแต่งตั้งมาจากผู้ที่มีความรู้ความสามารถไม่ได้มาจากเพียงแค่การจัดสรรโควตาหรือการต่อรอง แบ่งผลประโยชน์กันทางการเมือง เราต้องการรัฐบาลที่มีความชอบธรรม สะท้อนเจตจำนงของประชาชน กล้าที่จะปฏิรูปเชิงโครงสร้าง เพื่อกำหนดอนาคตของประเทศ วางยุทธศาสตร์ชาติที่ปรับเปลี่ยนได้ไปตามโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ได้ติดล็อกอยู่กับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่ คสช.เป็นคนเขียนมา" นายณัฐพงษ์ กล่าว
หัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวต่อว่า เราต้องการรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพเลือกลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่ถูกจุด มากกว่าการสร้างตึก ตัดถนน และขุดคลอง สร้างงานคุณภาพให้กับคนทุกๆ คน เราต้องการรัฐบาลที่ยกระดับรายได้ ตั้งแต่พ่อแม่พี่น้องเกษตรกรจนถึงนวัตกร เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าไทย ตั้งแต่ข้าว มัน ยาง จนถึงรถ คอมฯ ปิโตรเคมี ทุกๆ ห่วงโซ่อุปทานในประเทศไทย จะต้องได้รับการยกระดับใหม่เพื่อให้เป็นห่วงโซ่อุปทานสีเขียวที่เพิ่มมูลค่าเป็นสินค้าที่โลกในอนาคตต้องการ เราต้องการระบบการถ่วงดุลตรวจสอบที่เป็นอิสระยึดโยงกับประชาชน
"ประเทศไทยที่ติดเครื่องยนต์ใหม่แบบนี้จำเป็นที่จะต้องเริ่มต้นจากการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อทำให้รถยนต์คนนี้สามารถพุ่งทะยานไปข้างหน้าได้อย่างเต็มกำลัง นี่คือเหตุผลที่พรรคประชาชนเรามุ่งมั่นเป็นอย่างยิ่งที่จะเปิดประตูไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และยอมโหวตให้คุณอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกฯ ด้วยข้อตกลงดังที่ปรากฏอยู่ใน MOA และการทำหน้าที่ของพวกเรา 4 เดือน ต่อจากนี้ ของทั้งผม ท่านนายกฯ และเพื่อนสมาชิกในวันนี้จะเป็นสิ่งที่ประชาชนใช้ตัดสินพวกเราในวันหน้า" นายณัฐพงษ์ กล่าว
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ดังนั้นสิ่งที่พรรคประชาชนจะทำหน้าที่ในช่วง 4 เดือนต่อจากนี้ ในสภาวะรัฐบาลเสียงข้างน้อย หรือฝ่ายค้านเสียงข้างมากก็คือประการที่หนึ่ง การเปิดประตูสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ภายใน 4 เดือนนี้ เราต้องผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 15/1 ให้แล้วเสร็จก่อนการยุบสภา โดยที่มาของผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญจะต้องยึดโยงกับประชาชนมากที่สุด เท่าที่จะทำได้ ภายใต้กรอบคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ประการที่สองเราสามารถผลักดันกฎหมายที่เป็นประโยชน์กับประชาชนได้มากที่สุด ภายในช่วงเวลาไม่ถึง 1 เดือนที่ผ่านมา สภาสามารถผ่านกฎหมายทั้งวาระ 3 และวาระ 1 ได้ถึง 11 ชุด ครอบคลุมทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิต ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายกระจายอำนาจ การแข่งขันทางการค้า กฎหมายแก้หนี้ ล้มละลายสมัครใจ คุ้มครองแรงงาน คุ้มครองมลพิษ ศาลทหาร และการนิรโทษกรรมคดีที่ดินให้กับประชาชนที่ถูกรัฐดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรม โดยไม่นิรโทษกรรมให้นายทุนที่บุกรุกที่ป่า ยังมีกฎหมายอีกหลายชุดที่เพื่อนสมาชิกสามารถร่วมกันผลักดันได้ในเวลาที่เหลืออยู่ไม่มาก เช่น พ.ร.บ.อากาศสะอาด เป็นต้น
นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า ประการที่สามในช่วง 4 เดือนนี้ รัฐบาลใหม่สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ทั้งด้านเศรษฐกิจ คุณภาพชีวิต ความมั่นคงและอาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึงปัญหาที่ตกค้างจากรัฐบาลชุดก่อนได้หลายเรื่อง ซึ่งเพื่อนสมาชิกจากฝ่ายค้านของตนจะลุกขึ้นอภิปรายต่อจากนี้ในอีก 2 วัน ประการสุดท้ายตนในฐานะผู้นำฝ่ายค้านจะยังทำหน้าที่ถ่วงดุลตรวจสอบรัฐบาลอย่างเต็มที่ เพราะพรรคประชาชนไม่ได้ใช้เสียงของพวกเรา โหวตให้กับนายอนุทินเพื่อให้รัฐบาลใหม่เอาอำนาจไปใช้โดยมิชอบ หรือเพื่อสนับสนุนการแต่งตั้งบุคคลที่ไม่มีความเหมาะสมมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี หรือเพื่ออนุญาตให้รัฐบาลเข้าไปแทรกแซงการดำเนินคดีไม่ว่าจะเป็นเรื่องเขากระโดงหรือฮั้ว สว.และการตรวจสอบทุจริตในรัฐบาลที่ผ่านมา
"ผมและพรรคประชาชนใช้เสียงของพวกเราเพื่อมุ่งหวังให้ 4 เดือนต่อจากนี้เป็นโอกาสที่สำคัญในการเปิดประตูสู่อนาคตใหม่ของประเทศๆ เพื่อให้ลูกหลานไทยรุ่นแรกที่เดินเข้าคูหาเลือกตั้งและ ชีวิตของพวกเขาอยู่ในระบบการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยปราศจากการปฏิวัติรัฐประหาร ไม่ใช่การใช้เสียงของพวกเราเพื่อที่จะไปปิดประตู แล้วทำให้วงจรชีวิตของลูกหลานเรายังคงติดอยู่ในลูปติดอยู่ในระบบการเมืองแบบที่คนทุกรุ่นที่อยู่ในยุคนนี้กำลังเสื่อมศรัทธา สุดท้ายฝากคุณอนุทินว่าสิ่งที่พวกเราอยากเห็นไม่ใช่แค่การที่ท่านจะต้องเคารพข้อตกลงแต่อยากเห็นท่านเคารพต่อกระบวนการยุติธรรมและเคารพต่อประชาชน ผู้ที่เป็นเจ้าของประเทศนี้" นายณัฐพงษ์ กล่าว
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี