วันจันทร์ ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2568
‘สส.พท.’เปิดลานรถทัวร์! ซัดฉะ‘เขมร’กลาง‘UN’ทำไทยขาดความน่าเชื่อถือ

‘สส.พท.’เปิดลานรถทัวร์! ซัดฉะ‘เขมร’กลาง‘UN’ทำไทยขาดความน่าเชื่อถือ

วันจันทร์ ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2568, 16.58 น.

เปิดลานรถทัวร์รอ! "ศรีญาดา"มาสวนกระแส อัดนโยบาย"รัฐบาลอนุทิน"ด้านมั่นคง-ต่างประเทศ ไร้วิสัยทัศน์ แก้แค่เฉพาะหน้า ปมขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ติงฉะ"เขมร"กลาง"ยูเอ็น" เป็นการทะเลาะต่อหน้าชาวโลก ทำขาดความน่าเชื่อถือ แนะใช้การทูตนำการทหาร หยุดปักธงยกเลิก MOU 2543 หวั่นเสียเปรียบ

เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 ที่รัฐสภา ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ที่มี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณาเรื่องด่วนคณะรัฐมนตรี (ครม.) แถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญ โดย น.ส.ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) อภิปรายนโยบายความมั่นคงและการต่างประเทศ ของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ว่า เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ขาดวิสัยทัศน์ และจุดยืนของผู้นำในเวทีโลก แม้จะมีความจำเป็นต้องตอบโต้กัมพูชาในเวทีสหประชาชาติ (UN) แต่การทะเลาะต่อหน้าชาวโลก ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยขาดความน่าเชื่อถือในสายตานานาประเทศ ดังที่ นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี เคยกล่าวไว้ว่า "สันติภาพคือทุนที่สำคัญ" ความขัดแย้งยังเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ กระทบต่อการค้าการลงทุนและคุณภาพชีวิตของประชาชน รัฐบาลนายอนุทินมีนโยบายเร่งแก้ปัญหากรณีพิพาทไทย-กัมพูชา ด้วยแนวทางสันติภาพผ่านกลไกการเจรจาทางการทูต ควบคู่กับการป้องกันประเทศที่เข้มแข็ง แต่จุดยืนของผู้นำไทยยังไม่ชัดเจน กลับไปกลับมา ไม่เห็นยุทธศาสตร์ทางการเมืองระหว่างประเทศภาพรวม ต้องนำปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่นภูมิศาสตร์การเมืองโลก และความเป็นครอบครัวอาเซียนมาพิจารณาร่วมด้วย


น.ส.ศรีญาดา กล่าวต่อว่า ขณะที่กัมพูชาเดินเกมรุก สร้างสถานการณ์เพื่อยกระดับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ไปสู่ในเวทีนานาชาติ กล่าวหาไทยว่าละเมิดข้อตกลงหยุดยิง รุกล้ำพื้นที่สิทธิ์ใช้อาวุธต่อพลเรือนกัมพูชา เพื่อสร้างภาพวาดไทยเป็นฝ่ายโจมตีก่อน แต่ในข้อเท็จจริงกัมพูชารุกล้ำพื้นที่อ้างสิทธิ์ รุกล้ำเขตแดนไทย ลอบวางทุ่นระเบิดสังหารโจมตีโรงพยาบาลพื้นที่ชุมชนจนมีพลเรือน และเด็กผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต อีกทั้งทหารกัมพูชายังจัดตั้งกลุ่มผู้ชุมนุมใช้เด็กและผู้หญิงเป็นโล่มนุษย์ ที่ผ่านมารัฐบาลของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เน้นจุดยืนของประเทศ โดยการรักษาสันติภาพ เคารพ และปฏิบัติตามกฏหมายระหว่างประเทศตามหลักมนุษยธรรมและข้อตกลงหยุดยิงต่อประชาคมโลกมาโดยตลอด ประเทศใหญ่ไม่เคยรังแกประเทศเล็ก แต่ตอบโต้เพื่อปกป้องอธิปไตยและปกป้องชีวิตประชาชนตามสัดส่วนที่เหมาะสม ในเวทีต่างประเทศมาอย่างต่อเนื่องผ่านเวที UNGA และ UNSC เพื่อไม่ให้ประเทศไทยเพลี่ยงพล้ำด้านการเมืองระหว่างประเทศรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้กดดันกัมพูชาในสิ่งที่กัมพูชาทำผิดจนยอมกลับมาเจรจาทวิภาคีได้ ทั้งที่ช่วงแรกผู้นำกัมพูชาปฏิเสธการเจรจาของสองฝ่ายมาโดยตลอด ตนเองเห็นว่ารัฐบาลของนายอนุทิน จำเป็นจะต้องมียุทธศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศในเชิงรุกที่ชัดเจน ทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างสองประเทศ จึงต้องสื่อสารข้อเท็จจริงที่ฝ่ายกัมพูชารุกล้ำ ละเมิดทั้ง MOU 2543 และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่องและจริงจัง

น.ส.ศรีญาดา กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ การเจรจาสู่สันติภาพ รัฐบาลไทยจะต้องให้กัมพูชาจำนนต่อหลักฐานที่ปฏิเสธไม่ได้ สร้างความได้เปรียบในการเจรจาเพราะสันติภาพจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทหารประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องได้รับความยุติธรรมจากการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมก่อน แต่ตั้งแต่นายอนุทินเข้ามารับตำแหน่งนายกฯ ตนเองยังไม่เคยได้ยินนายอนุทินประณามการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมของกัมพูชาแม้แต่ครั้งเดียว แม้กระทั่งวันนี้ที่แถลงนโยบายก็ไม่มีการเดินหน้าเรียกร้องให้กัมพูชาร่วมเก็บกู้ทุ่นระเบิด ดังนั้น นายกฯ ต้องฟังคำแนะนำของกระทรวงการต่างประเทศให้มาก โดยเฉพาะท่าทีของผู้นำรัฐบาล ในขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศตอบโต้กัมพูชาในเวที UN อย่างเหมาะสมทันท่วงที แต่น้ำหนักของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเพียงท่านเดียวไม่เพียงพอสำหรับเรื่องนี้ เพราะท่าทีและแนวนโยบายของผู้นำคือ ทิศทางของประเทศ

น.ส.ศรีญาดา ยังกล่าวถึงแนวนโยบายของกระทรวงมหาดไทยที่จะส่งผลกระทบต่อการต่างประเทศว่า การผลักดันผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชาที่มาอาศัยในพื้นที่อพยพในเขตแดนของไทย บ้านหนองจาน-บ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว ในวันที่ 10 ต.ค.นี้ ท่านจะปล่อยให้ข้าราชการประจำในพื้นที่จัดการกันเองโดยไม่มีนโยบายจากผู้นำรัฐบาลไม่ได้ อีกนโยบายที่สะท้อนถึง "ความทำไม่ได้ ทำไม่ดี" คือนโยบายป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและภัยไซเบอร์มีรายงานจากสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNOCD) ชี้ว่า ศูนย์ฉ้อโกงข้ามชาติสร้างรายได้สูงถึง 1.3 ล้านล้านบาทต่อปี และหลายเครือข่ายเชื่อมโยงกับภูมิภาคนี้ รัฐบาลของ น.ส.แพทองธาร ใช้มาตรการเชิงรุกตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต เพื่อสกัดสแกมเมอร์เซ็นเตอร์ร่วมมือกับนานาประเทศปราบปราม ซึ่งถือเป็นหนึ่งยุทธศาสตร์หลักในการกดดันกัมพูชา แต่รัฐบาลนี้กลับเขียนระบุเพียงสั้นๆ โดยไม่มีความร่วมมือระหว่างประเทศ ทำให้ประชาชนไม่มั่นใจว่านายกฯ จะเดินหน้าแสวงหาความร่วมมือระหว่างประเทศในการปรับเรื่องนี้อย่างจริงจังได้อย่างไร

น.ส.ศรีญาดา กล่าวว่า ตนเองเป็นห่วงภาพลักษณ์ของประเทศเกรงว่าประชาคมโลกจะตั้งคำถามถึงรัฐบาลไทยว่า ไม่กล้าปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ เพราะผู้นำไร้การแสดงออกสะท้อนถึงความไม่จริงจังและจริงใจต่อนานาประเทศและประเทศคู่ขัดแย้ง อย่างไรก็ตามคำแถลงนโยบายที่ระบุว่าจะมีการทำประชามติเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพิจารณาตัดสินใจให้ความเห็นต่อการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทย-กัมพูชา โดยไม่มีการระบุแนวทางในการประชาสัมพันธ์ข้อเท็จจริง ข้อดี-ข้อเสีย สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลจงใจทำไม่เป็น มีอคติทางการเมือง มีความเชื่อที่ไม่มีมูลความจริง ขอท่านอย่าเอามาเป็นธงในการยกเลิก MOU เพราะจะสร้างความเสียหายให้กับประเทศในระยะยาว ที่ผ่านมาข้าราชการของกระทรวงการต่างประเทศ กองทัพไทย กระทรวงมหาดไทยได้พยายามพูดถึงข้อดีและความจำเป็นของการมีอยู่ MOU มาโดยตลอด การยกเลิกตอนนี้จะทำให้ไทยเสียเปรียบและเข้าทางกัมพูชาที่เลี่ยงโต๊ะเจรจาทวิภาคี ซึ่งประชาชนในพื้นที่ชายแดนใช้ MOU 2543 ในการอยู่ร่วมกันมาโดยตลอด

"หากนายกฯ จริงใจในการแก้ประชามติอย่างโปร่งใสที่ไม่ใช่เป็นการเอาอคติมานำสติ ท่านควรที่จะนำข้อเท็จจริงมาประชาสัมพันธ์เพื่อแยกแยะให้สังคมเห็นระหว่าง Fact และ Fiction ผลดี-ผลเสียที่จะเกิดขึ้น ก่อนที่จะให้ประชาชนตัดสินใจลงมติแทนการชี้นำและชักจูง เพราะอดแปลกใจไม่ได้ว่าหลังการประกาศจากผู้นำจิตวิญญาณของกัมพูชาที่ต้องการยกเลิก MOU 2543 เมื่อวันที่ 2 มิ.ย.68 หลังจากนั้นเพียง 1 เดือน พรรคของนายกฯ มีการเสนอญัตติด่วนในสภาฯ ให้ยกเลิกข้อตกลงดังกล่าว สอดคล้องกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ไม่แน่ใจว่านโยบายการต่างประเทศของรัฐบาลถูกกำหนดที่บุรีรัมย์หรือพนมเปญ" น.ส.ศรีญาดา ระบุ

น.ส.ศรีญาดา กล้าวด้วยว่า สุดท้ายอยากเห็นนโยบายความมั่นคง การต่างประเทศที่มีวิสัยทัศน์ ท่าทีผู้นำรัฐบาลต้องชัด จุดยืนของประเทศต้องมียุทธศาสตร์เชิงรุกและมั่นคงในขณะที่มีสงครามการค้า สงครามอาวุธ สงคราม AI เราไม่มีเวลาเอาเรื่องภายในประเทศมาบั่นทอนภาพลักษณ์ของไทยในสายตาชาวโลก ขออย่าเอากรรมทางการเมืองมาสร้างกระแสชาตินิยมจนกลายเป็นกระแสคลั่งชาติ ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงเสมือนที่ประเทศเพื่อนบ้านใช้อยู่ วันนี้ปัญหาระหว่างประเทศที่รุมเร้า เพราะอำนาจและเงินเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้งภายในประเทศไทย เพราะมัวแต่ช่วงชิงอำนาจทางการเมือง ตนเองจึงขอฝากไปถึงนายกฯ ว่าไม่มีคนประเทศไหนที่จะเห็นประโยชน์ของไทยสูงสุดเท่าคนไทยด้วยกัน  นโยบายความมั่นคงการต่างประเทศจะต้องใช้การทูตนำการทหาร เข้มแข็งในจุดยืน ทุกก้าวย่างที่เดินต้องเดินอย่างมียุทธศาสตร์ในการเมืองระหว่างประเทศ เพื่อความสงบสันติ กินดีอยู่ดี และคืนบทบาทการนำเป็นผู้นำของไทยในเวทีโลก

- 006

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top