ห่วง'คนละครึ่ง'ซื้อเสียงล่วงหน้า 'ศิริกัญญา' ดักคอ 'อย่าฉวยโอกาส'

ห่วง'คนละครึ่ง'ซื้อเสียงล่วงหน้า 'ศิริกัญญา' ดักคอ 'อย่าฉวยโอกาส'

วันจันทร์ ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2568, 21.31 น.

"ศิริกัญญา"ดักคอคนละครึ่ง ดูลุกลี้ลุกลน ห่วงซื้อเสียงล่วงหน้า กระตุกแค่ให้เป็นรัฐบาลประคับประคองถึงเลือกตั้ง อย่าฉวยโอกาส

วันที่ 29 กันยายน 2568 ที่รัฐสภา ในการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคประชาชน อภิปรายว่า คำแถลงนโยบายของรัฐบาลยังคงอยู่ในรูปแบบเดิมๆ ไม่ได้แตกต่างจาก 2 รัฐบาลก่อนหน้านี้ หรือแม้กระทั่งรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีแต่คำกว้างๆ ลอยๆ ขาดความชัดเจนของเป้าหมายที่จะไปถึง ไม่มีการใส่ตัวชี้วัดใดๆ ทั้งสิ้น ถึงแม้จะมีไทม์ไลน์ที่แน่ชัดว่าทุกอย่างจะต้องเสร็จภายใน 4 เดือน รอบนี้เราไม่ได้คาดหวังกับรัฐบาลว่าจะต้องมีนโยบายในการแก้ไขปัญหา มีการตั้งเป้าหมาย ไม่ได้คาดหวังแม้กระทั่งท่านต้องทำตามนโยบายที่หาเสียง เพราะระยะเวลาของรัฐบาลสั้น รัฐบาลนี้มีข้อจำกัดในด้านของเวลาและงบประมาณ แต่สิ่งที่เราคาดหวังคือการบริหารจัดการประเทศไปแบบประคับประคองไปจนถึงการเลือกตั้ง เน้นแก้ไขปัญหาเร่งด่วนเฉพาะจุดเฉพาะด้าน และต้องไม่ตัดสินใจที่จะทำให้เกิดความเสียหายแบบที่แก้ไขอะไรอีกไม่ได้ในอนาคต และต้องไม่ฉวยโอกาสในการหากินจากภาษีของประชาชน 


น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า คำแถลงนโยบายฉบับนี้ไม่ได้สร้างความกระจ่างชัดเจน แต่สร้างคำถามตามมาเต็มไปหมด ในด้านของเศรษฐกิจ ที่ใส่เข้ามามีแต่ What คืออะไร แต่ขาด How ว่าจะทำอย่างไรให้เสร็จภายใน 4 เดือน ไม่มีการจัดลำดับความสำคัญ ต้องยอมรับว่าพรรคแกนนำรัฐบาลอย่างพรรคภูมิใจไทย ไม่ได้เป็นพรรคการเมืองที่มีวาระการเมือง นโยบายทางการเมืองแบบที่พรรคอื่นมี ก็เลยไม่ได้มีการเตรียมนโยบายมาอย่างเข้มข้นเพื่อขับเคลื่อน แม้จะมีรัฐมนตรีคนนอกที่มาจากภาคธุรกิจ เป็นนักธุรกิจ แต่อาจจะยังเร็วเกินไปคิดไม่ทัน ยังไม่ตกผลึกว่าจะแก้ปัญหาด้วยวิธีการใด 

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อไปว่า  ยกตัวอย่าง โครงการคนละครึ่ง ซึ่งตนคิดว่าไม่มีใครไม่เห็นด้วย แต่แปลกใจที่คนให้รายละเอียดกลับไม่ใช่รองนายกฯ ไม่ใช่ รมว.คลัง แต่เป็นรองหัวหน้าพรรคภูมิใจ ซึ่งอาจจะเป็นโฆษกรัฐบาลในอนาคตหรือไม่ก็ไม่แน่ใจ แต่ชวนให้คิดว่าโครงการนี้เป็นโครงการการเมืองหรือเป็นโครงการทางด้านเศรษฐกิจกันแน่ มีการประกาศว่าคนละครึ่งพลัส จะเป็นเพียงเฟสแรกเท่านั้น ซึ่งคาดว่าจะจบในเดือน พ.ย.-ธ.ค. และเฟสอื่นๆ ในปีหน้า ซึ่งแค่เฟสแรกใช้งบประมาณถึง 66,400  ล้านบาท แบ่งเป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13.5 ล้านคน โดยการเติมเงิน 1,700 บาท/คน ใช้งบประมาณ 22,000 ล้านบาท ผู้ที่ไม่ได้ยื่นภาษี 9 ล้านคน รัฐสมทบ 2,000 บาท/คน ใช้งบประมาณ 18,000 ล้านบาท และผู้ที่ยื่นภาษี 11 ล้านคน รัฐสมทบ 2,400 บาท/คน ใช้งบประมาณ 26,400 ล้านบาท ตนเข้าใจว่าจะใช้งบกลางของปี 2568 ยังเหลือในส่วนของรายจ่ายฉุกเฉินจำเป็นประมาณ 30,000 ล้านบาท และมีงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 157,000 ล้านบาท ที่จะใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต แต่ไม่ได้ทำแล้วและอนุมัติไม่หมดก็ยังเหลืออยู่

“หากจะใช้งบกลางปี 68 ต้องมีมติ ครม. อนุมัติให้ทันภายใน 30 ก.ย.นี้ จึงได้เร่งรัฐสภาให้แถลงให้จบในวันพรุ่งนี้ ก่อนจะมีประชุม ครม.นัดพิเศษที่รัฐสภา เราก็ว่าทำไมเร่งเราจังเลย มีกระทั่งว่าให้แถลงนโยบายวันอาทิตย์ เพราะต้องเร่งอนุมัติงบทั้งหมด 63,000 ล้านบาท พรุ่งนี้เขาจึงบอกว่าให้เราอภิปรายให้เสร็จ 6 โมงเย็น เพราะจะมีการประชุม ครม.นัดพิเศษต่อ ถือว่ารีบร้อนมาก กรมบัญชีกลางคงต้องเปิดระบบกดปุ่มกันกลางดึก เพื่อโอนเงินเข้าระบบสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อให้ใช้เงินทัน  ทำเพื่ออะไรกันคะ” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว 

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า ตนมองว่ามีเรื่องน่าประหลาดใจอยู่ ตอนที่รัฐบาลชุดที่แล้วอนุมัติงบกระตุ้นเศรษฐกิจไม่หมด เราก็ถามว่าจะมีโครงการอื่นหรือไม่ ก็ได้คำตอบว่าไม่มี ซึ่งเป็นเรื่องดีที่ได้ลดการขาดดุล ลดการกู้เงินเพิ่มได้ เพื่อไม่ให้เพิ่มหนี้สาธารณะ แต่เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลก็นำออกมาใช้ทันที ตกลงแล้วเราควรจะใช้งบก้อนนี้ให้หมดจนหยดสุดท้ายจริงหรือไม่ ส่วนในงบคนละครึ่งพลัสที่รวมทั้งคนยื่นและไม่ได้ยื่นภาษี จำนวน 44,000 ล้านบาท จะใช้งบปี 69 ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 3 ของกระสุนการคลังที่เราเหลืออยู่ ซึ่งรัฐบาลเองบอกว่าจะมีการทำเฟส 2 ต่อ มีโครงการลดค่าใช้จ่าย ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าทางด่วน รวมถึงเยียวยาผลกระทบภาษีทรัมป์ ฟื้นความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว รัฐบาลกะจะไม่เหลือเงินสำรองจ่ายไว้ให้รัฐบาลหน้าใช้เลยหรือ 

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อไปอีกว่า ยิ่งลุกลี้ลุกลนอยากอนุมัติงบให้ได้ยิ่งน่าเคลือบแคลง ตนไม่ติดเรื่องคนละครึ่งแม้จะไม่ตอบโจทย์ในเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งหากรัฐบาลอยากกระตุ้นยอดขายให้กับร้านค้ารายย่อยก็ทำได้สามารถพิสูจน์มาแล้ว แต่ถ้าหากอยากให้กระตุ้นเศรษฐกิจต้องมีการปรับปรุงเงื่อนไข เช่น กำหนดค่าใช้จ่ายขั้นต่ำ 200 บาทขึ้นไป สิทธิ์อาจจะต้องหมดวันต่อวัน เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ได้ใช้เร็วขึ้น จะสามารถทำให้กระตุ้นเศรษฐกิจได้ แต่ก็ยังไม่มีการเปลี่ยนเงื่อนไขแต่อย่างใด เราต้องลุ้นมติ ครม.อีกครั้ง

“ถ้าถามว่าลดค่าครองชีพได้หรือไม่ ก็สามารถลดได้ แต่ในส่วนของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ก็เพิ่งมีการแจกเงินหมื่นไปเมื่อปีที่แล้ว จะแจกอีกแล้วหรือ ถ้าถามว่าช่วยเอสเอ็มอีได้หรือไม่ โครงการคนละครึ่งสามารถช่วยได้ แต่แจกเงินสวัสดิการฯ ไม่ได้ช่วยใคร เพราะต้องไปซื้อของตามร้านธงฟ้าเหมือนเดิม แต่หากถามว่าทั้ง 2 โครงการสามารถซื้อเสียงล่วงหน้าได้หรือไม่ ก็ทำได้ทั้งคู่ จึงไม่เข้าใจว่าทำไมต้องอนุมัติใส่เงินในบัตรสวัสดิการอีกเพราะทั้งไม่กระตุ้นเศรษฐกิจ เอสเอ็มอีก็ไม่ได้ช่วย”น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

รองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวอีกว่า ส่วนทำไมตนต้องกังวลเกี่ยวกับงบปี 68 นั้น เพราะผลจัดเก็บ 11 เดือนในปี 68 รายได้รัฐตกเป้า 34,000 ล้านบาท ถึงแม้รัฐบาลนี้จะอยู่เพียงแค่ 4 เดือน แต่ต้องทำหน้าที่ตัดสินใจเรื่องสำคัยในปลายปีนี้ คือเป็นผู้กำหนดกรอบประมาณปี 70 และมอบนโยบายงบประมาณ และปี 69 หนี้สาธารณะจะสูงถึง 69 % ซึ่งจะทำให้เราสามารถกู้เงินเพิ่มได้แค่ 2.1 แสนล้านบาท ไม่ทราบว่าใครจะต้องเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังแห่งรัฐ ที่จะต้องขยายเพดานหนี้สาธารณะ จากเดิมอยู่ที่ 70 %  และเพื่อรักษาภาพลักษณ์การคลังอาจจะต้องเป็นผู้นำเสนอการจัดเก็บรายได้ใหม่ๆ ให้กับประเทศด้วย เพราะบริษัทจัดลำดับเรตติ้งจับตาดูเราอยู่ 

“จึงขอถามว่าหากท่านทำแผนจัดเก็บรายได้การปฏิรูปภาษีหรือแผนการปฏิรูปการคลัง จะกลายเป็นแผนที่ใช้บังคับกับรัฐบาลหน้า ถ้าฝ่ายการเมืองยังเร่งรีดเงินทุกบาททุกสตางค์เพื่อคะแนนนิยม และรัฐมนตรีคนนอกที่เป็นเทคโนแครตเข้าไปนั่งนิ่งๆ ยอมให้ทำอะไรก็ได้ จะมีประโยชน์อะไรที่เราจะมีรัฐมนตรีคนนอกโปรไฟล์ดีๆ มานั่งเป็น รมว.คลัง แถม รมช.คลังก็ยังพูดเอาหล่อจะเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม เก็บภาษีนำเข้าทองคำ เรามีบทเรียนจากรมว.คลังคนที่แล้ว ที่ระบุว่าจะเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 15 เพิ่ม จนถูกกระแสตีกลับจนต้องพับโครงการ 4 เดือนนี้แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ ไม่มีใครว่า แต่อย่าสร้างความเสียหายที่เราไม่สามารถกลับไปแก้ไขและไม่สามารถเรียกคืนความเชื่อมั่นกลับมาได้อีกในอนาคต”น.ส.ศิริกัญญา กล่าว 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top