มันส์หยดติ๋ง! ‘อนุทิน’เปิดเบื้องหลัง แฉกลับครั้งร่วม‘รัฐบาลอิ๊งค์’

มันส์หยดติ๋ง! ‘อนุทิน’เปิดเบื้องหลัง แฉกลับครั้งร่วม‘รัฐบาลอิ๊งค์’

วันอังคาร ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2568, 11.46 น.

มันส์หยดติ๋ง! "อนุทิน"เปิดเบื้องหลัง แฉกลับครั้งร่วม"รัฐบาลอิ๊งค์" ว่าด้วยเรื่อง"ถูกปลดจาก มท.1-ถอนตัวร่วมรบ." ด้าน"จิราพร"ลุกสวนเดือดอย่ามาดึงดราม่า ขณะที่"นายกฯ"ไม่มียอม ฉะกลับเป็นข้อเท็จจริง ย้ำ 31 ม.ค.69 "ยุบสภา"รักษาสัญญา ปัดดูดเพิ่มเสียง สส.เติม หยัน"2 อดีต รมต.มหาดไทย"ใจร้อนรีบเล่นงาน"เขากระโดง" อ่านหนังสือราชการไม่แตก นึกว่าตัวเองเก๋า หนุน"รฟท."ฟ้องรายแปลง พิสูจน์ถูก-ผิด ลั่นยุคผมจะไม่มีอุ้มช่วยใคร บี้ถอนคำพูดพาดพิงเป็น"ผู้ต้องหา"

เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 ที่รัฐสภา ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ที่มี นายมงคล สุระสัจจะ รองประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณาเรื่องด่วน คณะรัฐมนตรี (ครม.) แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ภายหลัง น.ส.จิราพร สินธุไพร สส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย (พท.) ลุกขึ้นอภิปรายพาดพิงมายังรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในหลากหลายประเด็น


ทำให้ นายอนุทิน ลุกชี้แจงทันทีว่า ตนชื่นชม น.ส.จิราพร ต่อการอภิปราย เมื่อ น.ส.จิราพร พูดจริงจะน่าเชื่อถือ แต่หากพูดเท็จจะขาดความมั่นใจ พยายามจะใช้วาทกรรม กรณีที่ตั้งข้อสังเกตความสัมพันธ์ส่วนตัวของตนกับผู้นำประเทศกัมพูชา ตนยืนยันว่าไม่เคยมีสัมพันธ์อะไรส่วนตัว ตนได้พบกับผู้นำกัมพูชาครั้งแรก อย่างเป็นทางการ เมื่อติดตาม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกฯ ไปเยือนกัมพูชาเมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา

"ที่บอกว่ามีการตกลงอะไรเบื้องหลังมาก่อน ผมยืนยันไม่มี เต็มที่ที่ผมมีคือเพื่อนที่รู้จักกันไม่มีผู้มีอำนาจอะไรในรัฐบาลแห่งนั้น ไม่มีลุง มีแต่เพื่อน ไม่พูดถึงแม้แต่การบริหารราชการแผ่นดิน หรือเสนอแนะอะไรที่ใช้สัมพันธ์ส่วนตัว ผมรู้สึกตกใจว่า เมื่อผมกลับมาแล้วจากการติดตาม น.ส.แพทองธาร เยือนกัมพูชา เพื่อนๆ ของผมที่รู้จักกันโทรศัพท์บอกว่า รู้ไหมที่เขาไม่ให้คุณเข้าไปในที่ประชุมหลายที่ เพราะเขาไปแจ้งผู้นำของเขาว่าไม่ต้องคุยอะไรกับเขามากหรอก เพราะจะปลดจาก มท.1 อยู่แล้ว แต่ผมไม่ได้อะไร เพราะข้อมูลที่ผมจะเชื่อต้องได้รับแจ้งจากนายกฯ ของผมในเวลานั้น แต่ในที่สุด ผมได้รับการแจ้งเมื่อ 17 มิ.ย." นายอนุทิน กล่าว

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ตนได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการว่า พรรคเพื่อไทยต้องการกระทรวงมหาดไทย (มท.) คืน และขอให้ตนไปเป็น รมว.สาธารณสุข ตนแจ้งกลับไปว่าเปรียบเสมือนเป็นข้อเสนอที่ต้องการให้ตนปฏิเสธ ให้บอกตรงๆ เลยว่าจะให้ออกจากรัฐบาลดีกว่า แต่อดีตนายกฯ รักษามารยาทมาก บอกว่าอยากให้อยู่ แต่ไม่ให้อยู่มหาดไทย ซึ่งตนถามว่า ทำไมถึงให้ไปอยู่กระทรวงสาธารณสุข ตนทำอะไรผิด ทั้งนี้ ตนเป็นรัฐมนตรีคนเดียวใน ครม.ของ น.ส.แพทองธาร ที่ยืนเคียงข้างในทุกๆ ขณะไม่ว่าวันดีหรือวันร้าย ปกป้องให้ข้อเท็จจริง

"อดีตนายกฯทราบดีแต่ท่านบอกว่า ใกล้เลือกตั้งแล้วเพื่อไทยต้องได้มหาดไทย ผมจึงบอกว่า อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้เชื่อว่าการได้กำกับมหาดไทยจะชนะเลือกตั้ง ทั้งนี้ เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา พ่อของผมอยู่มหาดไทย ยังแพ้พรรคเพื่อไทยราบคาบ แต่ไม่มีคำตอบ แต่พูดว่าเขาจะเอามหาดไทยคืนอะ แต่ผมเชื่อว่า น.ส.แพทองธาร ไม่ได้พูดจากความตองการในใจของตัวเอง ต้องมีคนบอกให้พูด เพราะในที่สุดเลขาธิการนายกฯ ของท่าน ยืนยันว่าไพ่ใบสุดท้าย คุณไปอยู่กระทรวงสาธารณสุข" นายอนุทิน ชี้แจง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างนั้น น.ส.จิราพร ลุกประท้วง นายกฯ พร้อมบอกว่า นายกฯ เล่าซีนดราม่ากับบุคคลที่ไม่ได้อยู่ในห้องประชุม ที่ไม่มีโอกาสชี้แจง ว่าข้อมูลแท้จริงหรือไม่ ทำให้นายอนุทิน พูดสวนขึ้นว่า "อย่ามาบอกว่าเป็นดราม่า เพราะเป็นข้อเท็จจริง ผมอยู่ตรงนั้นเอามายืนยันตรงนี้เลยก็ได้ ท่านไม่อยู่ตรงนั้น ไม่ได้เกี่ยว หรือมีส่วนร่วมตรงนั้นจะบอกว่าดราม่าได้อย่างไร" ก่อนที่นายมงคลจะวินิจฉัยให้นายกฯ อภิปรายต่อ

นายกฯ อภิปรายต่อว่า สุดท้ายตนได้รับการยืนยันจากเลขาธิการนายกฯ น.ส.แพทองธาร ที่มาหาตนถึงกระทรวงมหาดไทย และเป็นวันเดียวกันที่ตนฝากไปบอกอดีตนายกฯว่า พรรคภูมิใจไทยว่าขอถอนตัว จากวันนั้นเป็นต้นมา บังเอิญที่มีเรื่องคลิปเสียงอังเคิล ทำให้มีความมั่นใจต่อการตัดสินใจถอนตัวของพรรคภูมิใจไทย ไม่ใช่เฉพาะเชิญออกกจากรัฐบาล แต่มีเรื่องที่เสียหายต่อบ้านเมือง รัฐบาลขาดความชอบธรรมต่อการบริหารประเทศ

"เมื่อถอนตัวแล้วมีเหตุอะไรพิสดาร ผมได้รายงานตัวมาทำงานกับพรรคฝ่ายค้าน และได้หารือว่าดีที่สุดพยายามให้ยุบสภาดีกว่า แต่เมื่อ น.ส.แพทองธาร ถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ จึงต้องหาทางออก คืนอำนาจให้ประชาชน จึงเป็นที่มาของการตกลง MOA กันทางการเมืองระหว่างพรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาชน ซึ่งข้อตกลงทางการเมืองดังกล่าว ไม่ใช่ข้อตกลงของรัฐบาล แต่เมื่อพรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำรัฐบาลจะรักษาสัญญา ไม่เกิน 31 ม.ค.69 จะยุบสภา วันที่ 14 - 15 ต.ค.พรรคภูมิใจไทยเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ ผมไม่สามารถชี้นำ หรือโน้มน้าว สว.ให้ร่วมแก้รัฐธรรมนูญได้ เพราะจะผิดรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ดี เรื่องนี้เป็นเรื่องประชาธิปไตย ใครเห็นด้วยก็แก้ ไม่เห็นด้วยไม่ต้องแก้" นายอนุทิน ชี้แจง

นายกฯ ชี้แจงต่อว่า กรณีที่ของการเพิ่มเสียง สส.ฝั่งรัฐบาล ตนยอมรับว่า พรรคภูมิใจไทย มี สส.เพิ่มขึ้น มาจากการชนะเลือกตั้งซ่อม จ.ศรีสะเกษ ไม่ใช่จากการดูด ซึ่งพรรคภูมิใจไทยไม่เคยดึงหรือดูด สส.เหมือนพรรคท่านที่ทำ แต่โชคดีที่คนของพรรคภูมิใจไทยรู้ตัวและบอกว่าไม่ไปดีกว่า ดังนั้น กรณีที่ น.ส.จิราพร บอกว่า 4 เดือนจะชี้ชะตา ตนรับรองช้าสุด 31 ม.ค.69 ยุบสภาแน่ หรืออาจเร็วกว่าด้วยซ้ำหากมีความจำเป็น และไม่ต้องรอชี้ชะตา 4 เดือน วานนี้ (29 ก.ย.) ชี้ชะตาแล้วทั้งจากพรรคภูมิใจไทย และพรรคท่านด้วย

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า ไม่ได้มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง หรือความพิสดารใดๆ รัฐบาลนี้ถูกจัดตั้งขึ้นมาตามระบอบประชาธิปไตย เพราะตนได้รับการสนับสนุนจาก สส. 313 เสียง ดังนั้น ไม่มีสิ่งใดที่แปลกหรือไม่เคยทำมาก่อน ส่วนกรณีที่ขอให้ตนสัญญาว่าจะไม่ใช้อำนาจหน้าที่ ไปกดดันสั่งการ หรือชี้แนะข้าราชการ ให้เปลี่ยนแนวทางเรื่องคดีเขากระโดง และคดีฮั้ว สว.นั้น ยํ้าว่าเรื่องนี้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นผู้ดำเนินการ มีแต่รัฐบาลท่าน ที่สั่งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินการ แล้วก็ไปติดข้อกฎหมาย ยืนยันว่าทุกอย่างเป็นไปตามข้อกฎหมาย รวมถึงคดีเขากระโดงด้วย

นายกฯ ชี้แจงต่อว่า ขณะที่การตั้งข้อสังเกตว่าจะใช้อำนาจล้มคดีที่ดินเขากระโดงนั้น ตนขอชี้แจงว่า 2 อดีตรัฐมนตรีมหาดไทย ในพรรคเพื่อไทยใจร้อน บอกว่าจะจัดการโดยเร็วโดยไม่อ่านหนังสือราชการทุกถ้อยคำ นึกว่าตัวเองเก๋า จึงสรุปทุกเรื่องหมด ทั้งนี้ กรรมการ รวมถึงปลัดมหาดไทย และอธิบดีกรมที่ดินคนใหม่ที่ตั้งขึ้นแทนคนเก่า บอกว่า รัฐมนตรีพูดไม่ตรงกับมติกรรมการ

"จะโทษอะไรผม คนที่ใช้อำนาจหน้าที่กดดัน คือ อดีต รมว.มหาดไทย และอดีต รมช.มหาดไทย ผมรับตำแหน่งนายกฯ เกือบเดือน วันนี้ผมยังไม่ได้สั่งการใดๆ และไม่ต้องสั่งการ เพราะผมอยู่มา 2 ปี รู้ต้องทำตามกฎหมาย ผมอ่านข่าวผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เร่งฟ้องเป็นรายแปลง เป็นสิ่งที่ผมต้องการ เพราะเหมารวมจะใช้เวลานาน แปลงไหนถูกต้องคืนความเป็นธรรม แปลงไหนผิดให้ยึด ขอให้จำไว้ด้วยว่า ผมไม่มีวันใช้อำนาจหน้าที่ รมว.มหาดไทย หรือตำแหน่งนายกฯ ที่กำกับดูแลทุกกระทรวงในรัฐบาลนี้ไปให้ช่วยเหลือใครก็ตามที่ทำผิดกฎหมาย พวกท่านก็ช่วยไม่ได้ พวกผมยิ่งไม่ช่วย" นายกฯ กล่าว

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า น.ส.จิราพร ต้องถอนคำพูด ว่านายกรัฐมนตรีเป็นผู้ต้องหาของดีเอสไอ เพราะตนไม่ได้เป็นผู้ต้องหา ยังไม่ได้เป็นผู้ถูกกล่าวหาด้วย ชอบใช้วาทกรรมพูดให้ประชาชนเข้าใจผิด เรียก พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดํา อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มาตรงนี้แล้วถามเลยว่าตนเป็นผู้ต้องหาหรือไม่ ยํ้าว่า ตนเป็นเพียงผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหา ตนก็ให้ความร่วมมือตามกฎหมายทุกอย่าง ส่งจดหมายชี้แจง ตั้งทนายความขึ้นมาศึกษาข้อกล่าวหา ส่วนคดีจะออกมาเป็นอย่างไร ก็มีกระบวนการอยู่แล้ว ดังนั้น การพูดว่าตน และ สว.เป็นผู้ต้องหานั้น เป็นคำพูดที่ผิด

นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่รู้ว่า น.ส.จิราพร วางยาหรือเปล่า เพราะให้ไปบอก สว.ว่าต้องรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เหมือนกำลังชี้ทางไปนรกให้ ตนจะไปพูดได้อย่างไร เพราะเขาห้ามชี้นำโน้มน้าวสมาชิกรัฐสภา ถือว่าผิดรัฐธรรมนูญ ยํ้าว่าตนทำไม่ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องประชาธิปไตย ใครอยากจะแก้ก็แก้ ใครไม่เห็นด้วยก็ไม่ต้องแก้ ยืนยันอีกครั้งว่า ยุบสภาช้าสุด 31 ม.ค.69 แน่นอน อาจจะเร็วกว่าด้วยซ้ำถ้ามีความจำเป็น

จากนั้น น.ส.แนน บุณย์ธิดา สมชัย สส.อุบลราชธานี โฆษกพรรคภูมิใจไทย ลุกขึ้นประท้วงขอให้ประธานวินิจฉัยว่า เมื่อสักครู่นายกฯ ได้เรียนต่อท่านประธานแล้วว่าเป็นการใส่ร้ายกัน ซึ่งนายกฯ ขอให้ผู้อภิปรายเมื่อสักครู่ ได้ถอนคำพูดนี้ ถ้าท่านไม่มั่นใจท่านสามารถเทปย้อนหลังได้ว่ามีคำพูดนี้จริง ทำให้นายมงคล ที่ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม ได้วินิจฉัยว่าขอให้ น.ส.จิราพร ถอนคำพูด เพราะจริงๆ ตนในนามวุฒิสภาก็เช่นเดียวกัน ยังไม่ได้เป็นผู้ต้องหา ทำให้ น.ส.จิราพร ยอมถอนคำพูดว่าผู้ต้องหา แต่เปลี่ยนเป็นผู้ที่พัวพันในคดีและส่อที่จะเข้ามายุบคดีหรือไม่

- 006

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top