'สว.สำรอง'ยื่นร้อง'อสส.' ส่งศาลรธน.ตีความยุบพรรค'ภท.-ปชน.'

'สว.สำรอง'ยื่นร้อง'อสส.' ส่งศาลรธน.ตีความยุบพรรค'ภท.-ปชน.'

วันอังคาร ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2568, 16.57 น.

"สว.สำรอง"ยื่นร้อง"อสส." ส่งศาลรธน.ตีความยุบพรรค"ภท.-ปชน." ล้มล้างการปกครอง เหตุทำ MOA สนับ"อนุทิน"นั่งนายกฯ 4 เดือน

เมื่อวันที่ 30 กันยายน2568 ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนเเจ้งวัฒนะ นายอัครวัฒน์ พงศ์ธนาชลิตกุล สมาชิกวุฒิสภาสำรอง ได้เดินทางมายื่นเรื่องให้อัยการสูงสุด ตรวจสอบการกระทำความผิดของกลุ่มบุคคลที่อาจเข้าข่ายเป็นการล้มล้างการปกครอง โดยร้องเรียนเอาผิด 2 บุคคล 2 พรรคการเมือง ได้แก่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) , นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.)


โดย นายอัครวัฒน์ เปิดเผยว่า เนื่องจากการที่ทั้งสองพรรคทำ MOA ที่พรรคประชาชนจะสนับสนุนเลือกนายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี แต่มีเงื่อนไขว่า ต้องเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยและต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน จึงมองว่า MOA ดังกล่าวมีลักษณะเป็นการแทรกแซงก้าวก่ายพรรคการเมืองระหว่างกันหรือ "สัญญาทาส" ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและจะทำให้ประชาธิปไตยของประเทศไม่พัฒนา เกิดรัฐบาลเสียงข้างน้อยและฝ่ายค้านเสียงข้างมาก ที่สร้างความเคลือบแคลงสงสัยไม่มั่นใจแก่ประชาชนว่า ฝ่ายค้านจะสามารถถ่วงดุลตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐบาลได้ รวมทั้ง MOA ดังกล่าว มีลักษณะเหมือนเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง

ดังนั้น จึงมองว่าผู้ถูกร้องทั้ง สี่ มีการกระทำที่เข้าข่ายเป็นการล้มล้างการปกครองตามมาตรา 49 ของรัฐธรรมนูญ จึงตัดสินใจรวบรวมหลักฐานมายื่นเรื่องต่อสำนักงานอัยการสูงสุดตามขั้นตอนในมาตรา 49 วรรคสองของรัฐธรรมนูญ ซึ่งอัยการสูงสุดจะต้องพิจารณารับหรือไม่รับเรื่องภายใน 15 วัน ถ้าอัยการสูงสุดไม่พิจารณารับเรื่องหรือปล่อยให้เกิน 15 วัน กลุ่ม สว.สำรอง ก็เตรียมจะยื่นฟ้องศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง ตามมาตรา 49 วรรค 3 ของรัฐธรรมนูญ โดยผลของการกระทำดังกล่าว ถึงขั้นทำให้ทั้ง 2 พรรคถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคได้

นายอัครวัฒน์ เปิดเผยเพิ่มเติมอีกว่า โดยหลักประชาธิปไตยแล้ว พรรคการเมืองกลุ่มใดสามารถรวบรวมเสียงข้างมากได้ จะต้องจัดตั้งรัฐบาล แต่สภาวะการเมืองไทยตอนนี้ กลายเป็นว่าฝ่ายค้านมีเสียงข้างมากจากการทำ MOA ซึ่งตนและประชาชนคนไทยอีกหลายคนก็เห็นตรงกันว่า เป็นเพียงแค่การเอื้อผลประโยชน์ให้แก่คนบางกลุ่มและเอาเปรียบพรรคอื่น การกำหนดเงื่อนไขให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยและยุบสภาภายใน 4 เดือน ทั้งที่สภาผู้แทนราษฎรยังมีวาระอีกตั้งปีกว่า ถือเป็นการทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่ระบอบประชาธิปไตยและสิ้นเปลืองงบประมาณในการเลือกตั้ง

รวมทั้งยังวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของพรรคประชาชนว่า ตอนนี้เหมือนเป็นเพียงแค่ฝ่ายค้านค้ำรัฐบาล เล่นละครตรวจสอบแบบลิเกไปวันๆ ซึ่งบทบาทของพรรคประชาชนตอนนี้นั้น สร้างความผิดหวังให้แก่ประชาชนเป็นอย่างมากที่เคยให้การสนับสนุนมาตั้งแต่ยุคพรรคอนาคตใหม่ยันพรรคก้าวไกล เพราะที่ผ่านมาได้ทำหน้าที่ตรวจสอบสมกับบทบาท จนประชาชนไว้วางใจลงคะแนนเลือกเป็นพรรคอันดับหนึ่งเมื่อการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 แต่พักหลังมานี้ กลับไม่ออก Action อะไรเลย ทั้งเรื่องของคดีฮั้ว สว.และคดีเขากระโดง จึงขอให้ประชาชนดูกันต่อไปว่า ทั้ง 2 พรรคที่ทำ MOA กัน จะมีผลประโยชน์อะไรต่างตอบแทนกันหรือไม่

นายอัครวัฒน์ ยังยืนยันอีกว่า แม้ตัวเองจะเป็นเพียงแค่ สว.สำรอง แต่ก็ถือว่ามีหน้าที่สำคัญที่จะต้องตรวจสอบทุกการกระทำของพรรคการเมืองทุกฝ่าย ยืนยันว่าตนทำหน้าที่อย่างเป็นกลาง อิสระ ไม่ฝักใฝ่หรือเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง เมื่อเห็นว่ามีพรรคการเมืองหรือกลุ่มบุคคลที่กระทำผิดกฎหมายและขาดความซื่อสัตย์สุจริต ก็ควรจะต้องยื่นเรื่องเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ ผิดก็ว่ากันไปตามผิด เพราะถึงแม้ตนเองจะเป็นแค่ สว.สำรอง แต่ก็ต้องการอยากเห็นนักการเมืองที่มีความซื่อสัตย์สุจริต ปฏิบัติตามกฎหมายให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม สร้างความเป็นธรรมให้แก่ประชาชน และเป็นนักการเมืองที่มุ่งสร้างประโยชน์ให้แก่ประชาชน ไม่ใช่แสวงหาผลประโยชน์เห็นแก่อำนาจ ซึ่งพวกตนก็คงยอมไม่ให้ใครมาปล้นระบอบประชาธิปไตยและทำลายกฎหมายได้

สำหรับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 49 บัญญัติไว้ว่า "บุคคลจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิได้ ผู้ใดทราบว่ามีการกระทำตามวรรคหนึ่ง ย่อมมีสิทธิร้องต่ออัยการสูงสุดเพื่อร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าวได้ ในกรณีที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่รับดำเนินการตามที่ร้องขอ หรือไม่ดำเนินการภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอ ผู้ร้องขอจะยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ การดำเนินการตามมาตรานี้ไม่กระทบต่อการดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำการตามวรรคหนึ่ง"

- 006

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top