บี้เขมรส่งแผนอพยพคนพ้น3หมู่บ้าน
มทภ.1ยื่นคาขาด!
ไม่ทำตามเงื่อนไขไม่ถกRBC
มทภ.2ตามซ้ำต้องเก็บกู้ระเบิด
ให้เป็นรูปธรรมถึงจะคุยกันได้
‘หนู’เยือนบุรีรัมย์ย้ำไม่เปิดด่าน
“แม่ทัพภาคที่ 1” เล่นบทเข้มยื่นคำขาด “เขมร” ส่ง แผนอพยพ 3 หมู่บ้านเขมรล้ำแดนไทย ในพื้นที่ “บ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว-ตาพระยา” ของ จ.สระแก้ว ภายใน 7 ตุลาคมนี้ ถ้าไม่ทำตามเงื่อนไขฝ่ายไทยจะไม่เข้าร่วมการประชุม RBC ช่วง 10-13 ตุลาคม ส่วนแม่ทัพภาคที่ 2 ชี้เขมรยังวอแว ไม่ยอมร่วมเก็บกู้ กับระเบิด ทำให้การเจรจามีปัญหา ยันจะคุยกันก็ต่อเมื่อข้อตกลงเป็นรูปธรรม ด้านนายกฯอนุทิน เยือนบุรีรัมย์ ยังเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชายแดนไทย-เขมร ย้ำชัดไม่เปิดด่าน
เมื่อวันที่ 4 ต.ค.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ท.วรยส เหลืองสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 1 (มทภ.1) ได้ตอบกลับผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 5 ของกัมพูชาอย่างเป็นทางการโดยเน้นย้ำว่า การเจรจาจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความปลอดภัยของประชาชน และการรักษาอธิปไตยของชาติ หลังจากที่ทางฝ่ายกัมพูชาได้มีหนังสือเชิญฝ่ายไทยเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค กัมพูชา - ไทย (RBC) สมัยพิเศษ ด้านภูมิภาคทหารที่ 5 กับกองทัพภาคที่ 1 ในห้วงวันที่ 10-13 ตุลาคม 2568 นี้
โดยเมื่อวันที่ 3 ต.ค.68 ที่ผ่านมา พล.ท.วรยส เหลืองสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 1 (มทภ.1) ได้ส่งเอกสารด่วนที่สุดถึง ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 5 ของประเทศกัมพูชา โดยมีรายละเอียด ระบุว่า ตามที่ภูมิภาคทหารที่ 5 ได้กำหนดการประชุม คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค กัมพูชา - ไทย (RBC) สมัยพิเศษ ด้าน ภูมิภาคทหารที่ 5 กับ กองทัพภาคที่ 1 ในห้วงวันที่ 10-13 ตุลาคม 2568 รวม 3 วัน โดยครั้งนี้ฝ่ายกัมพูชา เป็นเจ้าภาพ ณ จังหวัดบันเตียเมียนเจย ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยมี “พลโท แอก ซอมโอน” รองผู้บัญชาการทหารบก/ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 5 และเรียนเชิญ “พลโท วรยส เหลืองสุวรรณ” แม่ทัพภาคที่ 1 เป็นประธานการประชุมร่วมนั้น
กองทัพภาคที่ 1 ขอให้ภูมิภาคทหารที่ 5 จัดทำแผนอพยพประชาชนชาวกัมพูชาในพื้นที่บริเวณบ้านหนองจาน และ บ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว และ บ้านตาพระยา อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว รวมจำนวน 3 พื้นที่ โดยส่งแผนการอพยพฯ ให้ กองทัพภาคที่ 1 ภายในวันที่ 7 ตุลาคม 2568 พร้อมทั้งเสนอในการประชุม RBC ในครั้งนี้ จึงจะเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ “พันตรี สรายุทธ์ จันทรประยงค์” ตำแหน่ง ผู้ช่วยนายทหารฝ่ายยุทธการ กองทัพภาคที่ 1 เป็นผู้ประสานงาน
“สุชาติ”เอาผิดเขมรรุกป่า
ด้านนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงกรณีความคืบหน้าในการบังคับใช้กฎหมายป่าไม้กับชาวกัมพูชาที่บุกรุกพื้นที่ป่าไม้ที่บ้านหนองจาน-บ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้วว่า ตนเป็นคนให้ติดป้ายประกาศพื้นที่ป่า และให้กรมป่าไม้ ดำเนินคดีกับผู้บุกรุก เพราะเป็นพื้นที่ป่าตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ 2484 ในฐานะผู้บังคับใช้กฎหมาย ส่วนการดำเนินการให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายความมั่นคง
“ผมเป็นคนให้ไปแจ้งความ เพื่อรักษาสิทธิ ให้รู้ว่าที่ดินที่เขามาอยู่เป็นของป่าไม้ พื้นที่ป่าไม้ 2484 แจ้งความดำเนินคดี ให้ผู้ว่าฯสระแก้วดำเนินการ ผมได้พบผู้ว่าฯและ ผบ.กองกำลังบูรพา ยืนยันว่าเราเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย ส่วนการดำเนินการให้เป็นหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ผมไม่ยอม ผมให้ไปปักป้ายไปแสดงสิทธิ ดำเนินคดีผู้บุกรุกทั้งหมด ไมจะเป็นคนไทยหรือชาติอื่นมาอยู่ ต้องถูกกฎหมาย ที่ไม่ถูกกฎหมายอยู่ไม่ได้” นายสุชาติ กล่าว
นายสุชาติ กล่าวย้ำว่า หากชาวกัมพูชาไม่ย้ายออกไปตามที่จังหวัดสระแก้วได้ติดประกาศให้เวลากัมพูชาแจ้งแผนย้ายออก ซึ่งจะครบกำหนด 10 ต.ค.นี้ต้องเอากฏหมายป่ามานำ เราต้องเอาของเราคืนแน่นอน ถ้าเราไม่ใช้กฎหมาย เจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็ถูกฟ้องละเว้นปฏิบัติหน้าที่ตาม ม.157
“คนไทยที่บุกรุกป่าเราบังคับใช้กฎหมาย แต่คนประเทศอื่นไม่บังคับใช้กฎหมายไม่ได้ ผมไม่ยอม” นายสุชาติ กล่าวย้ำ
ทบ.แจงปม’ปราสาทคนา-ช่องระยี’
ด้าน พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก (ทบ.) ชี้แจงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าทหารกัมพูชาได้รุกล้ำพื้นที่บริเวณปราสาทคนาและช่องระยี จ.สุรินทร์ เพื่อสร้างสิ่งปลูกสร้างหรือใช้เป็นฐานที่มั่น โดยระบุว่า ขณะนี้กองทัพบกยังไม่ได้รับข้อมูลยืนยันอย่างเป็นทางการ และกำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบรายละเอียดกับทางจังหวัดสุรินทร์และกองทัพภาคที่ 2 อย่างเร่งด่วน
โฆษก ทบ.ได้ยืนยันหนักแน่นว่า หากตรวจสอบแล้วพบว่ามีการรุกล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยไทยจริง ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ตาม กองทัพบกจะดำเนินการตามขั้นตอนอย่างเด็ดขาดโดยทันที แต่ทั้งนี้ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบและคำนึงถึงความละเอียดอ่อนของพื้นที่ด้วย
สำหรับกรณีคลิปวิดีโอที่มีการอ้างว่าพบทหารกัมพูชาลอดรั้วลวดหนามเข้ามาในฝั่งไทยนั้น โฆษก ทบ.ระบุว่า ยังไม่ได้รับรายงานข้อเท็จจริงดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ได้เน้นย้ำถึงมาตรการของกองทัพบกว่า การปฏิบัติงานในพื้นที่ หากพบการรุกล้ำเกิดขึ้นจริง กองทัพบกมีมาตรการดำเนินการอย่างแน่นอน เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างเคร่งครัด
เขมรยังไม่มีท่าทีคุกคาม
โฆษกกองทัพบก ได้เปิดเผยข้อมูลกรณีปราสาทคนาที่ตั้งอยู่บริเวณชายแดน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ด้วยว่า ปัจจุบันมีสภาพเป็นสิ่งปรักหักพัง หลงเหลือเพียงแนวกำแพงศิลาแลงสูงประมาณ 1.6 ม.ยาวประมาณ 25 ม.แนวเดียวเท่านั้น ส่วนตัวปราสาทตั้งอยู่บริเวณห่างจากขอบหน้าผามาทางฝั่งไทยประมาณ 100 ม.มีองค์ประกอบคือ สระน้ำ 2 แห่ง คือสระน้อยและสระใหญ่
บริเวณใกล้เคียงปราสาทต่ำลงไปทางขอบหน้าผามีฐานทหารกัมพูชาตั้งอยู่เป็นแนวไปทางทิศใต้ โดยมีฐานทหารของไทย โดย ฉก.ทพ.26 อยู่บริเวณใกล้เคียงปราสาทไปทางทิศเหนือ ควบคุมพื้นที่ 2 แห่งคือฐานสระใหญ่และฐานสระน้อย
พล.ต.วินธัย กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาฝ่ายไทยเข้าไปตรวจสอบสภาพพื้นที่เป็นประจำ เพื่อไม่ให้ฝ่ายกัมพูชา มีการไปปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมไปใช้งานเป็นที่ตั้งสำหรับปฏิบัติการทางทหาร และบางครั้งฝ่ายกัมพูชา ก็จะเข้ามาพบกับฝ่ายไทย โดยฝ่ายกัมพูชาไม่ได้มีทีท่าจะขยับคืบเข้ามาควบคุมบริเวณพื้นที่ซากหรือกำแพงของปราสาท แต่อย่างใด
“กระทั่งเกิดความขัดแย้งเหตุการณ์ปะทะกันที่ช่องบกเมื่อ พ.ค.68 เกิดความตึงเครียดตลอดแนว ทั้งสองฝ่ายจึงยังไม่มีการเข้าไปบริเวณซากกำแพง โบราณสถานดังกล่าว” พล.ต.วินธัย กล่าว
พร้อมกล่าวต่อว่า สำหรับบันไดไม้ที่ฝ่ายกัมพูชาสร้างนั้นเป็นการสร้างเพื่อใช้สำหรับการส่งกำลังบำรุงขึ้นมายังฐานตรวจการณ์ที่อยู่บนแนวหน้าผา ซึ่งไม่ใช่สร้างเพื่อกิจกรรมการท่องเที่ยว ลักษณะของกำลังทหารกัมพูชาที่อยู่บนนั้นไม่มีท่าทีคุกคามเหมือนบางพื้นที่ และจุดเฝ้าตรวจของกัมพูชา ไม่มีลักษณะเป็นป้อมปราการทางทหาร เพื่อใช้สำหรับเตรียมการต่อสู้แต่อย่างใด ซึ่งจากนี้ไปทางกองกำลังสุรนารี จะดำเนินการจัดระเบียบพื้นที่ชายแดนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะในพื้นที่ๆ ไม่มีเหตุความตึงเครียดในช่วงที่ผ่านมา
ทำรั้วเสริมสร้างความมั่นคง
ทางด้าน พล.ต.วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ได้ออกมาชี้แจงกรณีที่มีข่าวการจัดทำรั้วตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา โดยยืนยันว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามมติของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยและป้องกันปัญหาตามแนวชายแดนอย่างยั่งยืน โดยระบุว่า การก่อสร้างรั้วจะถูกพิจารณาดำเนินการเฉพาะ ในจุดที่เหมาะสม เท่านั้น และลักษณะของรั้วจะถูก ออกแบบให้แตกต่างกันไป ตามสภาพภูมิประเทศและเงื่อนไขในแต่ละพื้นที่
“กระทรวงกลาโหมได้มอบหมายให้กองบัญชาการกองทัพไทย ทำหน้าที่บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยกองทัพไทยขอให้ประชาชนมั่นใจในเจตนารมณ์ในการดูแลความสงบเรียบร้อยและ ปกป้องอธิปไตยของชาติ และจะแจ้งความคืบหน้าการดำเนินการให้ทราบต่อไป” พล.ต.วิทัย กล่าว
ชี้เขมรยังไม่ตอบรับข้อเสนอ
พล.ท.วีระยุทธ รักศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ไทย - กัมพูชา ด้านกองทัพภาคที่ 2 และภูมิภาคทหารที่ 4 ว่า เมื่อวานนี้เป็นการประชุมของการประชุมกองเลขานุการของฝ่ายไทย และกัมพูชา ซึ่งจะมีการพูดคุยถึงรายละเอียดข้อเสนอกันอีกครั้ง โดยฝ่ายไทยมีการยื่นข้อเสนอให้กับฝ่ายกัมพูชา เช่น การถอนกำลังพล การเก็บกู้ทุ่นระเบิด ในพื้นที่ที่มีปัญหาการเผชิญหน้ากันอยู่ ซึ่งข้อเสนอเหล่านี้เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นที่ยังไม่ลงตัว และฝ่ายกัมพูชายังไม่ได้ตอบรับกลับมา จึงต้องรอยืนยันอีกครั้งหนึ่ง ก็คาดว่า น่าจะมีการเลื่อนประชุม RBC ออกไปประมาณกลางเดือนตุลาคม
ส่วนข้อเสนอจากฝ่ายกัมพูชานั้น พล.ท.วีรยุทธ ระบุว่า ขณะนี้ยังไม่เห็น เนื่องจากจะมีการเสนอกันไปมาก็จะต้องไปดูในรายละเอียดอีกครั้ง ขณะที่ข้อเสนอฝ่ายไทยยืนยันเตรียมข้อมูลไว้แล้ว โดยจะมีต้องนำผลผลิตจากการประชุม GBC มาปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรมในการประชุม RBC ทั้งการเก็บกู้ทุ่นระเบิด และการถอนอาวุธ แต่ในรายละเอียด ขณะนี้ยังเป็นเพียงแค่ตัวเปเปอร์ที่ส่งไปส่งมากันอยู่ระหว่างฝ่ายเลขานุการของไทยและกัมพูชา
เมื่อถามถึงข้อตกลงเก็บกู้ทุ่นระเบิดนั้น จะมีการเสนอให้เก็บกู้ในโซนที่พบทุ่นระเบิดจำนวนมากอย่างไร พล.ท.วีรยุทธ กล่าวว่า ไทยต้องมีการกำหนดพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ที่ไทยเห็นว่า มีทุ่นระเบิดวางใหม่จากการสู้รบที่ผ่านมา ซึ่งการทำแผนเก็บกู้ทุนระเบิดจะต้องทำให้ละเอียด แผนเก็บกู้ทุนระเบิดเดิมก็ต้องมีการรื้อใหม่ เนื่องจากพบว่า มีการวางทุ่นระเบิดใหม่ทับไปแล้ว ซึ่งจุดที่มีการวางทุ่นระเบิดใหม่ก็ต้องมาดำเนินการสำรวจ และการให้ข้อมูล
ส่วนโซนที่พบทุ่นระเบิดวางใหม่จำนวนมาก พล.ท.วีรยุทธ เปิดเผยว่า ไล่มาตั้งแต่บริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี จนถึงบริเวณปราสาทตาเมือนตลอดแนว เพราะเป็นพื้นที่สู้รบกว่า 363 กิโลเมตร ระหว่างช่องบกจนถึงหลักเขตแดนที่ 8 ละหานทราย
ย้ำต้องเป็นรูปธรรม
เมื่อถามว่าหากการประชุมกองเลขานุการของฝ่ายไทย และกัมพูชาตกลงกันไม่ได้จะเลื่อนการประชุม RBC ออกไปอย่างไม่มีกำหนดหรือไม่ พล.ท.วีรยุทธ กล่าวว่า เป็นเรื่องทางเทคนิค แต่เราก็กำหนดไว้ว่า จะต้องให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เพราะอาจจะถอนกำลังก็ต้องให้ชัดเจนว่าจะถอนอย่างไรวันที่เท่าไหร่ ซึ่งเป็นสิ่งที่กองทัพภาคที่ 2 คิดว่าจะต้องมีข้อมูลและมีการปฏิบัติที่ที่ชัดเจน
พลโทวีระยุทธ รักศิลป์ สัมภาษณ์แม่ทัพภาคที่สองให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการสร้างรั้วในพื้นที่แนวชายแดนที่กองทัพภาคที่ 2 ได้เสนอไปยังกองทัพบกว่าจะสร้างจุดใดเป็นที่แรก ว่า ในพื้นที่ความรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 2 มีทั้งพื้นที่ที่จัดระเบียบเขตแดนแล้ว ทั้ง 29 หลัก แต่ยังมีบางพื้นที่ที่ยังมีความเห็นไม่ตรงกัน จึงต้องไปดูว่าจุดไหนที่เห็นตรงกันแล้ว ก็สามารถก่อสร้างได้อย่างพื้นที่ช่องจอม จะมีอยู่หนึ่งพื้นที่ที่ต้องสร้างในโอกาสครบรอบ 75 ปีไทย-กัมพูชา เพื่อที่จะเป็นการทำไว้เป็นอนุสรณ์ ส่วนจะเริ่มได้เมื่อไหร่นั้นทางกองทัพก็ต้องหารือกับรัฐบาล ตรงไหนที่เป็นประโยชน์ทางกองทัพพร้อมที่จะดำเนินการ
ส่วนที่นายกรัฐมนตรีมอบอำนาจให้กองทัพได้ดำเนินการอย่างเต็มที่นั้น / พลโทวีระยุทธ บอกว่า ถึงอย่างไรก็ต้องบูรณาการร่วมกันทั้งหมดทั้งกองทัพและรัฐบาล การจะก่อสร้างใดๆ ต้องมีการหารือกัน
ส่วนจะเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงหรือไม่ในการสร้างรั้วตามพื้นที่ชายแดน / พลโทวีระยุทธ ระบุว่า บางพื้นที่ที่สร้างไม่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องสร้าง และต้องดูในความปลอดภัย รวมถึงเงื่อนไขและข้อตกลงร่วมกัน ทุกอย่างต้องทำเป็นขั้นตอนทางกองทัพยินดี สุดท้ายแล้วการจะสร้างหรือไม่สร้างต้องคุยกับทุกฝ่าย และให้ความเห็นชอบร่วมกัน
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่าพื้นที่ช่องจอมจะเป็นพื้นที่แรกที่จะสร้างรั้วชายแดนใช่หรือไม่ พลโทวีระยุทธ บอกว่า ก่อนหน้านี้เห็นเพียงแค่ข้อเสนอ และเป็นพื้นที่ที่มีความเห็นชอบร่วมกันว่าจะสร้างในโอกาสครบรอบ 75 ปีความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา แต่จะสร้างหรือสร้างก็อยู่ที่จะต้องไปหารือกันต่อไป
“อนุทิน” เยือนบุรีรัมย์
เมื่อเวลา 14.00 น. ที่เทศบาลตลาดนิคมปราสาท ต.ปราสาท อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย และคณะพบปะประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย – กัมพูชา และรับฟังปัญหา รวมถึงความต้องการของประชาชนในพื้นที่
จากเหตุการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนประชาชนในจังหวัดบุรีรัมย์ได้รับผลกระทบในพื้นที่ 3 อำเภอ และมีศูนย์อพยพหลัก 1 แห่งคือสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต รวมถึงศูนย์อพยพอื่นๆ โดยมียอดผู้อพยพจำนวน 75,867 คน จังหวัดบุรีรัมย์จึงได้ช่วยเหลือเยียวยาผู้รับผลกระทบ สัตว์เลี้ยง บ้านเรือนที่ได้รับความเสียหาย รวมทั้งสิ้นกว่า 42 ล้านบาท ตามมติคณะรัฐมนตรีจำนวน 39,666 ครัวเรือน รวมเป็นเงินทั้งสิ้นกว่า 198 ล้านบาท
ยังต้องทำหลุมหลบภัย
ด้านชาวบ้านจากเขตในพื้นที่ชายแดนไทย กัมพูชา กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีและคณะ ที่ได้มอบสิ่งของและอุปกรณ์หลุมหลบภัย ให้กับผู้นำทุกหมู่บ้าน เพื่อที่จะทำหลุมหลบภัยให้กับราษฎรในพื้นที่ ให้ได้หลบวิถีกระสุนลูกปืนใหญ่ ของกัมพูชาในวันที่ 24 -28 กรกฎาคม ให้สามารถหลบวิถีกระสุนด้วยความปลอดภัย ซึ่งราษฎรส่วนใหญ่ได้อพยพไปยังศูนย์อพยพในจังหวัดบุรีรัมย์ และบางส่วนต้องอยู่ในพื้นที่หมู่บ้าน และอีกสิ่งหนึ่งที่ชาวบ้านอยากจะสะท้อนไปถึงนายกรัฐมนตรีคือในระยะเวลา 4 เดือน ที่ท่านมีอำนาจตัดสินใจ อยากให้ท่านช่วยดูแล ชายแดนให้เรียบร้อย เพื่อที่ชาวบ้านจะได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ซึ่งตนเชื่อว่านายกรัฐมนตรีจะทำได้ เพราะถ้าท่านทำได้นายกฯคนต่อไปคือ นายอนุทินชาญวีรกูล อย่างแน่นอน
ยืนยันไม่มีการเปิดด่าน
ขณะที่ ตัวแทนประชาชนอีกคน กล่าวว่า ชาวบ้านชายแดนลำบากมากในช่วงนี้ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือเรื่องค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง หรือ อพยพ เนื่องจากคนชายแดนไม่สามารถไปทำมาหากินได้ และสงครามในครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็นอย่างสูง ทำให้ค่าใช้จ่ายกับรายรับไม่สมดุลกัน ขณะเดียวกันยังมีเรื่องของการเปิด-ปิดด่าน ซึ่งตนได้มีการพิจารณาและสอบถามในพื้นที่แล้ว ว่าการปิดด่านถาวรจะดีหรือไม่ ผลปรากฏว่าประชาชนทุกคนให้ปิดด่าน ไม่ต้องไปอาศัยกัมพูชา ทำให้ได้รับเสียงเฮจากประชาชนที่มาร่วมงานวันนี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็ปรบมือด้วย
นอกจากนี้ ยังได้ยินว่านายกรัฐมนตรีจะทำกำแพงกั้นระหว่างไทยกัมพูชา ตนขอบอกว่าถ้าทำได้ก็ทำเลย ไม่ให้มีรู แม้กระทั่งกระต่ายมา ก็ไม่ให้ลอด กระต่ายเข้ามายิงทิ้งให้หมด ถ้าทำกำแพงแล้วมีประตูจะมีคนแง้ม ฉะนั้นไม่ต้องให้มี ถ้าอยากให้มีการเปิดด่านต้องให้มีความสงบเรียบร้อย เขตทุกเขตและทุกด่าน ให้มันเรียบร้อยสะอาดและเป็นของเราเสียก่อน แล้วค่อยมาเปิดทีหลัง
เดินหน้าเยียวยาชาวบ้าน
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้ขึ้นพูดคุยกับพี่น้องประชาชนต่อ พร้อมมอบนโยบายแนวทางการเยียวยาและการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย – กัมพูชา ในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ ให้แก่หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชน โดยระบุว่า สวัสดีพี่น้องชาวอำเภอละหานทราย บ้านกรวด และเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์ ตนขออนุญาตไม่ขึ้นเวที เพราะนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ต้องอยู่ต่ำกว่าพี่น้องประชาชน ทุกคนเป็นเจ้านาย เป็นคนที่มีพระคุณให้พวกเราได้มาทำงาน วันนี้รัฐมนตรีหลายคนอยากจะมาเจอกับพ่อแม่พี่น้อง เพราะทราบดีว่าช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา เกิดความขลุกขลักในพื้นที่
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทุกคนที่มาวันนี้คือคนที่จะมารับใช้พี่น้องประชาชน ช่วงที่เราเป็นรัฐบาลเราจะทำเพื่อพี่น้องอย่างเต็มที่ ให้ความทุกข์ของพี่น้องคลายไปมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และขอขอบคุณพ่อแม่พี่น้องทุกคนในยามที่บ้านเมืองมีภัยคุกคาม ทางการขอให้อพยพในที่ที่ปลอดภัย ซึ่งเราทราบดีว่าไม่มีใครอยากออกจากบ้านตัวเอง แต่เราก็ไม่อยากให้ทหารต้องห่วงหน้าพะวงหลัง เพื่อที่เขาจะได้ปกป้องผืนแผ่นดิน และแนวชายแดนของเรา ถ้าทหารห่วงหน้าพะวงหลังก็จะทำงานไม่สะดวก แต่ถ้าไม่ต้องห่วงจะได้สู้รบปรบมือกับข้าศึกอย่างเต็มที่
ให้กำลังใจแม่ทัพภาค2
นายกรัฐมนตรี ยังพูดถึงรัฐบาลที่แล้วซึ่งขณะนี้พ้นหน้าที่ไปแล้ว และรัฐบาลนี้ได้เข้ามาดูแลพี่น้องประชาชน ตอนนั้นตนดูแลตามมีตามเกิดตามน้ำใจที่มีอยู่ ซึ่งพี่น้องประชาชนได้รับความสะดวกสบายพอสมควร มีของจากคนไทยทั่วประเทศหลั่งไหลมาช่วย เราไม่ได้ลำบากอะไรถึงขั้นต้องไปรับของบริจาค แต่พี่น้องชาวไทยทั่วประเทศ พอทราบว่าพ่อแม่พี่น้องชาวบุรีรัมย์ และจังหวัดใกล้เคียงต้องอพยพไปอยู่ตามศูนย์ประสบภัย ก็เกิดความเป็นห่วงทยอยส่งทั้งของสดของแห้งเครื่องอุปโภคบริโภคมาให้ วันนี้สิ่งที่ตนนำมาด้วย คือของที่คนไทยทั่วประเทศไทยตั้งแต่เหนือจรดใต้เอามาให้เพื่อช่วยเหลือพี่น้องทหาร และขอเสียงปรบมือดังๆให้กำลังใจกับพลโท วีระยุทธ รักศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2 เพราะเราฝากประเทศไทยฝากดินแดนไทยไว้กับท่าน เราต้องไปกำลังใจให้ท่าน ก่อนนายกรัฐมนตรีตะโกนว่า “วีระยุทธสู้ๆ” ถึง 3 ครั้ง“วีระแปลว่าชนะ วีระยุทธแปลว่ารบชนะ และผมเองนามสกุลชาญวีรกูล มีคำว่าวีระ จึงขอแปลว่าตระกูลที่เชี่ยวชาญแต่ชัยชนะก็แล้วกัน เพราะฉะนั้นวีระกับวีระอยู่ด้วยกันบุรีรัมย์ ก็ต้องเป็นวีระรัมย์เหมือนกัน” นายกรัฐมนตรี กล่าว
ทั้งนี้ ระหว่างปราศรัยกับชาวบ้าน นายกรัฐมนตรี ได้แนะนำ จ๋า หรือ นางสาว ธนนนท์ นิรามิษ ภริยา พร้อมกับบอกว่า “ผมดีทุกอย่างเสียอย่างเดียวมีเมียคอยมาคุม”
อพยบเยียวยาครัวละ5พัน
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า พี่น้องชาวบุรีรัมย์ทุกคนมีส.ส. ที่มีคุณภาพเมื่อมีทุกข์มีภัยเราจะเร่งส่งข่าวบอกถึงกัน หลังจากนั้นส.ส. จะประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้การช่วยเหลือถึงพ่อแม่พี่น้องโดยเร็วที่สุด ตนไม่อยากจะคุยช่วงเดือนกว่าๆที่แล้ว พวกเรายังไม่ได้เป็นรัฐบาลเราเปิดศูนย์อพยพได้รวดเร็วมาก แต่เราหวังว่าสิ่งเหล่านี้อย่าให้เกิดเกิดขึ้นอีกเลย แต่ถ้าจำเป็นต้องเกิดก็ขอยืนยันว่าเรามีความพร้อม เพราะวันนี้พวกเราทุกคนเข้ามาดูแลรัฐบาลเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลแล้ว ความช่วยเหลือต่างๆก็จะมีประสิทธิภาพอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
“มีคุณลุงมาทวงค่าเยียวยา อาทิตย์หน้าก็มาเอาแล้วกัน อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยยืนโชว์ตัวหน่อย ถ้าใครไม่ได้ก็ไปเช็กบัญชีกับเขาเอา กระทรวงการคลังได้โอนเงินเยียวยาให้กับพ่อแม่พี่น้องประชาชนที่ประสบภัยจากการต่อสู้ และจำเป็นต้องอพยพออกไปยังศูนย์อพยพครัวเรือนละ 5,000 บาท ย้ำว่าสัปดาห์หน้าเงินจะถึงมือพ่อแม่พี่น้องทุกครัวเรือน ถ้าใครยังไม่ได้ลงทะเบียนให้รีบไปแจ้งกับทางนายอำเภอ หรือแจ้งกับทางสส.ของท่าน ถ้ายังไม่ได้ก็ให้เขาสำรองไปก่อนไม่เป็นไร แต่ถ้าได้แล้วก็อย่าลืมเอาเงินไปคืนเขา” นายกรัฐมนตรี กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี