‘เพื่อไทย’กังวล‘รัฐบาลอนุทิน’ทำประชามติยกเลิก MOU 43-44 หวังผลความนิยมทางการเมืองมากกว่าผลประโยชน์ชาติ จี้‘สีหศักดิ์’แสดงจุดยืนเห็นด้วยหรือไม่ ด้าน‘นพดล’เสนอทำคัมภีร์สรุป ชี้แจงประชาชน แนะก่อนถามประชาชน ควรถามหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องก่อนว่าควรยกเลิกหรือไม่
5 ตุลาคม 2568 ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อ และรองโฆษกพรรค พท. แถลงกรณีรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาว่าจะทำประชามติเพื่อยกเลิก MOU 43 และ 44 ว่า เรื่องนี้อาจจะเป็นการผลักภาระทางการเมืองให้ประชาชน ทั้งที่เรื่องนี้รัฐบาลในฐานะฝ่ายบริหารสามารถตัดสินใจได้เอง หากเห็นว่า MOU 43 และ 44 ไม่เหมาะสมก็ควรที่จะชี้แจงถึงหลักเหตุผลอย่างชัดเจน และต้องบอกด้วยว่าจะดำเนินการอย่างไร ไม่ใช่เป็นการผลักภาระการตัดสินใจให้ประชาชนด้วยการทำประชามติที่เต็มไปด้วยอารมณ์และความสับสน
น.ส.ขัตติยา กล่าวด้วยว่า เรื่องนี้เป็นพันธะกรณีระหว่างประเทศและเป็นเรื่องที่ซับซ้อนการให้ข้อมูล ข้อเท็จจริง และความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายระหว่างประเทศนั้น จึงเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะต้องใช้ความเห็นเชิงอารมณ์ เพราะอาจทำให้ประเทศไทยขาดความน่าเชื่อถือในเวทีโลก สิ่งที่น่ากังวลคือรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล หวังผลความนิยมทางการเมืองมากกว่ามองผลประโยชน์ทางของประเทศในระยะยาว
น.ส.ขัตติยา กล่าวอีกว่า ฉะนั้น จึงอยากตั้งคำถามถึงนายอนุทินว่า ได้มีการหารือกับนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศแล้วหรือไม่ เนื่องจากรัฐบาลพรรคภูมิใจไทยจะยกเลิก MOU 43 และ 44 จะกระทบโดยตรงต่อจุดยืนและความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในเวทีโลก รัฐบาลจึงควรรับฟังความเห็นจากกระทรวงการต่างประเทศเป็นหลักเพราะเป็นหน่วยงานเจ้าของเรื่องโดยตรง
“จึงขอเรียกร้องให้นายสีหศักดิ์ ซึ่งเป็นอดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกระทรวงการต่างประเทศได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าคิดเห็นอย่างไรกับ MOU 43 และ 44 หากรัฐบาลมีแนวคิดที่จะยกเลิก MOU ทั้ง 2 ฉบับ ก็ขอให้ออกมาชี้แจงต่อประชาชนว่าจะแก้ปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทยกัมพูชาอย่างไร เพราะถือเป็นการรักษาอธิปไตยของชาติ การปักปันเขตแดนเราไม่สามารถทำด้วยอารมณ์หรือกระของสังคม หากกระทรวงการต่างประเทศไม่ออกชี้แจงต่อประชาชนว่าจะส่งผลดีผลเสียอย่างไร จะทำให้ประชาชนสับสนและประเทศเกิดความเสียหายยากที่จะกู้ได้คืน” น.ส.ขัตติยา กล่าว
ด้าน นายนพดล ปัทมะ อดีตรมว.การต่างประเทศ กล่าวว่า จากการสำรวจของนิด้าโพลทราบว่าประชาชนเกือบ 70% ยังไม่ทราบเนื้อหาของ MOU 43-44 ซึ่งมีความเห็นจากทั้งฝ่ายสนับสนุนให้เดินหน้าทำประชามติ และฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ซึ่งล้วนมีเหตุผลของตน จะอย่างไรก็ตาม เวลา 4 เดือนนี้รัฐบาลควรเร่งให้ข้อมูลเนื้อหาสาระ และข้อดีข้อเสียของ MOU ทั้ง 2 ฉบับต่อประชาชน โดยเริ่มจากการทำคัมภีร์สรุปประเด็นที่สำคัญเกี่ยวกับ MOU 43-44 เพื่อช่วยให้ประชาชนเข้าใจ เพราะขณะนี้ประชาชนต้องทำมาหากินไม่มีเวลาไปศึกษาหาข้อมูล และเรื่องนี้เป็นประเด็นทางเทคนิค และกฎหมายระหว่างประเทศและเขตแดน ซึ่งแม้แต่คนที่ติดตามเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง ก็ยังมีความเห็นแตกต่างกันไปคนละทิศละทาง ทั้งที่เป็นความเห็นโดยสุจริตใจและก็เป็นความเห็นที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ดังนั้นตนเสนอให้รีบทำสรุปคัมภีร์ประเด็นสำคัญของ MOU ที่ไม่ใช่ท่าทีการเจรจาที่เป็นความลับเพื่อให้ประชาชนได้ศึกษาทางออนไลน์จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
นายนพดล กล่าวต่อว่า ก่อนที่จะไปถามประชาชนในการทำประชามติอีกประมาณ 6 เดือนข้างหน้านั้น ตนเคยเสนอให้รัฐบาลมอบให้ทางสภาความมั่นคงแห่งชาติหรือ สมช.ไปศึกษาข้อดีข้อเสีย และชั่งน้ำหนักการจะยกเลิก MOU 43-44 หรือไม่ เพราะหน่วยงานของรัฐต่างๆ ที่มีองค์ความรู้และมีหน้าที่และได้ปฏิบัติตาม MOU มาอย่างต่อเนื่อง 20 กว่าปี เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กรมสนธิสัญญาฯ กรมแผนที่ทหาร กรมอุทกศาสตร์ และกองทัพ ควรจะมีท่าทีเกี่ยวกับข้อดีหรือข้อเสียของ MOU เพราะคุ้นเคยและเข้าใจเนื้อหาดีกว่าประชาชน ตนเห็นว่าฝ่ายบริหารสามารถสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้กับพี่น้องประชาชนได้มาก นอกจากนั้นถ้าหลังการให้ข้อมูลและมีการถกเถียงจนตกผลึก ฝ่ายบริหารก็อาจจะมาไตร่ตรองตัดสินใจได้ว่ายังจะคงเดินหน้าทำประชามติยกเลิก MOU 43-44 หรือไม่ก็ได้
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี