"วิป 3 ฝ่าย"เคาะ ถกร่วมรัฐสภารื้อแก้ รธน.14-15 ต.ค.นี้ ด้าน"ฝ่ายค้าน"ได้เวลาจ้อ 10 ชม. ขณะที่"ประธานรัฐสภา"ไร้ข้อกังวล เดินตามคำวินิจฉัยศาล ส่วน"สว."ไม่ขัดหากไม่แตะหมวด 1-2 ฟาก"ภท."เชื่อทุกฝ่ายเห็นตรงกันในหลักการ คาดชั้น กมธ.ใช้เวลาไม่นาน ลั่นเปิดสภาฯสมัยหน้า ธ.ค.เดินหน้าวาระ 2-3 ต่อได้ทันที
เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 8 ตุลาคม 2568 ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมสภาผู้แทนราษฎร (วิป) รัฐบาลฝ่ายค้าน และสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่มี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานรัฐสภา เป็นประธานการประชุม พิจารณากำหนดเวลาการประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมมาตรา 256 แก้ไขเพิ่มเติมหมวด 15/1 วันที่ 14 - 15 ต.ค.ของพรรคภูมิใจไทย (ภท.) , พรรคประชาชน (ปชน.) และพรรคเพื่อไทย (พท.) โดยมี นายภราดร ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายชาดา ไทยเศรษฐ์ สส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย ในฐานะประธานวิปรัฐบาล น.ส.แนน บุณย์ธิดา สมชัย สส.อุบลราชธานี โฆษกพรรคภูมิใจไทย ในฐานะเลขานุการวิปรัฐบาล นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน นายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ สส.นราธิวาส พรรคประชาชาติ (ปช.) นายศรัณย์ ทิมสุวรรณ สส.เลย พรรคเพื่อไทย น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และนายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร สว.ในฐานะเลขานุการวิปวุฒิสภา เข้าร่วมประชุม
ทั้งนี้ ภายหลังใช้เวลาประมาณ 40 นาที กระทั่งเวลา 14.40 น.นายวันมูหะมัดนอร์ ให้สัมภาษณ์ถึงผลการประชุมว่า ที่ประชุมวิป 3 ฝ่าย เห็นว่าจะพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 3 ฉบับรวมกัน แต่การลงมติในวาระที่ 1 จะแยกกันลงมติและจะมีการตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญเพื่อพิจารณาในวาระ 2 และ 3 จำนวน 42 คน โดยจะใช้เวลาในการอภิปรายทั้งหมดรวมการเสนอร่างทั้ง 3 ฉบับ 19 ชั่วโมงครึ่ง แบ่งเป็นเวลาของประธานในที่ประชุม 1 ชั่วโมง สว. 5 ชั่วโมงครึ่ง พรรคร่วมรัฐบาล 3 ชั่วโมง และพรรคร่วมฝ่ายค้าน 10 ชั่วโมง ทั้งนี้ การลงมติอาจจะใช้เวลานานเนื่องจากเป็นการลงมติแบบขานชื่อทีละบุคคลว่าจะแต่ละท่านรับ ไม่รับ หรือรับหลักการทั้ง 3 ร่าง หรือไม่รับหลักการทั้ง 3 ร่าง
เมื่อถามว่า จากการพูดคุยกัน วิป 3 ฝ่ายมีข้อกังวลเกี่ยวกับเนื้อหาอะไรบ้างหรือไม่ นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า ไม่มีข้อกังวล เพราะเป็นเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีความเห็นร่วมกันอยู่แล้วว่าจะต้องมีการแก้ไข และการแก้ไขก็ต้องเป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ โดยที่ศาลรัฐธรรมนูญก็มีการวินิจฉัยมาทั้งหมดแล้วว่าจะสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้อย่างไร วิธีไหนบ้าง ที่มาของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) จะเป็นอย่างไร โดยในที่ประชุมมีการนำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมาให้ตัวแทนผู้เข้าร่วมประชุมเพื่อนำไปเป็นหลักเกณฑ์ในการอภิปรายของ สส.และ สว.ซึ่งหากเดินไปตามนี้เราก็สามารถที่จะพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญได้
นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม เรื่องรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องใหญ่ที่จะต้องมีการพิจารณาถึงวาระ 1 , 2 และ 3 โดยมีเงื่อนไขว่าการแก้ไขได้จะต้องมีเสียงมากอย่างไร สส.ต้องโหวตได้เท่าไร เป็นเรื่องของรายละเอียดและขั้นตอนในการประชุมรัฐสภา ซึ่งจะต้องมีการพิจารณาต่อไป
ด้าน นายวุฒิชาติ กล่าวถึงกรณี สว.ที่จะต้องมาร่วมโหวตร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 1 ด้วย ซึ่งโมเดลของ ส.ส.ร.ที่จะต้องเป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ว่า เราดูคำวินิจฉัยฉบับเต็ม ซึ่งต้องปฏิบัติตาม เพราะคำนิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร ซึ่งประเด็นของ สว.เราเห็นด้วยว่า รัฐธรรมนูญบางมาตราที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาทางการเมือง เรายินดี แต่ สว.ส่วนใหญ่ 80-90 เปอร์เซ็นต์ มีความเห็นตรงกันคือไม่เห็นด้วยกับการแตะต้องหมวด 1 และหมวด 2 ซึ่ง สว.ไม่เอาด้วยแน่นอน
เมื่อถามว่า ติดใจที่มาของ ส.ส.ร.ที่มีทั้งทางตรงและทางอ้อมหรือไม่ นายวุฒิชาติ กล่าวว่า สำหรับตนไม่ติดใจ เพราะความจริงต้องปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นหลักว่าการได้มาซึ่ง ส.ส.ร.ให้รัฐสภาเป็นผู้เลือก โดยประชาชนไม่สามารถเลือกได้โดยตรง ซึ่งคำวินิจฉัยก็มีมาชัดเจน เมื่อถามว่า จะเป็นสัญญาณบวกทั้ง 3 ฉบับในวาระแรกเลยหรือไม่ นายวุฒิชาติ กล่าวว่า ตนเชื่อว่า คร่าวๆ ที่ดูคงไม่เป็นประเด็นปัญหาทั้ง 3 ร่าง ส่วนรายละเอียดค่อยไปว่ากัน
ขณะที่ด้าน นายภราดร กล่าวถึงกรณีที่ นายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา ในฐานะอดีตเลขานุการคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ร่วมกันพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ที่มีการระบุว่าหากมีการตั้งกมธ.แล้ว พิจารณาเสร็จไม่ทันจะติดเงื่อนไข 90 วัน ตามกฎหมายประชามติ จึงจำเป็นต้องเร่งทำให้เสร็จภายในเดือน พ.ย.จะสามารถทำได้หรือไม่ว่า หลังจากการพิจารณาในวาระที่ 1 หลังวันที่ 14 - 15 ต.ค.ก็จะมีการตั้ง กมธ.และจากที่ได้ฟัง สว.ได้ระบุว่าไม่ติดใจในหลักการ ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้น หมายความว่าทุกฝ่ายเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าจะเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เนื้อหาสาระทั้ง 3 ร่าง ยังแตกต่างกันอยู่ ตนคิดว่าปลายทางทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าต้องแก้ไข เพียงแต่ต้องยึดเอาคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเป็นที่ตั้ง ซึ่งสิ่งใดที่ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลฯ ทาง กมธ.ต้องพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน หากเห็นว่าขัดต่อคำวินิจฉัย ก็ต้องไปหารือว่าขัดหรือไม่ หากคณะเห็นว่าขัดต่อคำวินิจฉัย ก็ไม่ควรเดินไปในเส้นทางนั้น เพราะจะนำไปสู่ความไม่สำเร็จในการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งตนเชื่อว่าหากทุกฝ่ายเห็นตรงกันคงใช้เวลาในชั้น กมธ.ไม่นานนัก และคงพิจารณาแล้วเสร็จก่อนจะเปิดสมัยประชุมหน้า ในช่วงเดือน ธ.ค.ซึ่งการพิจารณาในวาระที่ 2 และวาระที่ 3 จะพิจารณาในสมัยประชุมหน้า
เมื่อถามว่า ทาง ครม.ได้มองเรื่องทามไลน์ในการทำประชามติพร้อมการเลือกตั้ง คิดว่าจะมีปัญหาอะไรหรือไม่ นายภราดร กล่าวว่า กฎหมายประชามติขณะนี้ ยังอยู่ในขั้นตอนของการรอโปรดเกล้าฯ และตัวร่างที่ทูลเกล้าฯ ขึ้นไป ก็น่าจะอยู่ทามไลน์ประมาณ 60 - 120 วัน ซึ่งทามไลน์ที่ได้กางดู ตนคิดว่ายังพอเป็นไปได้อยู่ แต่อย่างไรก็ตามต้องใช้ กมธ.มาพูดคุย เช่นเดียวกัน ไทม์ไลน์ทำประชามติ ก็ต้องพูดคุยในชั้น กมธ.เพื่อหารือกันทุกฝ่าย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการพิจารณาในวันที่ 14 ต.ค.นี้ จะเริ่มตั้งแต่เวลา 09.00 น.และจะเลิกประมาณเวลา 22.00 - 23.30 น.ส่วนวันที่ 15 ต.ค.คาดว่าจะสามารถเริ่มลงมติในวาระแรกได้ในเวลา 14.00 น.
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี