โพลเผยปัญหาเศรษฐกิจ-การเมือง ทำคนไทยทุกข์มากกว่าสุข เกินครึ่งยังไม่ตัดสินใจเลือกพรรคใด
เมื่อวันที่ 12 ต.ค.2568 ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้ก่อตั้งสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยรายงานผลสำรวจเรื่อง ความสุข ความทุกข์ และการเมืองของคนไทย วันนี้ จากกลุ่มตัวอย่างทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศจำนวนทั้งสิ้น 1,258 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 8 – 11 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา
ผลการสำรวจเผยให้เห็นว่า คนไทยส่วนใหญ่รู้สึก “ทุกข์มากกว่าสุข” ในชีวิตประจำวัน โดยร้อยละ 43.7 ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า “วันนี้รู้สึกทุกข์มากกว่าสุข” ในขณะที่เพียงร้อยละ 18.9 รู้สึก “สุขมากกว่าทุกข์” และอีกร้อยละ 37.4 ระบุว่ามีความรู้สึกสุขและทุกข์พอ ๆ กัน สะท้อนถึงภาวะความรู้สึกของประชาชนที่โน้มเอียงไปทางด้านลบมากกว่าด้านบวก ซึ่งเป็นสัญญาณทางสังคมที่ควรให้ความสนใจอย่างยิ่ง เพราะความรู้สึก “ทุกข์” ในมิติทางจิตใจมักสัมพันธ์โดยตรงกับความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นในระบบการเมือง
หากพิจารณาปัจจัยที่ทำให้คนไทยรู้สึก “มีความสุข” มากที่สุด จะเห็นได้ว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวและมีความหมายเชิงคุณภาพชีวิตมากกว่าปัจจัยเชิงโครงสร้าง โดยร้อยละ 68.9 ระบุว่า “ครอบครัว” เป็นแหล่งความสุขสำคัญอันดับหนึ่ง รองลงมาคือ “งาน” ร้อยละ 65.3 และ “เงิน” ร้อยละ 64.8 ซึ่งล้วนเป็นองค์ประกอบของความมั่นคงในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ ร้อยละ 61.1 ระบุว่า “เพื่อน” เป็นปัจจัยสำคัญ ขณะที่ “สุขภาพ” มีสัดส่วนร้อยละ 59.7 และอีก 53.2% ระบุถึงปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความสำเร็จ ความรัก ความเป็นอิสระ การช่วยเหลือผู้อื่น และการปฏิบัติทางศาสนา เช่น การสวดมนต์ ปัจจัยเหล่านี้สะท้อนอย่างเด่นชัดว่า ความสุขของคนไทยในวันนี้ผูกพันกับความสัมพันธ์ที่มีความหมาย ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และความสงบทางใจ มากกว่าการพึ่งพาระบบภายนอกหรือรัฐ
ในทางตรงข้าม ปัจจัยที่สร้างความทุกข์ให้กับประชาชนสะท้อนภาพที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง โดยร้อยละ 68.1 ของกลุ่มตัวอย่างระบุว่า “ปัญหาเศรษฐกิจ” คือความทุกข์สำคัญอันดับหนึ่ง รองลงมาคือ “การเมืองที่วุ่นวาย ขัดแย้ง เสียของ พัวพันผลประโยชน์” ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 64.9 และ “ความไม่มั่นคงในชีวิต” อยู่ที่ร้อยละ 62.7 ตามมาด้วย “ความเจ็บป่วย” ร้อยละ 52.9 “การตกงาน” ร้อยละ 33.4 และ “ปัจจัยอื่น ๆ” เช่น การสูญเสีย ความขัดแย้ง ความไม่เป็นธรรม และการถูกเอารัดเอาเปรียบ คิดเป็นร้อยละ 36.2 ปัจจัยเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า ความทุกข์ของคนไทยในวันนี้เป็น “ความทุกข์เชิงโครงสร้าง” ที่เกิดจากปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง และความเหลื่อมล้ำในสังคม มากกว่าความทุกข์ส่วนบุคคล นอกจากนี้การที่ “การเมือง” เป็นปัจจัยสร้างความทุกข์สูงถึงร้อยละ 64.9 ยังบ่งบอกถึงความไม่ไว้วางใจและความรู้สึกผิดหวังในระบบการเมืองปัจจุบันของประชาชนจำนวนมาก
ในอีกมิติหนึ่งของการสำรวจ เมื่อสอบถามถึงลักษณะของผู้นำทางการเมืองที่คนไทยอยากเห็นเพื่อให้สังคมมีความสุขมากขึ้น พบว่าเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนให้ความสำคัญกับคุณภาพของผู้นำมากกว่าขั้วการเมือง โดยร้อยละ 84.7 ต้องการผู้นำที่ “ดี เก่ง และกล้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ผลดี” ซึ่งเป็นปัจจัยที่สะท้อนถึงความคาดหวังต่อการบริหารจัดการเศรษฐกิจของประเทศอย่างแท้จริง ขณะที่ร้อยละ 81.5 ต้องการผู้นำที่ “โปร่งใส ซื่อสัตย์ ไม่คดโกง ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน” สะท้อนถึงความต้องการความเชื่อมั่นทางการเมือง ร้อยละ 76.3 ต้องการ “คนรุ่นใหม่ที่กล้าเปลี่ยนแปลง ล้างบางการเมืองเก่า” ร้อยละ 74.5 อยากเห็นผู้นำที่ “เป็นอิสระจากขั้วอำนาจเดิม” และร้อยละ 73.1 ต้องการผู้นำที่ “จริงใจ ทำงานเก่ง และเข้าถึงง่าย” ตัวเลขเหล่านี้ชี้ชัดว่า ประชาชนไทยมีความต้องการผู้นำที่ “โปร่งใส ทำงานได้จริง และแตกต่างจากการเมืองแบบเดิม” มากกว่าผู้นำที่เพียงแค่มีชื่อเสียงหรืออยู่ในระบบอำนาจเก่า
ในส่วนของการตัดสินใจทางการเมือง พบว่า ประชาชนร้อยละ 51.9 ระบุว่ายัง “ไม่ตัดสินใจ” ว่าจะเลือกพรรคการเมืองใด ขณะที่ร้อยละ 24.6 แม้จะ “ตัดสินใจแล้ว” แต่ก็ “อาจเปลี่ยนใจได้” และมีเพียงร้อยละ 23.5 เท่านั้นที่ “ตัดสินใจแน่นอน” ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่า ประชาชนกว่าร้อยละ 76.5 ยังเปิดกว้างต่อการตัดสินใจทางการเมือง และยังไม่เกิดการยึดโยงกับพรรคการเมืองใดอย่างมั่นคง นี่เป็นสัญญาณสำคัญสำหรับการสื่อสารเชิงนโยบายในอนาคต เพราะประชาชนกลุ่มนี้อาจเป็นฐานเสียงที่กำหนดทิศทางของการเมืองไทยในระยะยาวได้หากมีพรรคหรือผู้นำที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นทางการเมืองได้อย่างแท้จริง
เมื่อนำผลการสำรวจทั้งหมดมาวิเคราะห์ร่วมกัน จะเห็นภาพที่ชัดเจนว่า ความสุขของคนไทยในวันนี้เกิดจาก “ความมั่นคงใกล้ตัว” เช่น ครอบครัว งาน รายได้ เพื่อน และสุขภาพ ขณะที่ความทุกข์กลับมีรากมาจาก “ปัญหาเชิงโครงสร้าง” โดยเฉพาะเศรษฐกิจและการเมืองที่ไร้เสถียรภาพ ความไม่มั่นคงในชีวิต และความเหลื่อมล้ำ ความรู้สึกไม่เชื่อมั่นในระบบการเมืองสะท้อนผ่านตัวเลขที่สูงถึงร้อยละ 64.9 ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนเชิงสังคมอย่างสำคัญว่า ความเชื่อมั่นทางการเมืองกำลังอยู่ในภาวะเปราะบาง ขณะเดียวกัน ความหวังของประชาชนได้เคลื่อนมาสู่ “ผู้นำรุ่นใหม่ที่โปร่งใส เก่ง และกล้าปฏิรูป” มากกว่าผู้นำแบบเดิมที่ผูกพันอยู่กับขั้วอำนาจเก่า
ข้อเสนอเชิงนโยบายจากผลสำรวจนี้จึงมีความชัดเจนว่า หากต้องการยกระดับความสุขของประชาชนอย่างยั่งยืน (1) รัฐและภาคการเมืองจำเป็นต้องลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ (2) สร้างระบบการเมืองที่โปร่งใสและเป็นธรรม (3) ปฏิรูปโครงสร้างการเมืองให้เปิดกว้างต่อคนรุ่นใหม่และการมีส่วนร่วมของประชาชน และ (4) สร้างความมั่นคงในชีวิตประจำวันของผู้คนอย่างเป็นรูปธรรม
“ความสุขของคนไทยไม่ได้อยู่ที่คำสัญญาทางการเมือง หากแต่อยู่ที่ความมั่นใจว่าระบบเศรษฐกิจและการเมืองสามารถตอบสนองต่อความต้องการจริง ๆ ได้ ความสุขของประชาชนจึงเป็นทั้งเป้าหมายและดัชนีวัดความสำเร็จของการพัฒนาประเทศที่แท้จริง” ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้ก่อตั้ง ซูเปอร์โพล กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี