‘จุรินทร์’เทียบร่างแก้รธน. 3 พรรค ย้ำจุดยืน‘ประชาธิปัตย์’ไม่แตะหมวด 1-2 ตรงกับร่าง‘ภูมิใจไทย-พรรคร่วมรัฐบาล’ แจงดักทางถ้าหนุนร่างอื่น อาจเป็น‘หัวเชื้อ’นำไปสู่การยกร่างฉบับใหม่ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
14 ตุลาคม 2568 เวลา 11.30 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ที่มีนายมงคล สุระสัจจะ รองประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 3ฉบับ ของพรรคประชาชน พรรคภูมิใจไทย และพรรคเพื่อไทย เพื่อแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา156 เพิ่มหมวด15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอภิปรายว่า เหตุผลที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ2560 ไม่สำเร็จ เพราะเขียนไว้ให้แก้ยาก ซึ่งโดยปกติการแก้รัฐธรรมนูญ ถ้าเสียงข้างมากของที่ประชุมร่วมรัฐสภา เห็นชอบเกินกึ่งหนึ่งก็สามารถแก้ได้แล้ว แต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีเงื่อนไขเพิ่มเติมนอกจากต้องใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งและยังจะต้องประกอบด้วย เสียงของฝ่ายค้านไม่น้อยกว่าร้อยละ20 และเพิ่มเติมด้วยเสียงของวุฒิสมาชิก(สว.)ไม่ต่ำกว่าหนึ่งในสาม รวมทั้งบางมาตรา หากจะแก้ต้องทำประชามติ ถามความเห็นประชาชนอีก จึงเป็นเงื่อนไขที่ทำให้แก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ยากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคหนึ่งที่สนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ไม่เห็นด้วยกับบทเฉพาะการ ที่กำหนดเงื่อนไขให้ สว.สามารถลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรีได้ ทั้งที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนในขณะนั้น แต่เมื่อประชาชนได้ลงประชามติเห็นชอบกับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน พรรคประชาธิปัตย์ก็ยอมรับสิ่งที่ประชาชนของผู้ตัดสิน และก่อนที่ประชาธิปัตย์จะเข้าร่วมรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็มีเงื่อนไข3 ข้อ คือ 1. ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตการบริหารราชการแผ่นดิน 2. ต้องใช้นโยบายประกันรายได้สินค้าเกษตร 3. ต้องสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น โดยไม่แตะหมวด 1 และหมวด2
นายจุรินทร์ กล่าวว่า วันนี้ มีการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา เพื่อสนองต่อเอ็มโอเอ ที่เป็นข้อตกลงระหว่าง 2 พรรคการเมือง แม้ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าการแก้ปัญหาปากท้องสำคัญมากกว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงเป็นหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาทุกคนที่จะต้องพิจารณาร่างแก้รัฐธรรมนูญทั้ง3 ร่างนี้ เพื่อแก้มาตรา 256 และเพิ่มเติม หมวด15 เปิดทางให้มี สสร. ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ จุดยืนของผมและพรรคประชาธิปัตย์ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่มีอะไรเปลี่ยน คือ ต้องไม่แตะหมวด1 และหมวด2 ซึ่งหมวด1เป็นบททั่วไป มี 5 มาตรา ซึ่งมี 3 มาตราที่สำคัญคือ มาตรา 1 ระบุชัดเจนว่าประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้ ผมจึงเห็นว่าห้ามแตะหมวด 1
ส่วนมาตรา2 ระบุ ประเทศไทยมีการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็ความห้ามแตะ และมาตรา 5 ระบุด้วยข้อความวรรคท้ายว่า ‘เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้กระทำการนั้นหรือวินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีปกครองของประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข’ ข้อความตรงนี้ที่ปรากฏอยู่ในมาตรา 5 วรรคท้าย หมวด1 ต้องห้ามแตะ เพราะมีปรากฏต่อเนื่องตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับปี2492 จนมาถึงรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเป็นมิติต่อเนื่องทางประวัติศาสตร์การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มิติทางกฎหมาย หากไม่มีบทบัญญัติใดรองรับไว้ในรัฐธรรมนูญ และมิติทางการเมืองการปกครองที่ยึดรับประชาธิปไตย คือกับองค์พระมหากษัตริย์อย่างสมดุล“ นายจุรินทร์ กล่าว
นายจุรินทร์ กล่าวอีกว่า สำหรับร่างของพรรคเพื่อไทย ที่ระบุว่า ห้ามเปลี่ยนแปลง การปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และห้ามเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ ตรงนี้เป็นข้อห้ามที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเป็นข้อห้ามอยู่แล้ว และระบุไว้ในมาตรา 255 บังคับใช้อยู่แล้ว ไม่ว่าใครก็แก้ไม่ได้ คือต้องห้ามโดยข้อบังคับ แต่ร่างนี้ไม่มีบทบัญญัติ ห้ามแตะหมวด1 หมวด2 ระบุไว้ ส่วนร่างของพรรคประชาชน เช่นเดียวกันไม่มีบทบัญญัติห้ามแตะ หรือห้ามเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพิ่มเติมหมวด 1 หมวด 2 แต่ในร่างของพรรคภูมิใจไทยและพรรคร่วมรัฐบาล ระบุชัดเจนว่า การแก้ไขหมวด1 หมวด 2 จะกระทำไม่ได้หากรัฐสภาวินิจฉัยร่างรัฐธรรมนูญลักษณะเป็นการแก้ไขหมวด1หมวด2 ให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนั้นตกไป ฉะนั้นนี่คือความแตกต่างสำหรับ3ร่างที่เราจะต้องพิจารณาตัดสินใจวันนี้รัฐสภาจะต้องพิจารณาลงมติใน2ประเด็นหลัก คือจะเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับใดบ้าน ถ้าแยกลงมติถ้ารวมลงมติ ก็จะกลายเป็นว่าจะเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เสนอต่อที่ประชุมรัฐสภา และการลงมติอีกเรื่องก็คือจะใช้ร่างใด เป็นร่างหลักในการพิจารณา ในวาระที่สองในขั้นเรียงมาตรา
ทั้งนี้ ตนยืนยันในจุดที่ยึดมั่นมาโดยตลอด และขอเพิ่ม ความเห็นและข้อเสนอแนะเป็น 4 ข้อดังนี้
1.ตนพร้อมสนับสนุนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เปิดทางให้มี สสร. ขึ้นมา ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ต้องไม่แตะหมวด1 หมวด 2
2.หากจะต้องลงมติว่า จะใช้ร่างใดเป็นร่างหลักในการพิจารณาวาระสอง ตนจะมาลงมติใช้เงื่อนไขเดิมคือ ต้องใช้ร่างที่ไม่แตะหมวด1 หมวด2 เป็นหลัก เพราะเป็นห่วงหากไม่ใช้ร่างนี้ ที่ห้ามแตะหมวด1หมวด2 อาจจะเป็นหัวเชื้อนำไปสู่การยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แบบปลายเปิดและในที่สุดอาจจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง แก้ไขหมวดหนึ่งหมวดสองได้ ต่อไปในอนาคต
3.การแก้ไขรัฐธรรมนูญเที่ยวนี้ จะต้องไม่ขัดกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องที่มาของสสร. เพื่อจะทำให้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญรอบนี้ไม่เป็นหมันต่อไปในอนาคต
4. รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่สสร. ถ้ามี จะต้องยกร่างขึ้นควรจะต้องมีเจตจำนง ที่จะส่งเสริมคนดีปกครองบ้านเมืองตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมาตรา 160(4) (5) ที่ระบุไว้ว่า ผู้ที่จะเข้าสู่อำนาจสำคัญๆ ทั้งรัฐมนตรีนอกจากจะต้องมีวัยวุฒิ คุณวุฒิตามที่กำหนดแล้ว ยังจะต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และไม่มีพฤติกรรมฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง เพื่อให้การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับสนองตอบ และคงมั่นที่มาตรฐานผู้ที่จะเข้าสู่อำนาจทางการเมือง และตำแหน่งสำคัญของประเทศไว้ได้ต่อไปเพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองและประชาชนโดยรวม
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี