สรุปมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประจำวันที่ 14 ตุลาคม 2568

สรุปมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประจำวันที่ 14 ตุลาคม 2568

วันอังคาร ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 17.08 น.

วันนี้ 14 ตุลาคม 2568 เวลา 10.00 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ณ ห้องประชุมกรรมาธิการ CB 406 ชั้น 4 อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้

กฎหมาย


1. เรื่อง แนวทางปฏิบัติในการดำเนินการร่างอนุบัญญัติที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาหรือคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี หรือที่ตรวจพิจารณาเสร็จแล้ว

                    คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางปฏิบัติในการดำเนินการร่างอนุบัญญัติที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) หรือคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี (คกอ.) หรือที่ตรวจพิจารณาเสร็จแล้วตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ ดังนี้

                   1. กรณีร่างอนุบัญญัติที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของ สคก. หรือ คกอ. ให้ สคก. หรือ คกอ. ตรวจพิจารณาต่อไป เว้นแต่รัฐมนตรีเจ้าของเรื่องได้แจ้งให้ระงับการดำเนินการภายใน 30 วันนับแต่วันที่ ครม. มีมติในเรื่องนี้ไปยัง สคก. หรือ สลค. ซึ่งเป็นฝ่ายเลขานุการของ คกอ. แล้วแต่กรณี และเมื่อ สคก. หรือ คกอ. ตรวจพิจารณาเสร็จแล้ว ให้ สลค. ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปได้โดยไม่ต้องนำเรื่องมาเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง

                   2. กรณีร่างอนุบัญญัติที่ สคก. หรือ คกอ. ตรวจพิจารณาเสร็จแล้ว ก่อนมีแนวทางปฏิบัติตามมติ ครม. ในเรื่องนี้ (ขั้นตอนการลงนาม) แบ่งเป็น (1) กรณีอยู่ในระหว่างการดำเนินการของหน่วยงานเจ้าของเรื่อง หากรัฐมนตรีเจ้าของเรื่องประสงค์จะดำเนินการต่อไปให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ไปตามขั้นตอน เพื่อให้ร่างอนุบัญญัติดังกล่าวประกาศใช้บังคับได้ต่อไป และ (2) กรณีเรื่องที่อยู่ในระหว่างการดำเนินการของ สลค. ให้ สลค. ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปได้

                   3. ภายใต้การดำเนินการตามข้อ 1. และ 2. นั้น หากร่างอนุบัญญัติเป็นเรื่องนโยบายสำคัญหรือเมื่อ สคก. หรือ คกอ. ตรวจพิจารณาร่างอนุบัญญัติเสร็จแล้วและมีการแก้ไขเพิ่มเติมร่างอนุบัญญัติดังกล่าวในสาระสำคัญ ให้ สลค. แจ้งหน่วยงานเจ้าของเรื่องเพื่อยืนยันร่างอนุบัญญัติที่ สคก. หรือ คกอ. ตรวจพิจารณาเสร็จแล้ว ก่อนนำเสนอร่างอนุบัญญัติดังกล่าว ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป

                   สาระสำคัญ

                    โดยที่ร่างอนุบัญญัติ เช่น ร่างพระราชกฤษฎีกา ร่างกฎกระทรวง ร่างระเบียบ เป็นต้น จะเป็นการกำหนดรายละเอียดการปฏิบัติให้เป็นไปตามที่กฎหมายแม่บทให้อำนาจไว้ ดังนั้นเพื่อให้ร่างอนุบัญญัติที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของ สคก. หรือ คกอ. หรือที่ตรวจพิจารณาเสร็จแล้ว ซึ่งคณะรัฐมนตรีเคยมีมติเห็นชอบหรืออนุมัติหลักการไว้ก่อน เช่น ร่างพระราชกฤษฎีกาเกี่ยวกับการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ร่างกฎกระทรวงเกี่ยวกับทางน้ำชลประทาน มีผลบังคับใช้โดยเร็วและสามารถนำมาปฏิบัติเพื่อให้เกิดผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเห็นควรเสนอแนวทางปฏิบัติในการดำเนินการร่างอนุบัญญัติที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของ สคก. หรือ คกอ. หรือที่ตรวจพิจารณาเสร็จแล้ว หากร่างอนุบัญญัตินั้นไม่ใช่เรื่องนโยบายสำคัญ เช่น การกำหนดครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัย การถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน โดยยังคงเป็นไปตามหลักการที่ ครม. มีมติและไม่ได้แก้ไขเพิ่มเติมในสาระสำคัญ ดังนี้

                   1. กรณีร่างอนุบัญญัติที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของ สคก. หรือ คกอ. ให้ สคก. หรือ คกอ. ตรวจพิจารณาต่อไป เว้นแต่รัฐมนตรีเจ้าของเรื่องได้แจ้งให้ระงับการดำเนินการภายใน 30 วันนับแต่วันที่ ครม. มีมติในเรื่องนี้ไปยัง สคก. หรือ สลค. ซึ่งเป็น ฝ่ายเลขานุการของ คกอ. แล้วแต่กรณี และเมื่อ สคก. หรือ คกอ. ตรวจพิจารณาเสร็จแล้วให้ สลค. ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปได้ โดยไม่ต้องนำเรื่องมาเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง

                   2. กรณีร่างอนุบัญญัติที่ สคก. หรือ คกอ. ตรวจพิจารณาเสร็จแล้ว ก่อนมีแนวทางปฏิบัติตามมติ ครม. ในเรื่องนี้ (ขั้นตอนการลงนาม) แบ่งเป็น (1) กรณีอยู่ในระหว่างการดำเนินการของหน่วยงานเจ้าของเรื่อง หากรัฐมนตรีเจ้าของเรื่องประสงค์จะดำเนินการต่อไป ให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ไปตามขั้นตอน เพื่อให้ร่างอนุบัญญัติดังกล่าวประกาศใช้บังคับได้ต่อไป และ (2) กรณีเรื่องที่อยู่ในระหว่างการดำเนินการของ สลค. ให้ สลค. ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปได้ เช่น กรณีร่างอนุบัญญัติที่เป็นกฎกระทรวง ระเบียบ ประกาศ หรือข้อบังคับให้ สลค. ส่งเรื่องให้รัฐมนตรีเจ้าของเรื่องเพื่อพิจารณาลงนามต่อไป หากเป็นร่างพระราชกฤษฎีกาให้ สลค. แจ้งรัฐมนตรีเจ้าของเรื่องเพื่อยืนยันร่างพระราชกฤษฎีกาที่ตรวจพิจารณาแล้ว ก่อน สลค. นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายต่อไป

                   3. ภายใต้การดำเนินการตามข้อ 1. และ 2. นั้น หากร่างอนุบัญญัติเป็นเรื่องนโยบายสำคัญหรือเมื่อ สคก. หรือ คกอ. ตรวจพิจารณาร่างอนุบัญญัติเสร็จแล้วและมีการแก้ไขเพิ่มเติมร่างอนุบัญญัติดังกล่าวในสาระสำคัญ ให้ สลค. แจ้งหน่วยงานเจ้าของเรื่องเพื่อยืนยัน ร่างอนุบัญญัติที่ สคก. หรือ คกอ. ตรวจพิจารณาเสร็จแล้ว ก่อนนำเสนอร่างอนุบัญญัติดังกล่าว ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป

 

เศรษฐกิจ-สังคม

2. เรื่อง ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงบประมาณ (สงป.) เสนอ ดังนี้

                   1. อนุมัติให้หน่วยรับงบประมาณก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวน 1,917 รายการ เป็นวงเงินภาระผูกพันรวมทั้งสิ้น 349,656.40 ล้านบาท สำหรับรายการที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 44 รายการ วงเงิน 117,700.20 ล้านบาท เมื่อทราบผลประกวดราคาแล้ว เห็นสมควรให้หน่วยรับงบประมาณนำเสนอนายกรัฐมนตรีทราบอีกครั้งหนึ่งก่อนดำเนินการต่อไป

                   2. อนุมัติให้หน่วยรับงบประมาณที่ไม่สามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตามที่เสนอได้

                   3. รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่จะต้องจ่ายในรูปของเงินตราต่างประเทศ เช่น รายการค่าเช่าบ้าน ค่าเช่าอาคารสำนักงาน ค่าเช่าทรัพย์สินในต่างประเทศ และค่าครุภัณฑ์ ให้ สงป. พิจารณาอนุมัติวงเงินผูกพันที่เปลี่ยนแปลงไปจากที่ได้รับอนุมัติเนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนในกรณีที่หน่วยรับงบประมาณสามารถปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีกครั้ง ทั้งนี้ ปัจจุบันอัตราแลกเปลี่ยนมีความเหมาะสม หน่วยรับงบประมาณที่มีรายการที่ต้องชำระเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศควรพิจารณาเร่งรัดดำเนินการใช้จ่ายประมาณดังกล่าวเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อราชการ

          4. เพื่อเป็นการเร่งรัดให้หน่วยรับงบประมาณใช้จ่ายหรือก่อหนี้ผูกพันสำหรับรายการก่อหนี้ผูกพันสำหรับรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่เป็นรายจ่ายลงทุนลักษณะค่าครุภัณฑ์และสิ่งก่อสร้างรายการใหม่ให้หน่วยรับงบประมาณจัดส่งราคากลาง คุณลักษณะเฉพาะ แบบรูปรายการก่อสร้าง และรายละเอียดที่เกี่ยวข้องให้ สงป. พิจารณาความเหมาะสมของราคาควบคู่ไปกับการดำเนินกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง และเมื่อได้ผลจัดซื้อจัดจ้างแล้วหากไม่เกินวงเงินที่ สงป. ให้ความเห็นชอบให้แจ้ง สงป. ทราบและดำเนินการทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันต่อไปได้ ทั้งนี้ ขอให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับดูแล และเร่งรัดดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 และติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง

                   สาระสำคัญ

                   สงป. รายงานว่า

                   1. รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 มีรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการใหม่ จำนวน 1,917 รายการ วงเงิน 349,656.40 ล้านบาท และภาระผูกพันงบประมาณรายการเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้วก่อนปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วงเงิน 1,303,677.30 ล้านบาท ทำให้มีวงเงินภาระผูกพันรวมทั้งสิ้น 1,653,333.70 ล้านบาท ทั้งนี้ รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง กำหนดสัดส่วนต่าง ๆ เพื่อเป็นกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ในข้อ (4) สัดส่วนการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายข้ามปีงบประมาณต้องไม่เกินร้อยละสิบของงบประมาณรายจ่ายประจำปีซึ่งอาศัยอำนาจตามมาตรา 11 (4) แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 โดยวงเงินภาระผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 (ไม่รวมเงินนอกงบประมาณ) มีจำนวน 330,615.60 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 8.75 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 (จำนวน 3,780,600 ล้านบาท) ซึ่งอยู่ในสัดส่วนตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนด  (ไม่เกินร้อยละสิบ)

                   2. เดิมคณะรัฐมนตรีมีมติ (11 มีนาคม 2568) อนุมัติให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ และมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งกำหนดให้รายจ่ายลงทุนที่จะขออนุมัติผูกพันข้ามปีมาทุกรายการต้องได้รับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินในปีแรก เป็นจำนวนเงินไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15 ของวงเงินรายจ่ายส่วนที่เป็นเงินงบประมาณทั้งสิ้นของรายจ่ายลงทุนนั้น ๆ โดยไม่รวมวงเงินเผื่อเหลือเผื่อขาด และควรกำหนดระยะเวลาผูกพันให้สอดคล้องกับระยะเวลาที่ใช้ในการดำเนินการ โดยคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการวางแผนการปฏิบัติงานที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ทั้งนี้ ไม่นับรวมถึงรายจ่ายที่เป็นลักษณะต้องจ่ายเป็นประจำในแต่ละเดือนหรือในกรอบระยะเวลาในจำนวนเงินที่เท่ากัน เช่น ค่าเช่ารถยนต์ เป็นต้น โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2659 มีจำนวน 6 หน่วยรับงบประมาณ* ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ ในปีแรกต่ำกว่าร้อยละ 15 เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ สงป. จึงขอยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ให้รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่ไม่สามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณได้

* (1) กองทัพเรือ (2) กองทัพอากาศ (3) กรมศุลกากร (4) สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม (5) สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (6) กรุงเทพมหานคร

 

3. เรื่อง ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025)
                  
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) วงเงินงบประมาณ 455,962,200 บาท ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เสนอประกอบด้วย

                   1. ค่าใช้จ่ายสาขาพิธีเปิด - ปิดการแข่งขัน และไฟพระฤกษ์ จำนวน 166,282,000 บาทรายละเอียด ดังนี้

                             1.1 จ้างจัดงานพิธีเปิด - พิธีปิด การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) จำนวน 147,953,000 บาท

                             1.2 จ้างจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองวิ่งคบเพลิงไฟพระฤกษ์ ในการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 (ค.ศ. 2025) และการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 (ค.ศ. 2025) จำนวน 14,683,500 บาท

                             1.3 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปสำรวจ/เข้าร่วมพิธี เปิด - ปิด/เข้าร่วมงานการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์และอาเซียนพาราเกมส์ฯ/งานพิธีไฟพระฤกษ์ของคณะกรรมการสาขา/คณะทำงาน/เจ้าหน้าที่ จำนวน 3,645,500 บาท

                   2. ค่าใช้จ่ายสาขาการประชาสัมพันธ์ การดำเนินการศูนย์ถ่ายทอดสัญญาณฯ (IBC) จำนวน 30,000,000 บาท

                   3. ค่าใช้จ่ายในการจัดจ้างดำเนินการจัดหาที่พัก อาหาร ขนส่ง และ ค่าซักรีด ของนักกีฬา เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และผู้เข้าร่วมการแข่งขันจากต่างประเทศ จำนวน 259,680,200 บาท

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   1. การประชุมคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) ครั้งที่ 4/2568 เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 มีมติเห็นชอบการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการเตรียมความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันดังกล่าวฯ โดยการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ได้เสนอเรื่องขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) แต่เนื่องจากรายละเอียดประกอบการพิจารณาไม่เพียงพอ ประกอบกับอยู่ในช่วงใกล้สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 สำนักงบประมาณ (สงป.) จึงส่งเรื่องคืนการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) โดยให้ กกท. ทบทวนรายละเอียด ค่าใช้จ่ายและเหตุผลความจำเป็นเร่งด่วน และพิจารณาขอใช้เงินกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติจากยอดงบประมาณที่ต้องติดตามการเบิกจ่าย ภายใต้งบประมาณคงเหลือที่อนุมัติแล้วยังไม่ได้เบิกจ่ายของกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติเป็นลำดับแรก รวมถึงปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีนำเงินสะสมของการกีฬาแห่งประเทศไทยมาสมทบ หรือขอรับการจัดสรรงบประมาณในปีงบประมาณถัดไป

                   2. กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ได้ทบทวนรายละเอียดตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และได้ดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ รวมทั้งประมาณการรายรับจากสิทธิประโยชน์ เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณ ดังนี้

                             2.1 งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ได้รับจัดสรรงบประมาณ จำนวน 557,584,400 บาท ประกอบด้วย

                                      1) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 รายการจัดการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติ จำนวน 157,584,400 บาท

                                      2) งบประมาณจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ จำนวน 400,000,000 บาท

                             2.2 งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 ได้รับการจัดสรรงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 รายการจัดการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติ (การจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์และอาเซียนพาราเกมส์) จำนวน 883,333,800 บาท ยังขาดงบประมาณสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการแข่งขันฯ จำนวน 459,721,800 บาท ประกอบด้วย

                                      1) ค่าใช้จ่ายสาขาพิธีเปิด - ปิดการแข่งขัน และไฟพระฤกษ์ จำนวน 168,943,350 บาท รายละเอียด ดังนี้

                                      - จ้างจัดงานพิธีเปิด - พิธีปิด การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) จำนวน 150,000,000 บาท

                                      - จ้างจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองวิ่งคบเพลิงไฟพระฤกษ์ ในการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 (ค.ศ. 2025) และการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 (ค.ศ. 2025) จำนวน 15,000,000 บาท

                                      - ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปสำรวจ/เข้าร่วมพิธีเปิด - ปิด /เข้าร่วมงานการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์และอาเซียนพาราเกมส์ฯ/งานพิธีไฟพระฤกษ์ของคณะกรรมการสาขา/คณะทำงาน/เจ้าหน้าที่ จำนวน 3,943,350 บาท

                                      2) ค่าใช้จ่ายสาขาการประชาสัมพันธ์ การดำเนินการศูนย์ถ่ายทอดสัญญาณฯ (IBC) จำนวน 30,000,000 บาท

                                      3) ค่าใช้จ่ายในการจัดจ้างดำเนินการจัดหาที่พัก อาหาร ขนส่ง และ ค่าซักรีดของนักกีฬา เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และผู้เข้าร่วมการแข่งขันจากต่างประเทศ จำนวน 260,778,450 บาท

(หมายเหตุ : ค่าใช้จ่ายในการจัดจ้างดำเนินการจัดหาที่พัก อาหารฯ เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 269,378,450 บาท ได้รับการจัดสรรแล้วจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 8,600,000 บาท)

                             2.3 ประมาณการรายรับจากเงินรายได้/สิทธิประโยชน์ จำนวน 154,360,000 บาท โดยจะได้รับในช่วงการจัดการแข่งขันฯ และหลังจากเสร็จสิ้นการจัดการแข่งขันฯ ซึ่งไม่ทันสำหรับการใช้จ่ายและการดำเนินงาน ทั้งนี้เมื่อเสร็จสิ้นการแข่งขัน กกท. จะดำเนินการส่งเงินรายได้/สิทธิประโยชน์ หลังหักค่าใช้จ่ายแล้วนำส่งกระทรวงการคลังเพื่อเป็นรายได้แผ่นดินต่อไป

                   3. กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ได้ดำเนินการตรวจสอบงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 แล้ว ไม่สามารถปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) อีกทั้งได้ดำเนินการตรวจสอบเงินนอกงบประมาณ (เงินสะสมของ กกท.) มีคงเหลือไม่เพียงพอสำหรับการดำเนินงานดังกล่าว เนื่องจาก กกท. มีแผนการดำเนินงานตามภาระผูกพัน และแผนการดำเนินงานตามภารกิจหลักของ กกท. จึงเห็นควรขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามข้อ 5 (3) ของระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. 2562 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33พ.ศ. 2568 (ค.ศ.2025) และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) จำนวนทั้งสิ้น 459,721,800 บาท ประกอบด้วย

                             3.1) ค่าใช้จ่ายสาขาพิธีเปิด - ปิดการแข่งขัน และไฟพระฤกษ์ จำนวน 168,943,350 บาท รายละเอียด ดังนี้

                                      1) จ้างจัดงานพิธีเปิด - พิธีปิด การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) จำนวน 150,000,000 บาท

                                      2) จ้างจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองวิ่งคบเพลิงไฟพระฤกษ์ ในการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 (ค.ศ. 2025) และการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 (ค.ศ. 2025) จำนวน 15,000,000 บาท

                                      3) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปสำรวจ/เข้าร่วมพิธีเปิด - ปิด/เข้าร่วมงานการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์และอาเซียนพาราเกมส์ฯ/งานพิธีไฟพระฤกษ์ของคณะกรรมการสาขา/คณะทำงาน/เจ้าหน้าที่ จำนวน 3,943,350 บาท

                             3.2 ค่าใช้จ่ายสาขาการประชาสัมพันธ์ การดำเนินการศูนย์ถ่ายทอดสัญญาณฯ (IBC) จำนวน 30,000,000 บาท

                             3.3 ค่าใช้จ่ายในการจัดจ้างดำเนินการจัดหาที่พัก อาหาร ขนส่ง และ ค่าซักรีด ของนักกีฬา เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และผู้เข้าร่วมการแข่งขันจากต่างประเทศ จำนวน 260,778,450 บาท

                   4. สำนักงบประมาณ มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่นร 0713/125 ลงวันที่ 10 ตุลาคม 2568
กราบเรียนนายกรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาขอความเห็นชอบให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ใช้จ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน 455,962,200 บาท สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) ประกอบด้วย

                             4.1 ค่าใช้จ่ายสาขาพิธีเปิด - ปิดการแข่งขัน และไฟพระฤกษ์ จำนวน 166,282,000บาท รายละเอียด ดังนี้

                                      1) จ้างจัดงานพิธีเปิด - พิธีปิด การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) จำนวน 147,953,000 บาท

                                      2) จ้างจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองวิ่งคบเพลิงไฟพระฤกษ์ ในการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 (ค.ศ. 2025) และการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 (ค.ศ. 2025) จำนวน 14,683,500 บาท

                                      3) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปสำรวจ/เข้าร่วมพิธีเปิด - ปิด/เข้าร่วมงานการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์และอาเซียนพาราเกมส์ฯ/งานพิธีไฟพระฤกษ์ของคณะกรรมการสาขา/คณะทำงาน/เจ้าหน้าที่ จำนวน 3,645,500 บาท

                             4.2 ค่าใช้จ่ายสาขาการประชาสัมพันธ์ การดำเนินการศูนย์ถ่ายทอดสัญญาณฯ (IBC) จำนวน 30,000,000 บาท

                             4.3 ค่าใช้จ่ายในการจัดจ้างดำเนินการจัดหาที่พัก อาหาร ขนส่ง และ ค่าซักรีด ของ

นักกีฬา เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และผู้เข้าร่วมการแข่งขันจากต่างประเทศ จำนวน 259,680,200 บาทโดยให้การกีฬาแห่งประเทศไทย ดำเนินการจัดหารายได้จากการแข่งขัน ตลอดจนการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้เกิดภาระต่องบประมาณในสัดส่วนที่เหมาะสม รวมถึงพิจารณากำหนดกลไกในการขับเคลื่อนโครงการดังกล่าวให้บรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ และจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบด้านให้ครอบคลุมในทุกมิติ รวมถึงสถานการณ์หรือผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและความปลอดภัยในการจัดการแข่งขันด้วย และเพื่อให้การจัดการแข่งขัน กีฬาซีเกมส์และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ฯ เกิดประโยชน์สูงสุด

                   เห็นควรให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผน แนวทางกลยุทธ์และเป้าหมายในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ สังคม และองค์ความรู้อย่างเป็นรูปธรรม และเมื่อดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว ขอให้การกีฬาแห่งประเทศไทยรายงานผลการใช้จ่ายงบประมาณสำหรับการจัดงานในครั้งนี้ให้สำนักงบประมาณทราบด้วย โดยนายกรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2568

                   ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

                             (1) สร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยสู่สายตาประชาคมอาเซียน ผ่านการถ่ายทอดสดการแข่งขันฯ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวและนักลงทุนนานาชาติ ให้เห็นถึง ศักยภาพความพร้อมของประเทศในทุก ๆ ด้าน ทั้งในด้านการท่องเที่ยว เศรษฐกิจ สังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะสามารถสร้างรายได้ ให้กับประเทศเกิดการหมุนเวียนในระบบ

                             (2) แสดงความเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและกีฬาอีกทั้งยังสร้างชื่อเสียง ในฐานะเป็นประเทศที่มีการจัดกิจกรรมการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ขึ้นในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจจากการจัดกิจกรรมกีฬาและการแข่งขันกีฬาทุกระดับเพิ่มขึ้น

                             (3) สร้างแรงบันดาลใจให้นักกีฬาไทย และเยาวชนที่รักการออกกำลังกาย และแข่งขันกีฬา มีความมุ่งมั่นใฝ่ฝันที่จะก้าวมาเป็นนักกีฬาทีมชาติไทย สร้างแรงกระตุ้นในการมีส่วนร่วมและความภูมิใจของประชาชนชาวไทย ในการที่ประเทศไทยได้เป็นประเทศเจ้าภาพในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025)

                             (4) ประเทศไทยและนักกีฬา ประสบความสำเร็จเป็นเจ้าเหรียญทอง โดยมีเป้าหมายเหรียญรางวัลในการแข่งขันฯ ได้แก่ กีฬาซีเกมส์ 252 เหรียญทอง และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ 233 เหรียญทอง

                             (5) ประมาณการมูลค่าทางเศรษฐกิจ จำนวน 5,285,000,000 บาท

 

4. เรื่อง กรอบและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2569

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒนาฯ) เสนอ ดังนี้

                   1. เห็นชอบกรอบและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2569 โดยมีวงเงินดำเนินการ จำนวน 1,479,199 ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน 265,577 ล้านบาท ประกอบด้วย (1) กรอบการลงทุนสำหรับงานตามภารกิจปกติและโครงการที่ได้รับอนุมัติตามขั้นตอนแล้ว (วงเงินดำเนินการ จำนวน 1,179,199 ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน 215,577 ล้านบาท) และ (2) กรอบการลงทุนสำหรับการเพิ่มเติมระหว่างปี วงเงินดำเนินการ จำนวน 300,000 ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุนจำนวน 50,000 ล้านบาท เพื่อความคล่องตัวในการบริหารจัดการและให้รัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการได้ทันทีภายในปีงบประมาณ

                   2. เห็นชอบให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ปรับวงเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2569 ให้สอดคล้องกับผลการจัดสรรงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 รวมถึงงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม     งบกลาง หรืองบประมาณที่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตามหลักเกณฑ์และวิธีการงบประมาณหรือได้รับความเห็นชอบจากสำนักงบประมาณ (สงป.) แล้ว และปรับเพิ่มกรอบวงเงินดำเนินการและกรอบวงเงินเบิกจ่ายลงทุนให้สอดคล้องกับผลการอนุมัติตามขั้นตอนของกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง

                   3. มอบหมายให้สภาพัฒนาฯ โดยประธานสภาพัฒนาฯ เป็นผู้พิจารณา อนุมัติการเปลี่ยนแปลงงบลงทุนระหว่างปีภายใต้กรอบและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2569 ที่ได้รับความเห็นชอบไว้แล้ว (ตามข้อ 1.) เพื่อความคล่องตัวในการดำเนินการ สำหรับโครงการลงทุนที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบตามขั้นตอนและการลงทุนที่ใช้เงินงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 เห็นควรให้รัฐวิสาหกิจดำเนินการได้เมื่อได้รับอนุมัติแล้ว ทั้งนี้ กำหนดเป้าหมายให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 ของวงเงินอนุมัติเบิกจ่ายลงทุน

                   4. เห็นชอบข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ระดับกระทรวง และระดับรัฐวิสาหกิจ โดยให้กระทรวงเจ้าสังกัดและรัฐวิสาหกิจรับข้อเสนอแนะในส่วนที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการ และเห็นควรให้รัฐวิสาหกิจรายงานผลความก้าวหน้าของการดำเนินงาน และการลงทุนปี 2569 ให้ สศช. ทราบภายในวันที่ 5 ของเดือนอย่างเคร่งครัด รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะและความก้าวหน้าการดำเนินโครงการลงทุน ทุกไตรมาส เพื่อประโยชน์ในการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและการลงทุนของรัฐวิสาหกิจได้อย่างต่อเนื่อง

                   5. รับทราบประมาณการงบทำการประจำปีงบประมาณ 2569 ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ 86,492 ล้านบาท และประมาณการแนวโน้มการดำเนินงาน ช่วงปี 2570 - 2572 ของรัฐวิสาหกิจในเบื้องต้นที่คาดว่าจะมีการลงทุนเฉลี่ยประมาณปีละ 353,702 ล้านบาท และผลประกอบการจะมีกำไรสุทธิเฉลี่ยประมาณปีละ 90,287 ล้านบาท

                   สาระสำคัญ

                   1. สภาพัฒนาฯ รายงานว่า รัฐวิสาหกิจ จำนวน 46 แห่ง ภายใต้สังกัด 15 กระทรวง ได้ส่งข้อเสนองบลงทุนประจำปีงบประมาณ 2569 ให้ สศช. พิจารณาตามนัยพระราชบัญญัติสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2561 และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ  พ.ศ. 2550 ซึ่งสภาพัฒนาฯ ได้กำหนดแนวทางการพิจารณากลั่นกรองการลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2569 โดยเน้นให้ความสำคัญกับประเด็นต่าง ๆ เช่น (1) ความสอดคล้องกับกรอบทิศทางการพัฒนาประเทศ และ (2) ความพร้อมในการดำเนินการทั้งด้านกายภาพและฐานะการเงิน ทั้งนี้ สภาพัฒนาฯได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณางบลงทุนประจำปีของรัฐวิสาหกิจ (คณะอนุกรรมการฯ) ซึ่งมีเลขาธิการ สศช. เป็นประธาน เพื่อพิจารณารายละเอียดข้อเสนอดังกล่าวก่อนเสนอสภาพัฒนาฯ พิจารณา รวมทั้งได้เชิญผู้แทนกระทรวงเจ้าสังกัดเข้าร่วมพิจารณาด้วย

                   2. สภาพัฒนาฯ ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2568 ได้พิจารณากรอบและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2569 ตามผลการพิจารณาของคณะอนุกรรมการฯ โดยมีมติสรุปได้ ดังนี้

                             2.1 งบลงทุน

                             เห็นชอบกรอบและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2569 วงเงินดำเนินการ จำนวน 1,479,199 ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน 265,577 ล้านบาท ประกอบด้วย

                                      (1) กรอบการลงทุนสำหรับงานตามภารกิจปกติและโครงการต่อเนื่องวงเงินดำเนินการ จำนวน 1,179,199 ล้านบาท (งบลงทุนผูกพัน จำนวน 1,009,977 ล้านบาท และงบลงทุนที่เสนอขอใหม่ในปีนี้ จำนวน 169,222 ล้านบาท) และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน 215,577 ล้านบาท     (งบลงทุนผูกพัน จำนวน 160,062 ล้านบาท และงบลงทุนที่เสนอขอใหม่ในปีนี้ จำนวน 55,515 ล้านบาท) โดยส่วนใหญ่เป็นการเบิกจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจด้านพลังงาน [เช่น กระทรวงพลังงาน (พน.) และกระทรวงมหาดไทย (มท.)] คิดเป็นร้อยละ 38.8 และรัฐวิสาหกิจด้านคมนาคมขนส่ง ร้อยละ 37.7 ของวงเงินเบิกจ่ายลงทุนในภาพรวม

                                      ทั้งนี้ มีโครงการลงทุนที่สำคัญปี 2569 เช่น โครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ ภาคกลาง และกรุงเทพมหานครเพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) วงเงินเบิกจ่ายลงทุน 4,489 ล้านบาท โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยง ภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) วงเงินเบิกจ่ายลงทุน 11,896 ล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) วงเงินเบิกจ่ายลงทุน 11,326 ล้านบาท และโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) วงเงินเบิกจ่ายลงทุน 3,814 ล้านบาท

                                       (2) กรอบการลงทุนสำหรับการเพิ่มเติมระหว่างปี วงเงินดำเนินการ จำนวน 300,000 ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน 50,000 ล้านบาท

                                      นอกจากนี้ เมื่อรวมการลงทุนของรัฐวิสาหกิจประเภทบริษัทมหาชนจำกัดและบริษัทในเครือ จำนวน 5 แห่ง (รวมรัฐวิสาหกิจทั้งหมด 51 แห่ง) แล้วทำให้ในภาพรวมจะมีการลงทุนตามภารกิจปกติและโครงการที่ได้รับอนุมัติตามขั้นตอนแล้ว (ไม่รวมกรอบสำหรับการปรับเพิ่มเติมระหว่างปี) ประกอบด้วย วงเงินดำเนินการ จำนวน 1,560,059 ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน 441,616 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้

 

ประเภทรัฐวิสาหกิจ

งบลงทุน

วงเงินดำเนินการ

วงเงินเบิกจ่ายลงทุน

รัฐวิสาหกิจ (46 แห่ง)

1,179,199

215,577

รัฐวิสาหกิจประเภทบริษัทมหาชนและบริษัทในเครือ (5 แห่ง)

380,860

226,039

ภาพรวมทั้งหมด (รัฐวิสาหกิจ จำนวน 51 แห่ง)

1,560,059

441,616

                                      อย่างไรก็ดี สำหรับการลงทุนที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบหรือดำเนินการตามขั้นตอน และการลงทุนที่ใช้เงินงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ให้รัฐวิสาหกิจดำเนินการได้เมื่อได้รับอนุมัติแล้ว รวมทั้งให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 ของวงเงินอนุมัติให้เบิกจ่ายลงทุน

                             2.2 งบทำการ

                             รับทราบประมาณการงบทำการประจำปีงบประมาณ 2569 ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ จำนวน 86,492 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2568 ประมาณร้อยละ 21.4 โดยมีรายได้รวม จำนวน 2,043,459 ล้านบาท และรายจ่ายรวม จำนวน 1,956,967 ล้านบาท ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการฯ มีข้อสังเกตว่า ผลประกอบการของรัฐวิสาหกิจในปี 2569 อาจเปลี่ยนแปลงไปตามสมมติฐานและปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ เช่น (1) ความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจและราคาพลังงาน (2) สถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงในระดับโลก (3) ความสามารถในการดำเนินการตามแผนธุรกิจ (4) ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (5) ความผันผวนของราคาสินค้าด้านการเกษตร และ (6) การจัดสรรเงินงบประมาณเพื่ออุดหนุนการดำเนินงานเมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ประกาศใช้

                             2.3 แนวโน้มการดำเนินงานปี 2570 – 2572

                             รับทราบประมาณการแนวโน้มการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ (จำนวน 46 แห่ง) ในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยในเบื้องต้นคาดว่าจะมีการเบิกจ่ายลงทุนรวม จำนวน 1,061,107 ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณปีละ 353,702 ล้านบาท และผลประกอบการ จะมีกำไรสุทธิรวม จำนวน 270,861 ล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 90,287 ล้านบาท

                             2.4 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายให้รัฐวิสาหกิจดำเนินการ เช่น

ประเด็น

ข้อเสนอแนะของสภาพัฒนาฯ

การเร่งรัดกระบวนการ

เพื่อลงนามสัญญา

และเบิกจ่ายลงทุน

 

ให้รัฐวิสาหกิจเร่งรัดการเบิกจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 ของกรอบวงเงินประจำปีที่ได้รับอนุมัติเบิกจ่ายลงทุน โดยเร่งกระบวนการและการบริหารจัดการภายในที่เอื้อให้การลงทุนที่ได้รับอนุมัติสามารถผูกพันสัญญา/ก่อหนี้ได้ตามเป้าหมายตั้งแต่ในช่วงต้นปีงบประมาณเพื่อให้การลงทุนสามารถกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และมีผลลัพธ์ที่สนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาประเทศได้ตามกรอบเวลา

การทบทวน

ความจำเป็นเหมาะสม

ของรายการลงทุนคงค้าง

- ให้รัฐวิสาหกิจพิจารณาทบทวนความเหมาะสมจำเป็นของรายการลงทุนคงค้าง โดยเฉพาะแผนระยะยาว/โครงการที่ได้รับอนุมัติไว้แล้วและยังไม่ได้ดำเนินการ

- หากจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์หรือหมดความจำเป็นแล้ว ให้เสนอขอปรับปรุงหรือยกเลิกการลงทุนตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้รวมถึงรายการลงทุนที่ได้รับอนุมัติไว้แล้วแต่ยังไม่ได้รับจัดสรรเงินงบประมาณด้วย

การส่งเสริมความยั่งยืน

และการบริหารความเสี่ยง

ภายใต้ความผันผวน

ของบริบทโลก

 

 

 

 

 

 

 

- รัฐวิสาหกิจต้องให้ความสำคัญมากขึ้นกับการวางแผนการลงทุนเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนและสังคมคาร์บอนต่ำ และการรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในระดับโลก เช่น ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์

- ให้รัฐวิสาหกิจพิจารณาจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนภายใต้บริบทโลกใหม่ โดยเฉพาะทิศทางการค้าระหว่างประเทศและการดำเนินนโยบายทางภาษีที่อาจกระทบกับการลงทุน การผลิตและการให้บริการ ทั้งนี้ เพื่อให้องค์กรมีความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์และความเสี่ยงต่าง ๆ ได้อย่างทันท่วงที

 

5. เรื่อง ปรับปรุงการมอบหมายผู้มีอำนาจกำกับแผนงานบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติปรับปรุงการมอบหมายผู้มีอำนาจกำกับแผนงานบูรณาการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 (แผนงานบูรณาการฯ) ตามที่สำนักงบประมาณ (สงป.) เสนอ

                    สาระสำคัญของเรื่อง

                   1. เดิมคณะรัฐมนตรีมีมติ (11 ธันวาคม 2567) อนุมัติการจัดทำงบประมาณรายจ่ายบูรณาการ และมอบหมายผู้มีอำนาจกำกับแผนงานบูรณาการฯ โดยเห็นสมควรมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการจัดทำงบประมาณรายจ่ายบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวน 9 แผนงาน และมีมติ (15 กรกฎาคม 2568) อนุมัติการปรับปรุงการมอบหมายผู้มีอำนาจกำกับแผนงานบูรณาการฯ เพื่อให้สอดคล้องกับคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี

                   2. ต่อมาได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ นายกรัฐมนตรีจึงได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 301/68 ลงวันที่ 24 กันยายน 2568 (เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี) และคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 302/68 ลงวันที่ 24 กันยายน 2568 (เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ  รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย  และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี มีผลทำให้ผู้มีอำนาจกำกับแผนงานบูรณาการฯ เปลี่ยนแปลงไปจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติไว้

                   3. ในครั้งนี้ สงป. จึงขอเสนอปรับปรุงการมอบหมายรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการจัดทำงบประมาณรายจ่ายบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 เพื่อให้การจัดทำงบประมาณรายจ่ายเป็นไปด้วยความเรียบร้อย  และสอดคล้องกับการมอบหมายและมอบอำนาจรองนายกรัฐมนตรีข้างต้น โดยที่รายละเอียดและจำนวนแผนงานบูรณาการฯ  จำนวน 9 แผนงาน ยังคงเดิม ดังนี้

แผนบูรณาการ

รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับแผนงานบูรณาการ

(1) การขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ

(2) เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก

(3) รัฐบาลดิจิทัล

(4) การป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด

นายโสภณ ซารัมย์

(5) การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ

(6) การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ

นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ

(7) การสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว

ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า

(8) การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสังคมสูงวัย

(9) การพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต

นายสุชาติ ชมกลิ่น

 

6. เรื่อง ขอความเห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันวิ่งมาราธอนในเมืองหลวง (World Capital Marathon Series) รายการ Amazing Thailand Marathon Bangkok ประจำปี 2568 – 2570 (3 ปี)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการกรอบวงเงินงบประมาณค่าลิขสิทธิ์และค่าภาษีที่เกี่ยวข้อง ในการเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันวิ่งมาราธอนในเมืองหลวง (World Capital Marathon Series) รายการ Amazing Thailand Marathon Bangkok ประจำปี 2568 - 2570 (3 ปี) วงเงิน 260,576,400 บาท ประกอบด้วย ค่าลิขสิทธิ์ จำนวน 6,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือปีละ 2,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าภาษีที่เกี่ยวข้อง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้การกีฬาแห่งประเทศไทยนำเงินรายได้จาก ผู้สนับสนุน รายได้จากค่าสมัคร รายได้จากการขายของที่ระลึก และรายได้จากบูธแสดงสินค้า เงินกองทุน พัฒนาการกีฬาแห่งชาติ และเงินสะสมการกีฬาแห่งประเทศไทย หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ หรือโอนเงินจัดสรร ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. 2562 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาสมทบค่าลิขสิทธิ์และค่าภาษีในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอเห็นควรให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามความเหมาะสมและเป็นไปตามขั้นตอนของระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. 2562 และจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่ครอบคลุมทุกแหล่งเงิน เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป

                   สาระสำคัญของเรื่อง

การกีฬาแห่งประเทศไทย ได้ดำเนินการจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมตามข้อคิดเห็นของสำนักงบประมาณ (สงป.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีรายละเอียดสรุป ดังนี้

1. แนวทางการสร้างรายได้และมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ

          1.1 การกีฬาแห่งประเทศไทย (คณะทำงานฝ่ายสิทธิประโยชน์) ได้มีการหารือล่วงหน้ากับภาครัฐ และภาคเอกชน ที่มีความพร้อมในการให้การสนับสนุนงบประมาณของการจัดการแข่งขันในส่วนที่ยังไม่เพียงพอ ซึ่งได้ผลการตอบรับเป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีการเปิดให้ลงทะเบียนสมัครแข่งขันล่วงหน้า ซึ่งปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนเต็มจำนวน คาดว่าจะสามารถหางบประมาณในส่วนนี้ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด

                             1.2 การจัดการแข่งขันวิ่งมาราธอนในเมืองหลวง รายการ Amazing Thailand Marathon Bangkok 2025 ประจำปี 2568 ได้กำหนดการจัดการแข่งขันฯ ขึ้นระหว่างวันที่ 27 – 30 พฤศจิกายน 2568 ณ กรุงเทพมหานคร ซึ่งจะเป็นปีแรกที่ได้รับการบรรจุอยู่ในการแข่งขันวิ่งมาราธอนซีรี่ย์ระดับโลก (World Capital Marathon Series) จากสมาคมกรีฑาโลก และได้รับเกียรติจาก มร.เอเลียด คิปโชเก้ ตำนานนักวิ่งมาราธอนชื่อดังของโลกชาวเคนย่า มาร่วมการแข่งขันในฐานะทูตด้านการท่องเที่ยว    กีฬาและวัฒนธรรมของประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยคาดการณ์ว่าจะมีผู้เข้าร่วมการแข่งขัน ผู้ชมการแข่งขันและผู้ติดตาม รวมถึงมูลค่าเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในช่วงการแข่งขัน เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก รายละเอียดดังนี้

                             1) จำนวนของผู้เข้าร่วมการแข่งขัน ผู้ชมการแข่งขัน และผู้ติดตาม รวมทั้งสิ้น จำนวน 80,000 คน ประกอบด้วย

                             - ประเภทมาราธอน ระยะ 42 กม. มีผู้เข้าแข่งขัน จำนวน 7,000 คน

                             - ประเภทฮาล์ฟมาราธอน ระยะ 21 กม. มีผู้เข้าแข่งขัน จำนวน 12,500 คน

                             - ประเภทมินิมาราธอน ระยะ 10 กม. มีผู้เข้าแข่งขัน จำนวน 13,000 คน

                             - ประเภทแฟมิลี่รัน ระยะ 4.5 กม. มีผู้เข้าแข่งขัน จำนวน 3,500 คน

                             - ผู้ติดตามและครอบครัว จำนวน 22,000 คน

                             - เจ้าหน้าที่ อาสาสมัคร นักเรียน นักศึกษา จำนวน 7,000 คน

                             - ประชาชนทั่วไป (ผู้ชมการแข่งขันตลอดเส้นทาง) จำนวน 15,000 คน โดยแบ่งเป็นผู้เข้าร่วมการแข่งขันชาวไทย จำนวน 27,500 คน ผู้เข้าร่วมการแข่งขันชาวต่างชาติ จำนวน 4,250 คน และผู้เข้าร่วมการแข่งขันชาวต่างชาติที่พำนักในไทย จำนวน 4,250 คน

                             2) ข้อมูลด้านมูลค่าเศรษฐกิจในช่วงการแข่งขัน จะสร้างรายได้ทั้งทางตรงและทางอ้อมให้กับเศรษฐกิจของประเทศ โดยคิดเป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า 1,459 ล้านบาท รายละเอียด ดังนี้

                             - รายได้ทางตรง (Direct Impact) เกิดการจ้างงานในบุคลากรและหน่วยงานต่าง ๆ จำนวนประมาณ 7,000 คน อาทิ อาสาสมัคร นักเรียน นักศึกษา เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย หน่วยแพทย์ พยาบาล การประชาสัมพันธ์ ฯลฯ คิดเป็นมูลค่าจำนวน 70 ล้านบาท

                             - รายได้ทางอ้อม (Economic Impact) ก่อให้เกิดการเดินทางมาท่องเที่ยวและแข่งขัน จากการเดินทางภายในประเทศและต่างประเทศ จากผู้แข่งขัน จำนวน 36,000 คน, ครอบครัวและผู้ติดตาม จำนวน 22,000 คน กองเชียร์/คนดูระหว่างเส้นทางแข่งขัน จำนวน 15,000 คน คิดเป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า 1,099 ล้านบาท

                             - มีผู้รับรู้ข่าวสารจากการประชาสัมพันธ์ (Media Returns) และการถ่ายทอดสดทั่วโลกมากกว่า 180,000,000 ครัวเรือน (ประมาณ 450 ล้านคน) คิดเป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า 290 ล้านบาท

                   2. แนวทางการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพในด้านต่าง ๆ

                             2.1 การเตรียมความพร้อมด้านสนามแข่งขัน การกีฬาแห่งประเทศไทยและคณะกรรมการอำนวยการจัดงานฯ ได้ร่วมประชุมกับกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ณ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร โดยรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานในที่ประชุม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดเตรียมความพร้อมของสถานที่แข่งขันให้เป็นไปตามข้อกำหนดของสนามกรีฑาโลก (World Athletics) และสั่งการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2568 สมาคมกรีฑาโลกจะส่งผู้แทนเดินทางมาตรวจความพร้อมด้านสถานที่จัดงาน ร่วมหารือและให้คำแนะนำในการดำเนินงานตามขั้นตอนของการเตรียมงานในลำดับต่อไป

                             2.2 การเตรียมความพร้อมด้านเส้นทางแข่งขัน การจราจร และความปลอดภัย โดยการกีฬาแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการอำนวยการจัดงานฯ ได้ร่วมประชุมกับกองบัญชาการตำรวจ    นครบาล เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ณ กองบัญชาการตำรวจนครบาล โดยผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นประธานในที่ประชุม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมด้านเส้นทางแข่งขันฯ การจราจรและความปลอดภัย ตลอดจนการบริหารผลกระทบที่จะมีต่อผู้พักอาศัยตลอดเส้นทางแข่งขันฯ และสั่งการไปยังหน่วยงานภายในที่เกี่ยวข้อง ให้จัดเตรียมแผนกำลังพล แผนการปิดการจราจร แผนการลำเลียงผู้บาดเจ็บและแผนการลดผลกระทบต่อประชาชนทั่วไป ฯลฯ โดยให้จัดทำรายงานส่งกลับ และหารือกับคณะทำงานของสมาคมกรีฑาโลก และคณะกรรมการฯ อย่างใกล้ชิด ในลำดับต่อไป

                             2.3 การเตรียมความพร้อมด้านการถ่ายทอดสดการแข่งขัน เนื่องจากการแข่งขันวิ่งมาราธอนรายการนี้ จะเป็นรายการระดับโลกที่มีผู้สนใจรับชมจากทั่วโลกเป็นจำนวนมากสมาคมกรีฑาโลก (World Athletics) จึงกำหนดให้มีการถ่ายทอดสดและเผยแพร่ไปทั่วโลก ผ่านช่องทางการรับชมทางโทรทัศน์ และทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ตามมาตรฐานของการจัดการแข่งขันของสมาคมกรีฑาโลก (Event Guide) จึงได้ประสานและดำเนินการร่วมกับสถานีไทยพีบีเอส เพื่อจัดเตรียมอุปกรณ์ในการดำเนินการถ่ายทอดให้เป็นไปตามข้อกำหนดของสมาคมกรีฑาโลก โดยมีการทดสอบการถ่ายทอดไปแล้ว 1 ครั้ง เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากสมาคมกรีฑาโลกและได้รับความพึงพอใจในคุณภาพของการถ่ายทอดสดดังกล่าวจากสมาคมกรีฑาโลก (World Athletics) โดยการกีฬาแห่งประเทศไทยและคณะกรรมการอำนวยการจัดงานฯ ได้ร่วมประชุมกับสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เพื่อเตรียมความพร้อมด้านการถ่ายทอดสด เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ณ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส โดยรองผู้อำนวยการสถานีฯ เป็นประธานในที่ประชุม และสั่งการให้จัดทำแผนการทำงาน แผนบุคลากรและแผนประชาสัมพันธ์ และหารือร่วมกับคณะทำงานของสมาคมกรีฑาโลก และคณะกรรมการฯ อย่างใกล้ชิดในลำดับต่อไป

                   3. การกีฬาแห่งประเทศไทย ได้หารือร่วมกับกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติถึงความเป็นไปได้ในการขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนฯ โดยได้รับความเห็นว่า เนื่องจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ได้ดำเนินการจัดส่งแผนการดำเนินงาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ต่อกระทรวงการคลัง กรมบัญชีกลาง เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568 (ได้รับอนุมัติเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568) ซึ่งการขอรับการสนับสนุนงบประมาณสำหรับค่าลิขสิทธิ์ฯ ดังกล่าว ไม่สามารถบรรจุอยู่ในแผนการดำเนินงานของกองทุน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ได้ทัน อย่างไรก็ตามการกีฬาแห่งประเทศไทย ได้ดำเนินการเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 สำหรับเป็นค่าลิขสิทธิ์การจัดการแข่งขันวิ่งมาราธอนในเมืองหลวง (World Capital Marathon Series) รายการ Amazing Thailand Marathon Bangkok ประจำปี 2568 - 2570 (3 ปี) เพื่อให้ภาระต่องบประมาณอยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสมตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ อยู่ระหว่างการพิจารณาของกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ

                   4. ความเสี่ยงและผลกระทบในทางลบที่อาจจะเกิดขึ้นจากการจัดการแข่งขันฯ ที่มีต่อชุมชน

                             4.1 เส้นทางการแข่งขันที่ได้รับการรับรองจากสมาคมกรีฑาโลก (World Athletics Road Label Approval) โดยมีรายละเอียด ดังนี้

                             1) ประเภทมาราธอน 42.195 กม. โดยจุดปล่อยตัวเริ่มจาก ถนนพญาไท หน้า MBK CENTER วิ่งผ่านแยกสะพานชมัยมรุเชฐ (แยกทำเนียบรัฐบาล) ก่อนถึงพระบรมรูปทรงม้าบนทางคู่ขนานลอยฟ้าถนนบรมราชชนนี ถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย วิ่งย้อนบนถนนสนามไชย (ฝั่งวัดพระศรีรัตนศาสดาราม) วิ่งเลียบฝั่งสนามหลวง เข้าถนนราชดำเนินใน ก่อนเลี้ยวซ้ายเข้าเส้นชัย ณ บริเวณท้องสนามหลวง

                             2) ประเภทฮาล์ฟมาราธอน 21.1 กม. โดยจุดปล่อยตัวเริ่มจาก ถนนพญาไท หน้า MBK CENTER วิ่งผ่านแยกสะพานชมัยมรุเชฐ (แยกทำเนียบรัฐบาล) ก่อนถึงพระบรมรูปทรงม้า ผ่านสะพาน ผ่านฟ้าลีลาศ ถนนราชดำเนินกลาง ถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย วิ่งย้อนบนถนนสนามไชย (ฝั่งวัดพระศรีรัตนศาสดาราม) วิ่งเลียบฝั่งสนามหลวง เข้าถนนราชดำเนินใน ก่อนเลี้ยวซ้ายเข้าเส้นชัย ณ บริเวณท้องสนามหลวง

                             3) ประเภท 10 กม. โดยจุดปล่อยตัวเริ่มจาก หน้าศาลฎีกา ถนนราชดำเนินใน ผ่านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พระบรมรูปทรงม้า กลับตัวหน้าอุทยานเฉลิมพระเกียรติฯ รัชกาลที่ 9 วิ่งย้อนบนถนนราชดำเนิน ถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เข้าถนนดินสอ ถึงถนนสนามไชย (ฝั่งวัดพระศรีรัตนศาสดาราม) วิ่งเลียบฝั่งสนามหลวง เข้าถนนราชดำเนินใน ก่อนเลี้ยวซ้ายเข้าเส้นชัย ณ บริเวณท้องสนามหลวง

                             4) ประเภทแฟมิลี่รัน 4.5 กม. โดยจุดปล่อยตัวเริ่มจาก หน้าศาลฎีกา ถนนราชดำเนินใน ผ่านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พระบรมรูปทรงม้า กลับตัวหน้าแยก จ.ป.ร. (หน้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์) วิ่งย้อนบนถนนราชดำเนิน ถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เข้าถนนดินสอ ถึงถนนสนามไชย (ฝั่งวัดพระศรีรัตนศาสดาราม) วิ่งเลียบฝั่งสนามหลวง เข้าถนนราชดำเนินใน ก่อนเลี้ยวซ้ายเข้าเส้นชัย ณ บริเวณท้องสนามหลวง

                   ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

                   1) สร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยสู่สายตาประชาคมโลก ผ่านการประชาสัมพันธ์เต็มรูปแบบ อาทิ การถ่ายทอดสดการแข่งขันฯ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ให้เห็นถึงศักยภาพความพร้อมของประเทศในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งศักยภาพด้านการจัดงานระดับโลก หรือ World Class Event

                   2) ประเทศไทยจะมีรายได้จากการใช้จ่ายเงินจากผู้เข้าร่วมการแข่งขัน ผู้ติดตามและผู้ชมการแข่งขัน ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่จะเดินทางมาร่วมการแข่งขัน ตลอด 3 ปี ไม่น้อยกว่า 3,297 ล้านบาท (ปีละไม่น้อยกว่า 1,099 ล้านบาท) เกิดการว่าจ้างงาน สำหรับเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ อาสาสมัคร นักเรียนและนักศึกษา ที่จะมาปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ ตลอด 6 เดือนก่อนการแข่งขัน ตลอด 3 ปี มากกว่า 21,000 อัตรา (ปีละไม่น้อยกว่า 7,000 อัตรา) ในส่วนของมูลค่าด้านการประชาสัมพันธ์ตลอดทั้งโครงการที่ประกอบไปด้วยการถ่ายทอดสดการแข่งขันไปทั่วโลก การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ในทุกแพลตฟอร์มคิดเป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า 870 ล้านบาท (ปีละไม่น้อยกว่า 290 ล้านบาท) ครอบคลุมปีละไม่น้อยกว่า 180 ล้านครัวเรือนทั่วโลก (หรือประมาณ 450 ล้านคนต่อปี) คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจที่คาดว่าประเทศไทยจะได้รับจากการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฯ ตลอดทั้งโครงการ (3 ปี) เป็นจำนวนทั้งสิ้นไม่น้อยกว่า 4,377 ล้านบาท

                   3) สร้างโอกาสให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของด้านการกีฬาเชิงท่องเที่ยวซึ่งการได้รับการรับรองให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพของรายการวิ่งมาราธอนระดับโลก (World Capital Marathon Series) จะถูกบรรจุอยู่ในปฏิทินของการแข่งขันมาราธอนในเมืองหลวง 1 ใน 8 รายการของโลก ซึ่งนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ชื่นชอบในการออกกำลังกาย หรือการวิ่ง จะเกิดความเชื่อมั่นและตัดสินใจในการวางแผนการเดินทางมาร่วมแข่งขันล่วงหน้าในปีถัดไป เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 10

                   4) ส่งเสริมให้เด็ก เยาวชน คนรุ่นใหม่ และประชาชนทั่วไป เกิดความต้องการในการออกกำลังกายและเล่นกีฬาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลในระยะยาวต่อการมีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่ดีห่างไกลยาเสพติดมีทัศนคติที่ดีในการดำรงชีวิต ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญในการเสริมสร้างสังคมให้เข้มแข็ง มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน

 

7. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน ครั้งที่ 4/2568

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอ ดังนี้

                   1. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส ยกเว้นอำเภอยี่งอ อำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอแว้ง และอำเภอสุคิริน จังหวัดปัตตานี ยกเว้นอำเภอยะหริ่ง อำเภอปะนาเระ อำเภอมายอ อำเภอไม้แก่น อำเภอทุ่งยางแดง อำเภอกะพ้อ และอำเภอแม่ลาน และจังหวัดยะลา ยกเว้นอำเภอเบตง อำเภอยะหา อำเภอรามัน อำเภอกาบัง และอำเภอกรงปินัง ออกไปอีก  3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 19 มกราคม 2569 ซึ่งเป็นการขยายระยะเวลาครั้งที่ 82 พร้อมทั้งร่างประกาศฯ รวม 2 ฉบับ ดังนี้

                             (1) ร่างประกาศ เรื่อง การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส ยกเว้นอำเภอยี่งอ อำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอแว้งและอำเภอสุคิริน จังหวัดปัตตานี ยกเว้นอำเภอยะหริ่ง อำเภอปะนาเระ อำเภอมายอ อำเภอไม้แก่น อำเภอทุ่งยางแดง อำเภอกะพ้อ และอำเภอแม่ลาน และจังหวัดยะลา ยกเว้นอำเภอเบตง อำเภอยะหา อำเภอรามัน อำเภอกาบัง และอำเภอกรงปินัง

                             (2) ร่างประกาศ เรื่อง การให้ประกาศที่คณะรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงยังคงมีผลใช้บังคับ

                   2. รับทราบร่างประกาศ เรื่อง การให้ประกาศและคำสั่งที่นายกรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงยังคงมีผลใช้บังคับ

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   1. การแก้ไขปัญหาในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ได้มีการใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2548 (รวม 33 อำเภอ) และได้มีการขยายระยะเวลาจนถึงปัจจุบัน รวม 81 ครั้ง (ปัจจุบันมี 17 อำเภอ) โดยมีระยะเวลาการใช้บังคับครั้งละ 3 เดือน ตามมาตรา 5 วรรคสองแห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ซึ่งกำหนดให้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินมีระยะเวลาต้องไม่เกิน 3 เดือนนับแต่วันประกาศ และให้ขยายระยะเวลาการใช้บังคับออกไปอีกเป็นคราว ๆ คราวละไม่เกิน 3 เดือน โดยประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา (รวม 17 อำเภอ) ล่าสุด จะครบกำหนดการขยายระยะเวลาในวันที่ 19 ตุลาคม 2568

                   2. สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติจึงได้เสนอเรื่องต่อคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อพิจารณา ซึ่งในคราวประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินครั้งที่ 4/2568 เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2568 เห็นว่าเนื่องจากยังมีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นควรขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส 9 อำเภอ ยกเว้นอำเภอยี่งอ อำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอแว้ง และอำเภอสุคิริน จังหวัดปัตตานี 5 อำเภอ ยกเว้นอำเภอยะหริ่ง อำเภอปะนาเระ อำเภอมายอ อำเภอไม้แก่น อำเภอทุ่งยางแดง อำเภอกะพ้อ และอำเภอแม่ลาน และจังหวัดยะลา 3 อำเภอ ยกเว้นอำเภอเบตง อำเภอยะหา อำเภอรามัน อำเภอกาบัง และอำเภอกรงปินัง ออกไปอีก 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 19 มกราคม 2569 ซึ่งเป็นการขยายระยะเวลาครั้งที่ 82 (พื้นที่คงเดิม) เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการป้องกัน ระงับ ยับยั้งเหตุการณ์ในพื้นที่ให้ยุติลงโดยเร็ว รวมทั้งหากไม่มีการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะส่งผลให้ผู้ก่อเหตุความรุนแรงที่อยู่ในการควบคุมตัวในกระบวนการซักถามของฝ่ายความมั่นคงและที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมต้องได้รับการปล่อยตัวทั้งหมด ซึ่งอาจส่งผลต่อการสืบสวนสอบสวนเพื่อแสวงหาพยานหลักฐานในการดำเนินคดีความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

 

ต่างประเทศ

8. เรื่อง การประชุมระดับรัฐมนตรีเอเปคด้านการปฏิรูปโครงสร้าง ครั้งที่ 4

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)  เสนอ ดังนี้

                   1. เห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมระดับรัฐมนตรีเอเปคด้านการปฏิรูปโครงสร้าง ครั้งที่ 4 จำนวน 4 ฉบับ ได้แก่ (1) ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านการปฏิรูปโครงสร้าง ปี 2568 (2) เอกสารการยกระดับวาระการปฏิรูปโครงสร้างเอเปคที่เข้มแข็ง (3) แผนปฏิบัติการ เอเปคเรื่องความยากง่ายในการดำเนินธุรกิจ ระยะที่ 4 และ (4) หลักการเอเปคว่าด้วยการบริการและการปฏิรูปโครงสร้าง ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงถ้อยคำในเอกสารดังกล่าวในกรณีที่มิใช่การเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญ ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสามารถดำเนินการได้ตามเหมาะสม โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบอีก

                   2. เห็นชอบให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทนที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมาย เข้าร่วมการประชุมในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายไทยในการประชุมระดับรัฐมนตรีเอเปคด้านการปฏิรูปโครงสร้าง ครั้งที่ 4 ในระหว่างวันที่ 22-23  ตุลาคม 2568 ณ เมืองอินชอน สาธารณรัฐเกาหลี พร้อมทั้งร่วมกับรัฐมนตรีของเขตเศรษฐกิจเอเปคให้การรับรองเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมฯ จำนวน 4 ฉบับดังกล่าว โดยไม่มีการลงนาม

                    สาระสำคัญของเรื่อง

                   สาธารณรัฐเกาหลี ในฐานะเจ้าภาพการประชุมเอเปคประจำปี 2568 มีกำหนดจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีเอเปคด้านการปฏิรูปโครงสร้าง ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 22-23 ตุลาคม 2568  ณ เมืองอินชอน สาธารณรัฐเกาหลี โดยมีนาย คู ยุนชอล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและการคลัง สาธารณรัฐเกาหลี เป็นประธานในการประชุมฯ

                   การประชุมระดับรัฐมนตรีเอเปคด้านการปฏิรูปโครงสร้าง ครั้งที่ 4

                   1. การประชุมระดับรัฐมนตรีเอเปคด้านการปฏิรูปโครงสร้าง ครั้งที่ 4 มีวัตถุประสงค์ เพื่อผลักดันการปฏิรูปโครงสร้าง ผ่านการลดอุปสรรคเชิงโครงสร้างและเตรียมการรับมือความท้าทายรูปแบบใหม่เพื่อส่งเสริมการเติบโตที่ยั่งยืน ครอบคลุม และมีนวัตกรรม โดยจะมีการหารือถึงบทบาทของการปฏิรูปโครงสร้างในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและสามารถตอบสนองต่อความท้าทายในหลายรูปแบบ อาทิ การเปลี่ยนผ่านโครงสร้างประชากร การเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่คงตัวในระดับต่ำ รวมถึงการสนับสนุนระบบตลาดที่เชื่อมโยงและมีความสามารถในการแข่งขันและการเสริมสร้างความรุ่งเรืองที่ครอบคลุม

                   2. ในการประชุมครั้งนี้มีกำหนดจัดการประชุมร่วมระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปคและรัฐมนตรีด้านการปฏิรูปโครงสร้างเอเปค เพื่อหารือในประเด็นการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลและการหารือร่วมกับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (APEC Business Advisory Council: ABAC) เกี่ยวกับบทบาทของภาคเอกชนในกรอบความร่วมมือเอเปคอีกด้วย

                   3. ที่ประชุมฯ จะมีการรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุม จำนวน 4 ฉบับ ได้แก่ (1) แถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านการปฏิรูปโครงสร้าง ปี 2568 (2025 APEC Structural Reform Ministerial Meeting Joint Statement)   (2) เอกสารการยกระดับวาระการปฏิรูปโครงสร้างเอเปคที่เข้มแข็ง (Strengthened and Enhanced APEC Agenda for Structural Reform: SEASR)

(3) แผนปฏิบัติการเอเปคเรื่องความยากง่ายในการดำเนินธุรกิจ ระยะที่ 4 (Fourth APEC Ease of Doing Business (EoDB) Action Plan)  และ (4) หลักการเอเปคว่าด้วยการบริการและการปฏิรูปโครงสร้าง (APEC Principles on Services and Structural Reform)

                   ประโยชน์และผลกระทบ

                   1. ส่งเสริมบทบาทของไทยในเวทีระหว่างประเทศโดยใช้ประโยชน์และโอกาสจากกรอบความร่วมมือเอเปคในการสนับสนุนและผลักดันความร่วมมือที่มีศักยภาพผ่านการร่วมกำหนดวาระการปฏิรูป แผนงาน และหลักการ ซึ่งจะเป็นแนวทางการดำเนินงานของกรอบความร่วมมือเอเปคในระยะต่อไป  ในการผลักดันระบบเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงและมีความสามารถในการแข่งขัน บนพื้นฐานนวัตกรรม และก่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองต่อทุกกลุ่มคน

                   2. สนับสนุนความร่วมมือกับเขตเศรษฐกิจอื่นภายใต้กรอบความร่วมมือเอเปคเพื่อผลักดันโครงการความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกันในประเด็นการปฏิรูปโครงสร้างเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจที่มีความเชื่อมโยง เอื้ออำนวยต่อการดำเนินธุรกิจ อาทิ การแลกเปลี่ยนความรู้ การเสริมสร้างขีดความและการส่งเสริมกฎระเบียบที่สอดคล้องกัน

                   3. สร้างความเชื่อมั่นแก่นานาประเทศผ่านการเน้นย้ำในเวทีการประชุมระดับรัฐมนตรีเอเปคด้านการปฏิรูปโครงสร้างถึงความมุ่งมั่นของไทยในการพัฒนาและยกระดับเศรษฐกิจไทยให้เอื้ออำนวย ต่อการดำเนินธุรกิจ บนพื้นฐานของความเชื่อมโยงและนวัตกรรม ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง และครอบคลุมถึงทุกกลุ่มคนในสังคม

 

9. เรื่อง ร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ประจำปี  2568

                    คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการต่อร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ประจำปี  2568 โดยหากมีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มเติม ปรับปรุง และแก้ไขเอกสารดังกล่าวในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ขอให้กระทรวงการคลังดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก  รวมทั้ง ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลังหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองร่างแถลงการณ์ฯ โดยไม่มีการลงนาม ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ

                   สาระสำคัญของร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ประจำปี  2568 เป็นเอกสารผลลัพธ์สำคัญของการประชุม ซึ่งสรุปการดำเนินการตามแนวทางของกรอบการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ปี 2568 ที่ได้ผลักดันความร่วมมืออันดีระหว่าง 21 เขตเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านการเงินดิจิทัลและนโยบายทางการคลัง เพื่อสนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอย่างครอบคลุมและยั่งยืน

                   โดยสาธารณรัฐเกาหลีในฐานะเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคประจำปี 2568 มีกำหนดจัดการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ 32 ในวันที่ 21 ตุลาคม 2568 ณ เมืองอินชอน สาธารณรัฐเกาหลี

 

10. เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมระดับรัฐมนตรีของกลุ่มประเทศไม่ฝักฝ่ายใด ครั้งที่ 19

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้ 

                    1. เห็นชอบต่อร่างเอกสารสุดท้ายของการประชุมระดับรัฐมนตรีของกลุ่มประเทศไม่ฝักให้ฝ่ายใด (Non - Aligned Movement: NAM) ครั้งที่ 19 (ร่างเอกสารสุดท้าย) (การประชุมฯ) และเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้หากมีการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงเนื้อหาของร่างเอกสารสุดท้ายในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ขอให้ กต. สามารถดำเนินการที่เกี่ยวข้องได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ทั้งนี้ โดยเป็นไปตามกรอบท่าทีไทยที่เกี่ยวข้อง

                   2. ให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยที่ได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมการประชุมฯ ร่วมรับรองเอกสารฯ

                   3. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศร่วมลงนามในหนังสือแจ้งข้อสงวน (reservation) หรือหนังสืออื่น ๆ ที่เป็นการแจ้งท่าทีของอาเซียนต่อถ้อยคำในเอกสารสุดท้าย หากอาเซียนเห็นพ้องให้มีหนังสือดังกล่าวร่วมกันของรัฐมนตรีต่างประเทศของประเทศสมาชิกอาเซียน

                   4. หากปรากฏว่าเนื้อหาหรือถ้อยคำของเอกสารสุดท้าย ไม่สอดคล้องกับนโยบาย ผลประโยชน์ และท่าทีของไทยในสาระสำคัญ มีการแสดงท่าทีเชิงลบ หรือมีถ้อยคำรุนแรงประณามประเทศอื่นใด ขอให้ กต. มีหนังสือแจ้งข้อสงวน หรือแสดงท่าทีที่อธิบายถึงเหตุผลของไทยที่ทำให้ไทยไม่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหรือถ้อยคำดังกล่าวได้ ทั้งนี้ การแจ้งข้อสงวนเป็นแนวทางที่ไทยปฏิบัติมาโดยตลอด

                    สาระสำคัญของเรื่อง

ร่างเอกสารสุดท้ายฯ ที่เสนอในครั้งนี้มีสาระสำคัญ เป็นการสะท้อนเจตนารมณ์ทางการเมืองที่ยืนหยัดในระบบพหุภาคีนิยมบนรากฐานของแนวคิดด้านการส่งเสริมสันติภาพ ความเสมอภาค และความยุติธรรม อีกทั้งยังแสดงถึงความห่วงกังวลต่อความท้าทายระดับโลก เช่น สงครามและความขัดแย้งโดยได้เน้นย้ำถึงความสำคัญในการปฏิรูปสหประชาชาติ การผลักดันการพัฒนาอย่างยั่งยืน ความร่วมมือใต้ – ใต้ รวมถึงการส่งเสริมพลังของสตรี เยาวชน และกลุ่มเปราะบาง โดยแบ่งเป็น 3 ประเด็น ได้แก่ (1) ประเด็นระหว่างประเทศ (2) ประเด็นการเมืองภูมิภาคและอนุภูมิภาค และ (3) ประเด็นด้านการพัฒนา สังคม และสิทธิมนุษยชน

ทั้งนี้ กต. แจ้งว่าร่างเอกสารสุดท้ายฯ เป็นการสะท้อนเจตนารมณ์ทางการเมืองระดับรัฐมนตรีต่างประเทศของประเทศสมาชิก NAM โดยไม่มีถ้อยคำหรือบริบทใดที่มุ่งจะก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับกฎหมายระหว่างประเทศ ประกอบกับไม่มีการลงนามในร่างเอกสารดังกล่าว ดังนั้น ร่างเอกสารสุดท้ายฯ จึงไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร

 

11. เรื่อง ร่างถ้อยแถลงร่วมสำหรับโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่าง สปป.ลาว ไทย มาเลเซียและ

                 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมสำหรับโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่างสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ไทย และสิงคโปร์ ฉบับที่ 6 (ร่างถ้อยแถลงรวมฯ) และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำในร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ให้ พน. นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง รวมทั้งอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานหรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้ให้การรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ

                             สาระสำคัญของเรื่อง

มาเลเซียในฐานะเจ้าภาพการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงานครั้งที่ 43 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 14 - 16 ตุลาคม 2568 ได้กำหนดให้มีการรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในวันที่ 16 ตุลาคม 2568  โดยร่างถ้อยแถลงร่วมฯ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันระหว่างรัฐมนตรีพลังงานของทั้ง 4 ประเทศ (สปป.ลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์) ในการสนับสนุนโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าฯ เพื่อผลักดันการซื้อขายไฟฟ้าและการเชื่อมโยงโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าแบบพหุภาคี ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานและนำไปสู่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียน

โดย พน. แจ้งว่า สาระสำคัญของร่างถ้อยแถลงร่วมฯ มีความเหมาะสมสอดคล้องกับนโยบายและผลประโยชน์ของไทย สามารถปฏิบัติได้ภายใต้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งได้จัดสรรงบประมาณจากงบรายจ่ายอื่น โครงการเจรจาและประชุมนานาชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 สำหรับการเดินทางเข้าร่วมประชุม/กิจกรรมที่ต้องดำเนินการภายใต้ร่างถ้อยแถลงร่วมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ พน. เพื่อการนี้ไว้ด้วยแล้ว

ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศ (กรมอาเซียน) และสำนักคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้วไม่มีข้อขัดข้องต่อสารัตถะในภาพรวม และเห็นว่าร่างถ้อยแถลงร่วมฯ มิได้มีการใช้ถ้อยคำที่มุ่งหมายให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ ประกอบกับไม่มีการลงนามในร่างถ้อยแถลงร่วมฯ กรณีจึงไม่เข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

 

12. เรื่อง ร่างแถลงการณ์ร่วมสำหรับการประชุมระดับรัฐมนตรีกลุ่มพันธมิตรเอเชียเพื่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (เอเซค) ครั้งที่ 3

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ ดังนี้

  1.  

2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้ให้การรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ

  • The 3rd Asia Zero Emission Community (เอเซค) Ministerial Meeting (การประชุมเอเซคครั้งที่ 3) ในวันที่ 17 ตุลาคม 2568 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย]
    •              
    •  
    •  

 

13. เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารท่าทีไทยสำหรับการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 80 และเอกสารที่มีการรับรองในช่วงสัปดาห์ผู้นำของการประชุมสมัชชาสหประชาชาติฯ

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้

                   1. เห็นชอบต่อร่างเอกสารท่าที่ไทยสำหรับการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ ครั้งที่ 80

                   2. รับทราบเอกสารต่าง ๆ ที่มีการรับรองในช่วงสัปดาห์ผู้นำของการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 80 ได้แก่ (1) ปฏิญญาและมาตรการเพื่อส่งเสริมการมีผลใช้บังคับของสนธิสัญญาว่าด้วยการห้ามทดลองนิวเคลียร์โดยสมบูรณ์ (2) ปฏิญญานิวยอร์กว่าด้วยการระงับข้อพิพาทโดยสันติเกี่ยวกับปัญหาปาเลสไตน์และการดำเนินการตามหลักการสองรัฐ (3) แถลงการณ์คณะมนตรีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของการประชุมว่าด้วยการส่งเสริมปฏิสัมพันธ์และมาตรการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชีย เนื่องในโอกาสครบรอบ 80 ปี สหประชาชาติ และ (4) แถลงการณ์คณะมนตรีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของการประชุมว่าด้วยการส่งเสริมปฏิสัมพันธ์และมาตรการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชีย เนื่องในโอกาสครบรอบ 80 ปี ชัยชนะและสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง

                   3. เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมรับรองเอกสารต่าง ๆ อย่างเป็นทางการต่อไป

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   1. ร่างเอกสารท่าทีไทยสำหรับการประชุมสมัชชาสหประชาชาติฯ ครอบคลุมข้อมูลภูมิหลังและท่าทีไทยต่อข้อมติต่าง ๆ ที่จะมีการหารือในที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติฯ

                   2. ปฏิญญาและมาตรการเพื่อส่งเสริมการมีผลใช้บังคับของสนธิสัญญาว่าด้วยการห้ามทดลองนิวเคลียร์โดยสมบูรณ์ เป็นเอกสารผลลัพธ์การประชุมเพื่อส่งเสริมการมีผลใช้บังคับของสนธิสัญญาว่าด้วยการห้ามทดลองนิวเคลียร์โดยสมบูรณ์ โดยมีพื้นฐานจากร่างปฏิญญาฯ ฉบับปี ค.ศ. 2023 ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2566 ให้ไทยร่วมรับรอง

                   3. ปฏิญญานิวยอร์กว่าด้วยการระงับข้อพิพาทโดยสันติเกี่ยวกับปัญหาปาเลสไตน์และการดำเนินการตามหลักการสองรัฐ เป็นเอกสารผลลัพธ์การประชุมระดับสูงว่าด้วยการระงับข้อพิพาทโดยสันติกับปัญหาปาเลสไตน์และการดำเนินการตามหลักการสองรัฐ (High-level International Conference for the Peaceful Settlement of the Question of Palestine and the Implementation of the Two-State Solution) ระหว่างวันที่ 28-30 กรกฎาคม 2568

                   4. แถลงการณ์คณะมนตรีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของการประชุมว่าด้วยการส่งเสริมปฏิสัมพันธ์และมาตรการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชีย เนื่องในโอกาสครบรอบ 80 ปี สหประชาชาติ เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของรัฐสมาชิกการประชุมว่าด้วยการส่งเสริมปฏิสัมพันธ์และมาตรการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชีย (Conference on Interaction on Confidence-Building Measures in Asia: CICA) โอกาสการประชุมอย่างไม่เป็นทางการระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ CICA  ในวันที่ 25 กันยายน 2568

                   5. แถลงการณ์คณะมนตรีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของการประชุมว่าด้วยการส่งเสริมปฏิสัมพันธ์และมาตรการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียเนื่องในโอกาสครบรอบ 80 ปี ชัยชนะและสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของ CICA ในโอกาสการประชุมเดียวกันกับข้อ 4

 

แต่งตั้ง

14. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.) เสนอแต่งตั้ง รองนายกรัฐมนตรี (นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ) เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบด้วยแล้ว

 

15. เรื่อง ขออนุมัติต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายโสภณ ซารัมย์) กำกับการบริหารราชการ สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเสนอแต่งตั้ง นางรวีวรรณ ภูริเดช ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวครบ 4 ปี เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2568 ต่อไปอีก 1 ปี (ครั้งที่ 1) ตั้งแต่วันที่ 12 กันยายน 2568 ถึงวันที่ 11 กันยายน 2569

 

16. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐเสนอแต่งตั้ง พันตำรวจโท สิริพงษ์ ศรีตุลา ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ให้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป และนายกรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว

 

17. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพาณิชย์)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงพาณิชย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้

                   1. นางสาวกนิษฐา กังสวนิช รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

                   2. นายกรนิจ โนนจุ้ย รองอธิบดีกรมการค้าภายใน ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป และรองนายกรัฐมนตรี (นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ) ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว

 

18. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน 2 ตำแหน่ง ดังนี้

                   1. นายพิษณุ พลธี ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

                   2. นางสาวพิมพ์พร ชีวานันท์ ดำรงตำแหน่ง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

 

19. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงพาณิชย์)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน 1 ราย คือ นางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

 

20. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงมหาดไทย)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทย เสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมืองตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ดังนี้

                   1) นายชยุต ภุมมะกาญจนะ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

                   2) นายสมเจตน์ ลิมปะพันธุ์ ให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

 

21. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงยุติธรรม)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เสนอแต่งตั้ง พลตำรวจโท สรรเพชญ สุขภิมนตรี เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป และรองนายกรัฐมนตรี (นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ) ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว

 

22. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงอุตสาหกรรม)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม เสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน 4 ราย ดังนี้

                   1. นางสาวพลอยลภัสร์ สิงห์โตทอง ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม 2. นางสาวภาดาท์ วรกานนท์ ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม [ปฏิบัติหน้าที่ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (จ่าเอก ยศสิงห์ เหลี่ยมเลิศ)]

                   3. นายฐาปกรณ์ กุลเจริญ ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

                   4. นายพีรวัส สมวงศ์ ตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม [ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (จ่าเอก ยศสิงห์ เหลี่ยมเลิศ)]

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

 

23. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงกลาโหม)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เสนอแต่งตั้ง พลเอก คำรณ เครือวิชฌยาจารย์ เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป และนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบด้วยแล้ว

 

24. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงคมนาคม)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เสนอแต่งตั้ง นายรัชพงศ์ ชูแก้ว เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป และรองนายกรัฐมนตรี (นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ) ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว

 

25. เรื่อง เรื่อง การมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เสนอมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตามความในมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 จำนวน 2 ราย ตามลำดับ ดังนี้

                   1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์)

                   2. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (นายอัครา พรหมเผ่า)

 

26. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง กระทรวงมหาดไทย

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทย เสนอแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง จำนวน 45 ราย ดังนี้

                   1. ให้นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดนครราชสีมา และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวงมหาดไทย (นักบริหาร ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง

                   2. ให้นายโชตินรินทร์ เกิดสม พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดสงขลา และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวงมหาดไทย (นักบริหาร ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง

                   3. ให้นายภาสกร บุญญลักษม์ พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดระยอง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวงมหาดไทย (นักบริหาร ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง

                   4. ให้นายชรินทร์ ทองสุข พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดขอนแก่น และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง

                   5. ให้นายชำนาญ ชื่นตา พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดอุบลราชธานี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง

                   6. ให้นายทศพล เผื่อนอุดม พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดเชียงใหม่ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง

                   7. ให้นายศักระ กปิลกาญจน์ พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดสตูล และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง

                   8. ให้นายสมภพ สมิตะสิริ พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดหนองคาย และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง

                   9. ให้นายสุพจน์ ภูติเกียรติขจร พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดระนอง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง

                   10. ให้นายอธิสรรค์ อินทร์ตรา พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดกาญจนบุรี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง

                   11. ให้นายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ พ้นจากตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมการปกครอง 

                   12. ให้นายสยาม ศิริมงคล พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดสมุทรปราการ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมการพัฒนาชุมชน

                   13. ให้นายพรพจน์ เพ็ญพาส พ้นจากตำแหน่ง รองปลัดกระทรวงมหาดไทย (นักบริหาร ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมที่ดิน

                   14. ให้นายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดอุทัยธานี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

                   15. ให้นายธีรุตม์ ศุภวิบูลย์ผล พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดสุราษฎร์ธานี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น

                   16. ให้นายอังกูร ศีลาเทวากูล พ้นจากตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดกระบี่

                   17. ให้นายชูศักดิ์ รู้ยิ่ง พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดสกลนคร และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดกาฬสินธุ์

                   18. ให้นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี พ้นจากตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมที่ดิน และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดขอนแก่น

                   19. ให้นายชูชีพ พงษ์ไชย พ้นจากตำแหน่งรองปลัดกระทรวง (นักบริหาร ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดเชียงราย

                   20. ให้นายรัฐพล นราดิศร พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดเชียงราย และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดเชียงใหม่

                   21. ให้นายพิริยะ ฉันทดิลก พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง)จังหวัดสุพรรณบุรี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดตราด

                   22. ให้ว่าที่พันตรี อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ พ้นจากตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดนครพนม

                   23. ให้นายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดศรีสะเกษ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดนครราชสีมา

                   24. ให้นางสาวชุติพร เสชัง พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง)จังหวัดแม่ฮ่องสอน และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดนครสวรรค์

                   25. ให้นายเชษฐา โมสิกรัตน์ พ้นจากตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดนนทบุรี

                   26. ให้นายวีระพันธ์ ดีอ่อน พ้นจากตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดปราจีนบุรี

                   27. ให้นายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล พ้นจากตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

                   28. ให้นายเกียรติศักดิ์ ตรงศิริ พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดนนทบุรี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดพิษณุโลก

                   29. ให้ร้อยตำรวจโท ภพชนก ชลานุเคราะห์ พ้นจากตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง)กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดเพชรบุรี

                   30. ให้นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร พ้นจากตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมการปกครอง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดภูเก็ต

                   31. ให้นายวิบูรณ์ แววบัณฑิต พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดลำปาง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดแม่ฮ่องสอน

                   32. ให้นายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดเพชรบุรี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดระยอง

                   33. ให้นายวิวัฒน์ อินทร์ไทยวงศ์ พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดลำพูน และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดลำปาง

                   34. ให้นายอนุรัตน์ ธรรมประจำจิต พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดอำนาจเจริญ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดศรีสะเกษ

                   35. ให้นางรณิดา เหลืองฐิติสกุล พ้นจากตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดสกลนคร

                   36. ให้นายรัฐศาสตร์ ชิดชู พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง)จังหวัดกระบี่ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดสงขลา

                   37. ให้นายศุภมิตร ชิณศรี พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดนครสวรรค์ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดสมุทรปราการ

                   38. ให้นายณัฐพงษ์ สงวนจิตร พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง)จังหวัดตราด และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดสุพรรณบุรี

                   39. ให้นายจุมพฏ วรรณฉัตรสิริ พ้นจากตำแหน่งรองปลัดกระทรวง (นักบริหาร ระดับสูง)สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดสุราษฎร์ธานี

                   40. ให้นายศรัณย์ศักด์ ศรีเครือเนตร พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดภูเก็ต และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดหนองคาย

                   41. ให้นายสุรศักดิ์ อักษรกุล พ้นจากตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมการพัฒนาชุมชน และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดหนองบัวลำภู

                   42. ให้นายนที มนตริวัต พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดชัยนาท และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดอ่างทอง

                   43. ให้นายสันติ รังษิรุจิ พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดฉะเชิงเทรา และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดอุตรดิตถ์

                   44. ให้นายสมบัติ ไตรศักดิ์ พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง)จังหวัดสิงห์บุรี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดอุทัยธานี

                   45. ให้นายณรงค์ เทพเสนา พ้นจากตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดอุบลราชธานี

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

 

27. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร (สายงานบริหาร) ระดับสูง ตำแหน่งเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เสนอแต่งตั้งนายปิยะศิริ วัฒนวรางกูร ตำแหน่งรองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ประเภทบริหาร ระดับสูง) ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตำแหน่งเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

 

28. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ (นักบริหาร ระดับสูง)  (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ การรับโอน นางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี มาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ (นักบริหาร ระดับสูง) สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

 

29. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงกลาโหม)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ แต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน 3 ราย ดังนี้

                   1. นายวันวิชิต บุญโปร่ง           เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

                   2. พลตรี เฉลิม สีเจริญ             เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม

                   3. พลโท วรพรต แก้ววิจิตร        เป็นผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

                     ทั้งนี้  ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

 

30. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแต่งตั้ง พลตำรวจตรี นันทชาติ ศุภมงคล ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

                   ทั้งนี้  ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

 

31. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง ข้าราชการการเมือง จำนวน 5 ราย ดังนี้

                   1. นายสมภพ ผ่องสว่าง                     ตำแหน่งที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)

                   2. นางสาวอัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์               ตำแหน่งรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

                   3. นางสาวลลิดา เพริศวิวัฒนา              ตำแหน่งรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

                   4. นายจำลอง ช่วยรอด                      ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

                   5. พลตำรวจตรี สุวิชาญ ญาณกิตติกุล      ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

                   ทั้งนี้  ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

 

32. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง นายธนฑิตย์ รักตะบุตร เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี  โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้ง

 

33.  เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เสนอแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง 19 ราย ดังนี้

          1. นายสาโรจน์ สามารถ                     ตำแหน่ง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (รองนายกรัฐมนตรี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ)

          2. นายรังสรรค์ วันไชยธนวงศ์               ตำแหน่ง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (รองนายกรัฐมนตรี นายโสภณ ซารัมย์)

          3. นายสุรชัย ภู่ประเสริฐ                     ตำแหน่ง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (รองนายกรัฐมนตรี นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ)

          4. นาวาอากาศเอก อนุดิษฐ์ นาครทรรพ    ตำแหน่ง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (รองนายกรัฐมนตรี ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า)

          5. นางสาวภัทรานันท์ ทองประพาฬ        ตำแหน่ง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (รองนายกรัฐมนตรี นายสุชาติ ชมกลิ่น)

          6. นายคารม พลพรกลาง                    ตำแหน่งที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายโสภณ ซารัมย์)

          7. นางสาวนารา หนูแดง                    ตำแหน่งที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ)

          8. นายนิโรธ สุนทรเลขา                     ตำแหน่ง ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า)

          9. นายปิยวัฒน์ กิตติธเนศวร                 ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายภราดร ปริศนานันทกุล)

          10. นายเชิดศักดิ์ โภคกุลกานนท์            ตำแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวศุภมาส อิศรภักดี)

          11. นายปัญญา ชวนบุญ           ตำแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนภินทร ศรีสรรพางค์)

          12. นายอรุณ คงเจริญ                       ตำแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสันติ ปิยะทัต)

          13. นางสาวกาญจนาพร เหลืองขจรวิทย์   ตำแหน่ง เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายภราดร ปริศนานันทกุล)

          14. นางสาวพรพิมล ธรรมสาร              ตำแหน่ง เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวศุภมาส อิศรภักดี)

          15. นางพรภัทร์ รอดโพธิ์ทอง บุญถนอม    ตำแหน่ง เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสันติ ปิยะทัต)

          16. พลตำรวจตรี ไพศาล วงศ์วัชรมงคล    ตำแหน่ง ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

          17. นายเขมพล อุ้ยตยะกุล                  ตำแหน่ง ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

          18. นายภุชงค์ วรศรี                         ตำแหน่ง ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

          19. นางสาวจิรัฐิติกาล จันทราทิพย์         ตำแหน่ง ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

 

34. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงการคลัง)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน 2 ราย ดังนี้

                    1) นายอาร์ชวัส เจริญศิลป์ ตำแหน่ง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

                    2) นายเศรษฐจักร ลียากาศ ตำแหน่ง ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง [ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายวรภัค ธันยาวงษ์]

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

 

35. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 3 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างและสับเปลี่ยนหมุนเวียน ดังนี้

                    1. นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ  ตำแหน่ง อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

                    2. นางจตุพร โรจนพานิช ตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

                    3. นางเตือนใจ คงสมบัติ ตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

                    ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

 

36. เรื่อง คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 328/2568 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี

                        คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 302/2568 เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 24 กันยายน พ.ศ.2568 นั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 และมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 10 และมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินพ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 มาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2550 ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการมอบอำนาจ พ.ศ. 2550 จึงให้แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 302/2568 ลงวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2568 ดังนี้

                   1. รองนายกรัฐมนตรี (นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ)

                             1.1 ให้ยกเลิกข้อ 1.1.3

                             1.2 ให้ยกเลิกข้อ 1.5 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน

                                 “ 1.5 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้

                                      1.5.1 รองประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ

                                      1.5.2 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนา จังหวัดชายแดนภาคใต้

                                      1.5.3 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ

                                      1.5.4 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

                                      1.5.5 กรรมการในคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ"

                   2. รองนายกรัฐมนตรี (นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ)

                      - ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ 3.3.9

                         “3.3.9 คณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์”

                   3. รองนายกรัฐมนตรี (นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)

                      3.1 ให้ยกเลิกข้อ 4.1.6

                      3.2 ให้ยกเลิกข้อ 4.5 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน

                             “4.5 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้

                             4.5.1 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย

                             4.5.2 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ

                             4.5.3 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก

                             4.5.4 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม

                             4.5.5 รองประธานกรรมการ คนที่ 3 ในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ"

                   4. รองนายกรัฐมนตรี (นายสุชาติ ชมกลิ่น)

                      - ให้ยกเลิกข้อ 6.5.2

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

                             สั่ง ณ วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2568

- 006

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top