“อนุทิน” ยันรบ.ไม่ยอมเสียเปรียบกัมพูชาแน่นอน ชี้ถ้ารุกราน-ยั่วยุ จัดเต็ม “นิด้าโพล”ชี้เกินครึ่งพอใจบทบาททหารมาก และ “คนไทย”ส่วนใหญ่ยังอดทนพอประมาณต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-เขมร ห่วงขัดแย้งยืดเยื้อ หนุนกดดันทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ “ปิดด่าน”100% ต่อไป
เมื่อวันที่ 19ตุลาคมที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์แอทเซ็นทรัลเวิลด์ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะศิษย์เก่าหลักสูตรประกาศนียบัตรธรรมาภิบาลทางการแพทย์สำหรับผู้บริหารระดับสูง (ปธพ.) รุ่นที่ 5 ร่วมงานสัมมนาวิชาการแพทยสภาและสถาบันมหิตลาธิเบศร 2568 พร้อมรับมอบโล่เกียรติยศหลักสูตรประกาศนียบัตรธรรมาภิบาลทางการแพทย์สำหรับผู้บริหารระดับสูง (ปธพ.)
โดยนายกฯกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ธรรมาภิบาลทางการแพทย์กับการพัฒนาประเทศไทยอย่างยั่งยืน” ตอนหนึ่งว่า ตนเคยพูดกับนายพัฒนาแล้วว่าท่านรัฐมนตรีอะไรที่ให้แล้วเอาคืนไม่ได้ อะไรที่ให้ประชาชนแล้วไม่สามารถเอาคืนได้ มันเคยมีอยู่ช่วงหนึ่งว่าการฟอกไตฟรีในสมัยตนฟรีหมดจะเอากลับไปฟรีเฉพาะหน้าท้องไม่ได้ ตนบอกรัฐมนตรีว่าต้องเอากลับมาให้หมดฟอกไตฟรีคนไทยต้องรักษาฟรีทั้งหมด มันเป็นเป้าหมายของเราและตนเชื่อว่ารัฐมนตรีเห็นแล้วว่า ถ้าไม่ทำตรงนี้คนไทยจะประสบความลำบากอีกมหาศาล ลูกหลานทำมาหากินเท่าไหร่ก็ต้องมารักษาคนที่บ้านหมด ซึ่งเราปล่อยให้มันเกิดเหตุเช่นนั้นไม่ได้ เรามีสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ก็ต้องยืนยันว่าในเมื่อให้ไปแล้วเอากลับคืนไม่ได้ ไม่ใช่เพราะการเมืองบอกให้เอากลับคืน เพราะกลัวคนที่ทำไว้ได้คะแนนเสียงดีขึ้น การเอากลับคืน อย่าเอาชีวิตของประชาชนมาแลกกับคะแนนเสียงกระจอกๆไม่ได้ เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งที่ตนเร่งให้นโยบายกับรัฐมนตรี ซึ่งรัฐมนตรีก็ทำทันที
อุบแผนสู้เขมรยันไม่เสียเปรียบแน่
นายกฯกล่าวอีกว่า ตอนนี้ประเทศไทยอย่างเดียวในฐานะเป็นรัฐบาล เรื่องภัยกัมพูชาก็ให้ทำใจให้เย็นๆ เราไม่มีเสียเปรียบแน่นอน มีคนถามว่าทำไมรัฐบาลเงียบจัง ท่านครับ จะไปรบกับใครแล้วมาบอกแผนการรบได้เหรอ จะทำอะไร จะไปเจรจาอะไรต้องบอก บอกปุ๊บเขาก็แก้อยู่ที่โน่น จะไปทำโน่น ทำนี่ ขอให้ทราบได้อย่างเดียวว่าไม่มีทางที่คนเป็นรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามจะยอมให้ประเทศของเราเสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้านหรือประเทศใดก็ตามที่เรามีความขัดแย้งกันอยู่ เราต้องรักษาประโยชน์ของประเทศเรา เรื่องหลายเรื่องตอนนี้สื่อโซเชียลทำให้ท่านเสพใน 10 เรื่องอาจจริง 3-4 เรื่อง ไม่จริงทั้งหมด เขาบอกประเทศไทยไม่ทำอะไรเลย ปล่อยให้เขาทำฝ่ายเดียว ก็ขอให้ท่านใดทราบว่าทุกวันนี้ไม่มีการยิงอะไรเข้ามา ไม่มีการรุกราน ไม่มีการยั่วยุอะไรตามชายแดนของเราเพราะอะไร เพราะข้อความของเราไปถึงเขาว่าถ้ามาก็จัดเต็ม เขารู้และก็ต้องคิดแล้วว่าอย่ามาดีกว่า แต่เรื่องเหล่านี้จะให้ตนไปบอกว่า ถ้ามาเดี๋ยวจะส่งกองกำลังนี้ไป มันเป็นไปไม่ได้ เราจะเอาสิ่งที่เราแพลนอยู่ไปบอกให้คนอื่น ให้เขาเตรียมตัว มันไม่เคยมีอยู่ในสมองของนายกฯคนนี้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราต้องทำทุกอย่างเพื่อรักษาและเราทราบดีว่าคนไทยต้องการอะไร
ยันปิดด่านจนกว่าเขมรเลิกเป็นภัย
นายกฯกล่าวต่อว่า ตนไปหาเสียงที่ไหน ไปเจอคนที่อยู่ตามแนวชายแดน ตนคิดว่าเขาเดือดร้อน ตนถามว่าให้เปิดด่านไหม 100% เขาบอกว่ายอมเดือดร้อน เราฟังเขา ฉะนั้นในการเจรจาอะไร ไม่มีเรื่องการเปิดด่าน จนกว่าความเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศไทยจะหมดไป ฉะนั้นเรื่องเปิดด่านไม่มี
“ถ้าอยู่ในเขตเรา เราไล่อยู่แล้ว แต่ถ้าอยู่ในเขตที่สงสัยเราต้องใช้วิธีทางสากลในการทำ เพราะเราบอกพื้นที่ตรงนี้ของเรา เขาก็บอกของเขา ก็ต้องเริ่มเจรจาพูดคุยกันก่อนโดยเราทำได้ระดับหนึ่ง ผมไม่รู้เป็นอะไรเข้ามามีบทบาทตรงไหนก็จะเจอแต่ของหนักทั้งนั้นเลย แต่ไม่มีปัญหา ภาษาฝรั่งเขาบอกว่ามี been there done that หรือเคยผ่านประสบการณ์แบบนั้นมาแล้ว ผมเชื่อว่าสถานการณ์โควิดปลูกฝังความอดทนในตัวผมว่าช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม แต่อย่าช้าเกินไปเดี๋ยวจะถูกกระทืบ เอาแต่สุขุมดีกว่าและรอบคอบแล้วค่อยตัดสินใจรับรองว่าจะไม่ให้เกิดอะไรที่เป็นการเสื่อมเสียซึ่งเกียรติภูมิ เกียรติยศอธิปไตยตรงนี้เท่าไหร่ก็ต้องแลก ขอให้ทุกท่านมั่นใจ พร้อมดำเนินการทุกอย่างเพื่อรับใช้บ้านเมืองและทำให้ศักยภาพของประเทศไทยก้าวหน้าไปยิ่งขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง”นายกฯกล่าว
ไม่รู้ฮุนมาเนตไม่อยากลงนามสันติภาพ
ช่วงบ่ายวันเดียวกัน นายอนุทินให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีรายงานข่าวว่า ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ไม่ต้องการลงนามสันติภาพและเจรจาหยุดยิงว่า ตนยังไม่ทราบข่าวเรื่องนี้ เพราะขณะนี้ข้อตกลงดังกล่าวก็ยังเดินหน้า ประเทศไทยมีจุดยืน 4 ข้อ ส่วนเรื่องการประชุม JBC ถือเป็นคนละเรื่องไม่ส่งผล เพราะเป็นเรื่องของการปักเขตแดน ซึ่งขณะนี้ดำเนินการมาได้เกินครึ่งแล้ว ก็ยังคงเดินหน้าเจรจา แต่ต้องใช้เวลา ส่วนการประชุม GBC ก็ยังคงเดือนหน้า เช่นเดียวกันกับการเจรจาของระหว่างกระทรวงการต่างประเทศระหว่างสองประเทศ
เขมรหยุดยั่วยุถือว่าคืบหน้าระดับหนึ่ง
ผู้สื่อข่าวถามถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ยังยืดเยื้อมาถึงขณะนี้ นายกฯกล่าวว่า มีความคืบหน้าหลายอย่าง การที่เราไม่ถูกคุกคามยั่วยุ และยิงข้ามฝั่งมา เกือบ 2 เดือนแล้ว ถือว่าเป็นหนึ่งในความคืบหน้าอย่างหนึ่ง ซึ่งเราได้แสดงให้เขาเห็นว่าประเทศไทยรับไม่ได้และพร้อมจะโต้ตอบอย่างเต็มที่ และแสดงเห็นว่าเขารับทราบข้อมูลข่าวสารจากฝั่งเรา จะเอาความสนุก ความสะใจอย่างเดียวไม่ได้ สิ่งที่ยังยืนยันได้คือตอนนี้จะไม่ยอมให้เขามาละเมิดอธิปไตยและทำร้ายคนของเราอีกต่อไป
โพลชี้ปชช.พอใจบทบาทกองทัพ53%
วันเดียวกัน ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจเรื่อง “คนไทย ยังอดทนอยู่หรือเปล่า?” ซึ่งสำรวจระหว่างวันที่ 14-16 ตุลาคม จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวม 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความพอใจและความกังวลของประชาชนจากสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์
โดยตั้งหัวข้อถามถึงความพอใจต่อบทบาทของภาคส่วนต่างๆ จากสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา พบว่า1.กองทัพ ตัวอย่าง ร้อยละ 53.67 ระบุว่า พอใจมาก รองลงมา ร้อยละ 34.20 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 9.54 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 2.44 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 0.15 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ 2.กระทรวงการต่างประเทศ ตัวอย่าง ร้อยละ 34.66 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 31.83 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 16.95 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 14.43 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.13 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ 3.รัฐบาลไทย ตัวอย่าง ร้อยละ 38.32 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 26.03 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 25.80 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 9.62 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 0.23 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
คนส่วนใหญ่ใกล้หมดความอดทน
เมื่อถามถึงความอดทนของประชาชนต่อสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ในขณะนี้ โดยภาพรวมของประชาชนทั้งประเทศ พบว่าร้อยละ 40.53 ระบุว่า ยังอดทนอยู่พอประมาณร้อยละ 24.43 ระบุว่า หมดความอดทนแล้วร้อยละ 19.69 ระบุว่า เริ่มไม่ค่อยมีความอดทนแล้วร้อยละ 14.74 ระบุว่ายังมีความอดทนสูงอยู่ร้อยละ 0.61 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
สำหรับภาพรวมของประชาชนในจังหวัดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา (210 หน่วยตัวอย่าง) พบว่าร้อยละ 38.57 ระบุว่า ยังอดทนอยู่พอประมาณ ร้อยละ 24.29 ระบุว่า หมดความอดทนแล้วร้อยละ 22.38 ระบุว่า เริ่มไม่ค่อยมีความอดทนแล้ว ร้อยละ 14.28 ระบุว่า ยังมีความอดทนสูงอยู่ร้อยละ 0.48 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ห่วงยืดเยื้อ-ความเป็นอยู่คนชายแดน
เมื่อถามถึงเรื่องที่ประชาชนมีความกังวลจากสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ในขณะนี้ โดยภาพรวมของประชาชนทั้งประเทศ พบว่า ร้อยละ 44.05 ระบุว่า สถานการณ์ความขัดแย้งจะยืดเยื้อยาวนานไม่จบร้อยละ 41.76 ระบุว่า สภาพความเป็นอยู่ของประชาชนตามแนวชายแดนร้อยละ 31.15 ระบุว่า สภาพความเป็นอยู่เจ้าหน้าที่รัฐ อาสาสมัคร ทหาร ตำรวจ ตามแนวชายแดนร้อยละ 21.15 ระบุว่า การรบกันอีกระหว่างไทย-กัมพูชา ร้อยละ 18.32 ระบุว่า ไม่กังวลอะไรเลยร้อยละ 18.24 ระบุว่า ไทยจะเสียดินแดนร้อยละ 14.50 ระบุว่า ภาวะเศรษฐกิจชายแดน จากการปิดด่านระยะยาวร้อยละ 12.06 ระบุว่า ประเทศมหาอำนาจจะแทรกแซง ร้อยละ 8.55 ระบุว่า การพลาดท่าให้กัมพูชาในเวทีระหว่างประเทศร้อยละ 7.79 ระบุว่า รัฐบาลจะไม่เปิดไฟเขียวอย่างเต็มที่ให้กองทัพแก้ไขปัญหาร้อยละ 6.79 ระบุว่า รัฐบาลจะตัดสินใจเปิดด่าน ทั้ง ๆ ที่สถานการณ์ยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ ร้อยละ 5.80 ระบุว่า ความเคลื่อนไหวของนักสิทธิมนุษยชน นักวิชาการ บางคนจะสร้างความได้เปรียบให้กัมพูชา ร้อยละ 0.91 ระบุว่า มวลชนกลุ่มต่าง ๆ จะขวางการแก้ไขปัญหาของภาครัฐ
สำหรับภาพรวมของประชาชนในจังหวัดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา (210 หน่วยตัวอย่าง) พบว่า
ร้อยละ 46.19 ระบุว่า สถานการณ์ความขัดแย้งจะยืดเยื้อยาวนานไม่จบ ร้อยละ 44.76 ระบุว่า สภาพความเป็นอยู่ของประชาชนตามแนวชายแดนร้อยละ 33.33 ระบุว่า สภาพความเป็นอยู่เจ้าหน้าที่รัฐ อาสาสมัคร ทหาร ตำรวจ ตามแนวชายแดนร้อยละ 25.71 ระบุว่า การรบกันอีกระหว่างไทย-กัมพูชา ร้อยละ 16.67 ระบุว่า ไทยจะเสียดินแดนร้อยละ 14.76 ระบุว่า ไม่กังวลอะไรเลย ร้อยละ 13.33 ระบุว่า ภาวะเศรษฐกิจชายแดน จากการปิดด่านระยะยาวร้อยละ 9.52 ระบุว่า การพลาดท่าให้กัมพูชาในเวทีระหว่างประเทศ
ร้อยละ 8.10 ระบุว่า ประเทศมหาอำนาจจะแทรกแซง ร้อยละ 4.29 ระบุว่า รัฐบาลจะไม่เปิดไฟเขียวอย่างเต็มที่ให้กองทัพแก้ไขปัญหา และรัฐบาลจะตัดสินใจเปิดด่าน ทั้ง ๆ ที่สถานการณ์ยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ ในสัดส่วนที่เท่ากันร้อยละ 3.33 ระบุว่า ความเคลื่อนไหวของนักสิทธิมนุษยชน นักวิชาการ บางคนจะสร้างความได้เปรียบให้กัมพูชา ร้อยละ 1.43 ระบุว่า มวลชนกลุ่มต่าง ๆ จะขวางการแก้ไขปัญหาของภาครัฐ
หนุนปิดด่านต่อจริงจัง-งดส่งออกสินค้า
ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อแนวทางในการแก้ปัญหาสถานการณ์ความขัดแย้ง ไทย-กัมพูชา โดยภาพรวมของประชาชนทั้งประเทศ พบว่าร้อยละ 35.19 ระบุว่า กดดันทางเศรษฐกิจ เช่น การปิดด่านต่อไปอย่างจริงจัง งดการนำเข้าส่งออกในทุกกรณีร้อยละ 33.97 ระบุว่า ทำอย่างไรก็ได้ แต่ต้องไม่เสียดินแดนและไม่เสียเปรียบให้กัมพูชาร้อยละ 24.81 ระบุว่า เปิดเจรจาทางการทูตสองฝ่ายอย่างจริงจังร้อยละ 22.06 ระบุว่า รัฐบาลต้องเปิดไฟเขียวอย่างเต็มที่ให้กองทัพแก้ไขปัญหา
ร้อยละ 21.68 ระบุว่า รัฐบาลต้องเยียวยา ดูแล ประชาชน ภาคธุรกิจ ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่
ร้อยละ 20.99 ระบุว่า รบจนกว่าจะได้ชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จหรือได้เปรียบกัมพูชาร้อยละ 11.22 ระบุว่า ป้องกันอย่าให้ประเทศมหาอำนาจเข้าแทรกแซงร้อยละ 9.92 ระบุว่า กดดัน ฟ้องร้องและประณามกัมพูชาผ่านกลไกระหว่างประเทศ และทำอย่างไรก็ได้ แต่ขออย่าให้มีการสู้รบกัน ในสัดส่วนที่เท่ากันร้อยละ 6.41 ระบุว่า ให้มีประเทศที่สามเป็นตัวกลางในการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทร้อยละ 2.37 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจร้อยละ 2.21 ระบุว่า แทรกแซงการเมืองภายในประเทศกัมพูชาเพื่อล้มอำนาจ ฮุน เซน และรัฐบาล ฮุน มาเนต ร้อยละ 1.37 ระบุว่า ใช้กลไกศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ตามข้อเรียกร้องของกัมพูชา
ร้อยละ1.07 ระบุว่า เปิดด่านทั้งหมดเพื่อให้เศรษฐกิจชายแดนเข้าสู่ภาวะปกติ
สำหรับภาพรวมของประชาชนในจังหวัดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา (210 หน่วยตัวอย่าง) พบว่า
ร้อยละ 39.05 ระบุว่า ทำอย่างไรก็ได้ แต่ต้องไม่เสียดินแดนและไม่เสียเปรียบให้กัมพูชา ร้อยละ 32.86 ระบุว่า กดดันทางเศรษฐกิจ เช่น การปิดด่านต่อไปอย่างจริงจัง งดการนำเข้าส่งออกในทุกกรณี ร้อยละ 22.38 ระบุว่า รัฐบาลต้องเยียวยา ดูแล ประชาชน ภาคธุรกิจ ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ+อย่างเต็มที่ ร้อยละ 20.48 ระบุว่า เปิดเจรจาทางการทูตสองฝ่ายอย่างจริงจังร้อยละ 19.52 ระบุว่า รัฐบาลต้องเปิดไฟเขียวอย่างเต็มที่ให้กองทัพแก้ไขปัญหาร้อยละ 18.10 ระบุว่า รบจนกว่าจะได้ชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จหรือได้เปรียบกัมพูชา
ร้อยละ 10.00 ระบุว่า ทำอย่างไรก็ได้ แต่ขออย่าให้มีการสู้รบกัน ร้อยละ7.14 ระบุว่า ป้องกันอย่าให้ประเทศมหาอำนาจเข้าแทรกแซงร้อยละ6.67 ระบุว่า กดดัน ฟ้องร้องและประณามกัมพูชาผ่านกลไกระหว่างประเทศร้อยละ4.76 ระบุว่า ให้มีประเทศที่สามเป็นตัวกลาง ในการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ร้อยละ 3.81 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ ร้อยละ 2.86 ระบุว่า แทรกแซงการเมืองภายในประเทศกัมพูชาเพื่อล้มอำนาจ ฮุน เซน และรัฐบาล ฮุน มาเนตร้อยละ 0.95 ระบุว่า เปิดด่านทั้งหมดเพื่อให้เศรษฐกิจชายแดนเข้าสู่ภาวะปกติร้อยละ 0.48 ระบุว่า ใช้กลไกศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ตามข้อเรียกร้องของกัมพูชา
ชายแดนสระแก้วสถานการณ์ปกติ
วันเดียวกัน กองทัพภาคที่ 1 โดยศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 ขอสรุปสถานการณ์ประจำวันที่ 19 ตุลาคม 2568 ณ เวลา 16.00 น. ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จ.สระแก้ว ดังนี้ สถานการณ์ด้านความมั่นคงชายแดน จ.สระแก้ว โดยฝ่ายไทย มีมวลชนชาวบ้านในพื้นที่และมวลชน ร่วมแสดงกิจกรรมแสดงออกถึงความรักชาติหวงแหนอธิปไตย ในพื้นที่บ้านหนองจาน ส่วนฝั่งตรงข้าม ฝ่ายกัมพูชา บริเวณ บ.โจกเจย และ
บ.เปรยจัน พบความเคลื่อนไหวประชาชน, สื่อมวลชน, ทหาร และตำรวจ ฝ่าย กพช.คอยติดตามความเคลื่อนไหว/การปฏิบัติของฝ่ายไทย ประมาณ 40-50 คน สถานการณ์ทั่วไปปกติ
มทภ.1ลงพื้นที่หนองจานตรวจการกู้ทุ่นระเบิด
การปฏิบัติการที่สำคัญ กกล.บูรพา จัดกำลังป้องกันในพื้นที่ตอนในบ้านหนองจาน เสริมแนวลวดหนามชั้นในเพื่อป้องกันมวลชนไทยรุกล้ำเข้าเขตปฏิบัติการของหน่วยปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ซึ่งอยู่ระหว่างการวางแผนเตรียมเคลียร์พื้นที่ โดยมีชุดทหารช่างดำเนินการทำเส้นทางและปรับสภาพพื้นที่การปฏิบัติในพื้นที่บ้านหนองจาน
ทั้งนี้ ในวันที่ 20 ต.ค.68 พล.ท.วรยส เหลืองสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 1/ ผบ.ศปก.ทภ.1 มีกำหนดเดินทางตรวจเยี่ยมพื้นที่ชายแดน จ.สระแก้ว เพื่อติดตามสถานการณ์และความคืบหน้าภารกิจการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่บ้านหนองจาน และรับทราบความคืบหน้าการคืนพื้นที่ปลอดภัยบ้านหนองหญ้าแก้ว พร้อมพบป่ะประชาชนตลอดจนมวลชนในพื้นที่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี