วันศุกร์ ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2568
"สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย"เปิดตัวโครงการ"มองจีนยุคใหม่ สิ่งที่สื่อไทยควรรู้ รุ่นที่ 7" "ทูตจีน"ย้ำให้ความร่วมมือไทยแก้ปัญหาสแกมเมอร์ พร้อมสนับสนุนการเจรจาแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา
วันนี้ (24 ต.ค.2568) สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดกิจกรรมเปิดตัวโครงการ มองจีนยุคใหม่ สิ่งที่สื่อไทยควรรู้ รุ่นที่ 7 เยือน เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง โดยฯ พณฯ จาง เจี้ยนเว่ย เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย มากล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “50 ปี ความสัมพันธ์ไทย-จีน”
นางสาว น.รินี เรืองหนู นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวเปิดงานว่า กิจกรรมนี้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ.2561 เป็นผลจากความร่วมมือสองฝ่ายคือสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยกับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบันเกี่ยวกับประเทศจีนในมิติที่รอบด้านแก่สื่อมวลชนไทย โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ จะสามารถกลับมารายงานข่าวสารไปสู่คนไทยได้อย่างตรงไปตรงมา
“การจัดอบรมในปีนี้มีความพิเศษอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นวาระครบรอบ 50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งถือเป็น "ปีทองแห่งมิตรภาพ" ที่สะท้อนถึงสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นและยาวนานของทั้งสองประเทศ นอกเหนือจากการรับฟังบรรยายจากผู้เชี่ยวชาญจีนในประเทศไทยแล้ว คณะจะเดินทางไปเยือนเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นประตูยุทธศาสตร์ที่เชื่อมจีนเข้ากับอาเซียน แต่ยังมีบทบาทสำคัญในข้อริริเริ่ม "หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง" (Belt and Road Initiative) ด้วย”
ด้าน เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย กล่าวชื่นชมความร่วมมือในการจัดโครงการนี้และหวังว่าสื่อมวลชนจะเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ของสองฝ่ายไปสู่อีก 50 ปีทองต่อไป พร้อมกล่าวถึงผลการทำงานภายใต้ “แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 14” ของจีนซึ่งปีนี้เป็นปีสุดท้ายของแผน ซึ่งจีนต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้านทั้งสถานการณ์ระหว่างประเทศที่ซับซ้อน และมีภารกิจการปฏิรูป การพัฒนา และการรักษาเสถียรภาพภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม ถือว่าจีนมีส่วนช่วยต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกมากถึงประมาณ 30%
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบการพัฒนาเศรษฐกิจจีนตามแผนฯ พบว่าเติบโตทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เพิ่มขึ้นจาก 110 เป็น 120 ล้านล้าน และ 130 ล้านล้านหยวนตามลำดับ โดย 4 ปีแรกมีอัตราเติบโตเฉลี่ย 5.5% และคาดว่าตลอด 5 ปีจะขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่า 35 ล้านล้านหยวน ปีนี้ (2568) คาดว่า GDP จะสูงถึงราว 140 ล้านล้านหยวน เป้าหมายหลักของ “แผนฉบับที่ 15” ซึ่งจะเริ่มในปีหน้านั้น จะเป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ในการชี้นำทิศทางการพัฒนาของประเทศ ผลักดันแนวปฏิบัติของการพัฒนาประเทศ และกำกับการพัฒนาของประเทศจีน โดยเน้นการพัฒนาคุณภาพสูง ยกระดับความสามารถในการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงปี 2035 จีนจะสามารถบรรลุความยิ่งใหญ่ ทั้งทางเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ความมั่นคง ความเข้มแข็งในภาพรวมและบทบาทในเวทีโลก รายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชาชนจีนจะเทียบเท่ากับประเทศที่พัฒนาในระดับปานกลาง ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีและมีความสุข และบรรลุความทันสมัย ตามแบบของระบอบสังคมนิยม
เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ยังกล่าวด้วยว่าจีนกลายเป็นแหล่งบ่มเพาะนวัตกรรมของโลก อยู่ใน 10 อันดับแรกของดัชนีนวัตกรรมโลก เป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการพัฒนานวัตกรรมที่เร็วที่สุดของโลกในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ จีนกลายเป็นผู้นำโลกด้านการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว ในช่วง 4 ปีแรก จีนสามารถรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยปีละ 5.5% ด้วยอัตราการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียงปีละ 4.7% ความเข้มข้นของการใช้พลังงานลดลงสะสมถึง 11.6% ในปัจจุบัน พลังงานไฟฟ้าที่ประชาชนจีนใช้ทุกๆ 3 หน่วย จะมี 1 หน่วยเป็นพลังงานสีเขียว ทำให้จีนกลายเป็นประเทศที่ใช้พลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดและเติบโตเร็วที่สุดในโลก จีนมีประชากรกว่า 1,400 ล้านคน มีผู้มีรายได้ปานกลางมากกว่า 400 ล้านคน มีการบริโภคเกือบ 50 ล้านล้านหยวนต่อปี และมีการนำเข้ากว่า 20 ล้านล้านหยวนต่อปี ดังนั้น ตลาดขนาดใหญ่ของจีนกำลังเปลี่ยนผ่านจาก “การตอบสนองความต้องการภายในประเทศจีน” เป็น “โอกาสของโลก”
นอกจากนี้ นายจาง เจี้ยนเว่ย เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ยังกล่าวถึงสถานการณ์ปัญหาสแกมเมอร์ และอาชญากรรมหลอกลวงที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ขณะนี้ โดยมีการเชื่อมโยงไปถึงผู้ต้องหาสัญชาติจีน ว่า รัฐบาลจีนชื่นชมฝ่ายไทยที่ใช้มาตรการที่มีประสิทธิภาพในการปราบปรามการพนันออนไลน์และการหลอกลวงออนไลน์ พร้อมย้ำให้ความร่วมมือกับไทยเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวรวมทั้งกรณีข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ด้วย
“กรณีแก้ปัญหาสแกมเมอร์ทั้งไทยและจีนควรเสริมสร้างความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมาย ความมั่นคงรวมทั้งกระบวนการยุติธรรมมากขึ้น เพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และรักษาระเบียบการอยู่ร่วมกันของประเทศต่างๆ ในภูมิภาค ในประเด็นความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา นั้น จีนยึดมั่นในจุดยืนที่เป็นกลางและเป็นธรรมมาโดยตลอด อีกทั้งพยายามช่วยไกล่เกลี่ยและผลักดันการเจรจา จีนสนับสนุนให้ไทยและกัมพูชาแก้ไขข้อพิพาทผ่านการเจรจาด้วยสันติวิธี และสนับสนุนการแก้ไขปัญหาตาม "แนวทางของอาเซียน"
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี