‘หนู’เดือด ถูกโยงสแกมเมอร์ โวยซังกะบ๊วย! ยืนกราน รบ.ลุยปราบเต็มที่ ท้า‘ไอซ์ รักชนก’มาบริหาร ปท.

‘หนู’เดือด ถูกโยงสแกมเมอร์ โวยซังกะบ๊วย! ยืนกราน รบ.ลุยปราบเต็มที่ ท้า‘ไอซ์ รักชนก’มาบริหาร ปท.

วันเสาร์ ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

‘หนู’เดือดถูกโยงสแกมเมอร์

โวยซังกะบ๊วย!

ยืนกรานรบ.ลุยปราบเต็มที่

ท้า‘ไอซ์ รักชนก’มาบริหารปท.

‘เมียนมา’เผาวอด‘เคเคปาร์ค’

สแกมเมอร์เข้าไทยแตะ2พัน

 

“นายกฯหนู” ยันรัฐบาลนี้ปราบสแกมเมอร์แล้ว ทั้ง “ถอนสัญชาติ-ยึดทรัพย์” ลั่นคนทำงานไม่จำเป็นต้องพูดทุกเรื่อง ท้า “ไอซ์ รักชนก”มาบริหารประเทศก่อน แล้วจะทำอะไรก็ทำ หลังติง “ธรรมนัส” นั่งบอร์ดปราบค้ามนุษย์ไม่เหมาะสม โวย “ซังกะบ๊วย” กล่าวหา“เนวิน-อนุทิน” เอี่ยวโยงเป็นหัวโจกสแกมเมอร์ แจงซ้ำซิโน-ไทย แค่ให้เช่าตึกหลังDSIบุกค้น บ.ปริ้นซ์อินเตอร์ฯ ไขปมโยง “เครือข่าย ปริ้นซ์ กรุ๊ป - เฉิน จื้อ” ในขณะที่”วรภัค”ลมออกหูจ่อฟ้องสื่อตีแผ่ขายหุ้น ด้านเมียนมา เผาตึก ‘เคเคปาร์ค’ สแกมเมอร์ หนีกระเจิงเข้าไทยแตะ 2 พันคน


เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 24 ตุลาคม 2568 ที่พรรคภูมิใจไทย (ภท.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่นิวยอร์คไทมส์ ออกมาระบุไทยก็เป็นศูนย์กลางของของสแกมเมอร์ จะจัดการอย่างไร ว่า เรื่องนี้มีคนจัดการแล้ว ส่วนปัญหาสแกมเมอร์ที่ยังมีในฝั่งของเมียนมาทะลักเข้าไทยอยู่นั้น ต้องทำทั้งป้องกัน และปราบปรามอยู่แล้ว คนที่ทำงานได้ทำอยู่แล้ว คนที่ไม่ได้ทำ ก็อ่านข่าวมาแล้วขยายผล ทำให้ปั่นป่วนวุ่นวาย ซึ่งเรามีมาตรการที่ทำมาอย่างเต็มที่ เพราะเรื่องเหล่านี้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จะทำแบบเดิมไปตลอดไม่ได้ ซึ่งเป้าหมายที่ได้มอบให้ตำรวจ ฝ่ายความมั่นคง และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง คือ ต้องล้ำหน้ากว่าฝ่ายกระทำความผิดอยู่เสมอ ไม่ใช่เป็นตำรวจจับโจร ต้องดักทางทุกอย่างให้ถูก และแสวงหาความร่วมมือให้ได้มากที่สุด

รัฐบาลจัดการเต็มที่

ล่าสุดที่พบกับทูตจากสหรัฐอเมริกาได้เร่งให้มีผู้ชำนาญการมาร่วมมือแลกเปลี่ยนข้อมูลของผู้กระทำผิดในเรื่องนี้ และล่าสุดได้ทำให้เห็นชัดเจนในรัฐบาลชุดนี้แล้ว คือ การลงนามถอนสันชาติ นายพัด สุภาภา หรือ ลียง พัด ไม่ให้ถือสัญชาติไทยอีกต่อไป เพราะเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมาย ซึ่งได้ทำให้เห็นแล้ว ว่า สิ่งที่ไม่เคยทำมาในอดีต รัฐบาลนี้ได้ทำทั้งที่พึ่งเข้ามาทำงานเพียง 2 - 3 สัปดาห์ พร้อมย้ำว่า ยังทำอยู่ แต่คนที่ทำไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องพวกนี้ เพราะเกี่ยวข้องกับความลับทางราชการ กลยุทธ์วิธีการต่าง ๆ ถ้าพูดฝ่ายตรงข้ามก็จะหาวิธีมาแก้ไข และจะทำให้กระบวนการปราบปราม หรือ การดำเนินการอะไรต่างๆ ไม่เสร็จสักที

เมื่อถามถึงกรณีที่พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ออกมาระบุมีนักการเมืองอักษรย่อ “ช.ช้าง” เชื่อมโยงกับแก๊งสแกมเมอร์ ได้ตรวจสอบภายในพรรคภูมิใจไทยแล้วหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า โชคดีที่ไม่ได้บอกเป็นอักษรนามสกุล ถ้านามสกุล ช.ช้าง ก็คงเป็นตนเอง ดีที่บอกเป็นชื่อ แต่การตรวจสอบ ไม่ใช่จะตรวจสอบจากการที่ได้ยินใครมา เพราะมีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) รวมถึงกลไกของรัฐตรวจสอบอยู่แล้ว

โวยซังกะบ๊วยโยงเอี่ยว

เมื่อถามถึงกรณีที่น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน ออกมาทักท้วงว่า การตั้งร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรมว.เกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ไม่เหมาะสม นายกฯ กล่าวว่า ของพวกนี้ ไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์กัน เพราะไม่ได้เป็นคนทำงาน ถ้าอยากจะทำเรื่องนั้น ก็มาบริหารประเทศก่อน และทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ก็สามารถทำได้ ไม่ได้ห้าม

“แต่วิธีการทำงานของผมเองนั้นทำแบบนี้ แล้วที่ยอมถูกดุ ถูกด่า ถูกว่า ถูกตำหนิ มาโดยตลอด แต่ที่ผ่านมาก็ไม่มีใครมายึดทรัพย์ผู้กระทำผิด และครั้งนี้ได้ยึดทรัพย์ด้วย ไม่ใช่แค่ถอนสัญชาติ สิ่งที่ผมเองทำมาตลอด บางทีก็ไม่ต้องพูด ซึ่งจะทำต่อเนื่อง เพราะเรื่องเหล่านี้ไม่ได้จบภายในวัน หรือสองวัน และ 4 เดือนก็ไม่จบ แต่จะขัดขวาง และปราบปรามให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” นายอนุทิน กล่าว

เมื่อถามว่ากดดันหรือไม่ที่มารับช่วงต่อในการปราบสแกมเมอร์ นายอนุทิน กล่าวว่า เป็นรัฐบาลกดดันทุกวัน ไม่ถูกกดดันเรื่องนี้ ก็ถูกกดดันเรื่องอื่น ต้องทำงานภายใต้ความกดดันเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งที่จะต้องทำ คือ ต้องไม่ไปเสียขวัญกับแรงกดดันต่าง ๆ ถ้ามั่นใจ ว่า ได้ดำเนินการในทิศทางที่ถูกต้องแล้วก็ทำต่อไป ใครจะมาพูด หรือ ว่าอะไร ก็รับฟังไว้ และมาทำตลอด แต่ส่วนใหญ่ไม่เข้าท่า เช่น อยู่ๆบอกว่าปรับไม่ได้สักทีแล้วมาสงสัยตน หรือนายเนวิน ชิดชอบประธานสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เป็นเจ้าของสแกมเมอร์ เป็นบทสรุปที่ซังกะบ๊วย อย่างนี้ไม่ได้

“หนู”แจงเช่าตึกชิโนทัย

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯและรมว.มหาดไทยกล่าวถึงกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เข้าตรวจสอบบริษัท และเข้าพบผู้ถือหุ้นชาวไทยของ ปริ้นซ์ กรุ๊ป ซึ่งตั้งอยู่ในอาคารซิโน - ไทยว่า รายได้ของตึกซิโน -ไทย คืออาคารให้เช่า ใครมาเช่า ก็เช่าได้หมด แต่หากใครมาเช่าแล้วทำผิดกฎหมาย ก็ต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย พร้อมชี้นิ้วแล้วระบุว่า “คุณอย่าผูก ถ้าบริษัทซิโน-ไทย ทำสแกมเมอร์เอง อย่างงี้คุณค่อยมาดูว่ามันเกี่ยวข้องกับครอบครัวผมอะไรอย่างไร แต่นี่เขามาเช่า”

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า คำว่าปริ๊นซ์ เป็นคอมเมนเนม หรือ ศัพท์ทั่วไป แต่ถ้าเกี่ยวข้องเมื่อไหร่ ก็ดำเนินการ ตนบอกญาติๆตน ถ้าเกี่ยวข้องก็ไม่ต้องต่อสัญญาเช่าแค่นั้น และก็ออกไป ซึ่งเป็นการประกอบธุรกิจไม่เกี่ยวข้องกัน

เมื่อถามว่าได้รับรายงานจากดีเอสไอแล้วหรือไม่ นายอนุทินตอบว่า ตนรู้ว่ากลุ่มปริ้นซ์ ทำงานผิดกฎหมาย แต่ตนไม่ได้สนใจว่าไปอยู่ที่ไหน หากผิดกฎหมายก็ไปดำเนินคดีตามกฎหมายแค่นั้นเอง ตอนแรกบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ก็ยังต้องตรวจสอบเพิ่มเติม ปรากฎว่าเกี่ยวข้องกันก็ดำเนินคดีอย่างเต็มที่

เมื่อถามว่าได้พูดคุยกับนายวรภัค ธันยาวงษ์ อดีตรมช.คลังหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า พูดคุยแล้ว และเข้าใจกัน เมื่อถามว่ามีคนกังวลว่า จะกระทบกับจริยธรรมหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวสั้นๆว่า “ไม่ครับ”

เมื่อถามย้ำว่ากลัวถูกร้องหรือไม่ นายอนุทิน ปฏิเสธว่า “ไม่กลัวครับ เพราะเราตรวจสอบทุกอย่าง ตอนนี้เป็นข้อครหาเขายังไม่มีคดีอะไรใช่หรือไม่ ถ้ามีข้อกล่าวหาก็ดำเนินคดีไป” เมื่อถามว่าจะต้องมีการส่งหนังสือมาชี้แจงกับนายกรัฐมนตรีหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ส่งมาแล้ว ส่งมา 2-3 วันแล้ว

DSIบุกค้น ค้นตึกชิโนทัย

ก่อนหน้านี้เวลา 09.30 น. ที่อาคารชิโนไทย ทาวเวอร์ เลขที่ 32/28 ถนนสุขุมวิท 21 (ซอยอโศก) แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) นำโดย ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ผอ.กองกิจการอำนวยความยุติธรรม โดยกองกิจการยุติธรรม คณะพนักงานสืบสวนเรื่องที่ 134/2568 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้เดินทางเข้าพบผู้ถือหุ้นบริษัทปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (Prince International) เพื่อบันทึกการสอบปากคำ และรับมอบพยานเอกสารตามที่ผู้ถือหุ้นประสงค์ให้ความร่วมมือชี้แจงต่อดีเอสไอ สำหรับกระบวนการสอบปากคำพยานกับผู้ถือหุ้นบริษัทปรินซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (Prince International)นั้น

คณะพนักงานสืบสวน กองกิจการอำนวยความยุติธรรม จะได้สอบปากคำผู้ถือหุ้นชาวไทย 2 ราย ได้แก่ 1.นายปริตวาทย์ กุลศรีสุวรรณ และ 2.นายวุฒิชัย ประทุมวัลย์ ซึ่งจะสอบถามเกี่ยวกับที่มาที่ไปของการประกอบธุรกิจดังกล่าว และที่ผ่านมาผลประกอบการเป็นอย่างไรบ้าง รวมถึงกรณีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับเครือข่ายบริษัทปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป(Prince Holding Group)หรือไม่ อย่างไร และในบรรดาผู้ถือหุ้นทั้งหมดมีใครไปถือหุ้นในบริษัทอื่นหรือไม่ เป็นบริษัทใดบ้าง ซึ่งถ้าหากผู้ถือหุ้นรายใดให้การว่า“ตนเองเกี่ยวข้องกับบริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป” หรือให้การว่าตนไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป ทางณะพนักงานสืบสวนก็จะบันทึกคำให้การไว้ทั้งหมด เพราะบุคคลมีสิทธิ์จะให้การอย่างไรก็ได้ เช่น ถ้าบอกว่า“เคยเกี่ยวข้องกับบริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป” พนักงานสืบสวนก็จะได้สอบถามต่อว่า “เกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง จากธุรกิจใด เกิดขึ้นในห้วงเวลาใดบ้าง และตอนนี้ยังร่วมธุรกิจกันอยู่หรือไม่ ได้ไปเป็นเครือด้วยกันหรือไม่“ เป็นต้น ส่วนถ้าหากผู้ถือหุ้นต้องการมอบพยานเอกสารใดแก่ดีเอสไอเพื่อประกอบคำให้การ ทางดีเอสไอก็ยินดีรับนำไปพิจารณาในสำนวนการสืบสวน

พบชาวจีนถือหุ้นใหญ่

ทั้งนี้ บริษัทปรินซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2565 ทุนปัจจุบัน 2 ล้านบาท ประกอบธุรกิจนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ ปรากฏชื่อนายหวัง ยู่ ถัง สัญชาติจีน(ไต้หวัน) เป็นกรรมการรายเดียว นำส่งรายชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุดเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 พบว่านายหวัง ยู่ ถัง ถือหุ้นใหญ่สุด 49% ส่วนผู้ถือหุ้นชาวไทยอีก 3 ราย ได้แก่ นายพิภพ ประทุมวัลย์ ถือหุ้น 21% นายปริตวาทย์ กุลศรีสุวรรณ ถือหุ้น 20% นายวุฒิชัย ประทุมวัลย์ ถือหุ้น 10% นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2566 บริษัทมีการแจ้งเพิ่มทุนจดทะเบียนจากเดิมในปี 2565 จำนวน 1 ล้านบาท เพิ่มเป็น 2 ล้านบาท

ขณะที่นายหวัง ยู่ ถัง เพิ่งเข้ามาเป็นกรรมการเมื่อวันที่ 5 ก.ย.66 และนายวุฒิชัย ประทุมวัลย์ เข้ามาเป็นกรรมการเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2567 แต่ปัจจุบันนายวุฒิชัย ได้ยุติการเป็นกรรมการบริษัทแล้ว เหลือแค่นายหวัง ยู่ ถัง เป็นกรรมการรายเดียว ขณะเดียวกันวัตถุประสงค์การทำธุรกิจของบริษัทเมื่อปี 2565 ซึ่งปรากฏผ่านงบการเงิน พบว่าบริษัทแห่งนี้ประกอบกิจการขายสินค้าตามวัตถุที่ประสงค์จากประเทศญี่ปุ่น เช่น เครื่องประดับ เครื่องนุ่งห่ม อาหารแห้ง เสื้อผ้า เป็นต้น แต่ในปี 2566 แจ้งเปลี่ยนเป็นการขายปลีกสินค้าอื่นๆในร้านค้าทั่วไป จากนั้นเมื่อวันที่ 13 ส.ค.67 เปลี่ยนเป็นกิจกรรมของตัวแทนและนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ โดยได้รับค่าตอบแทนหรือตามสัญญาจ้าง กระทั่งวันที่ 15 มิถุนายน 2568 ได้เปลี่ยนประเภทธุรกิจเป็นนายหน้าอสังหาริม ทรัพย์

ตรวจบัญชีงบย้อนหลัง

ทั้งนี้ บริษัทได้มีการนำส่งงบการเงิน 3 ปีย้อนหลัง ดังนี้ งบการเงินปี 2565 แจ้งมีสินทรัพย์รวม 1,006,266 บาท หนี้สินรวม 44,000 บาท มีรายได้รวม 6,266 บาท รายจ่ายรวม 44,000 บาท ขาดทุนสุทธิ 37,733 บาท งบการเงินปี 2566 แจ้งมีสินทรัพย์รวม 729,345 บาท หนี้สินรวม 18,888 บาท รายได้รวม 10,000 บาท รายจ่ายรวม 1,261,810 บาท ขาดทุนสุทธิ 1,251,810 บาท งบการเงินปี 2567 แจ้งมีสินทรัพย์รวม 1,521,851 บาท หนี้สินรวม 5,096,157 บาท รายได้รวม 858,415 บาท รายจ่ายรวม 5,072,286 บาท ขาดทุนสุทธิ 4,284,763 บาท

รายงานข่าวว่า กรณีที่พนักงานสอบสวนดีเอสไอเดินทางเข้าพบผู้ถือหุ้นบริษัทปริ้นซ์ฯในวันนี้ สืบเนื่องจากสื่อต่างประเทศตั้งข้อสังเกตว่าอาจเชื่อมโยงกับเครือข่ายบริษัทปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป (Prince Holding Group) ซึ่งมี นายเฉิน จื้อ หรือ วินเซนต์ ชาวอังกฤษเชื้อสายกัมพูชา วัย 37 ปี ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัทฯ ซึ่งถูกทางการสหรัฐกล่าวหาในคดีฉ้อโกงและฟอกเงิน ที่มีความเกี่ยวพันกับศูนย์สแกมเมอร์และบังคับใช้แรงงานในประเทศกัมพูชา นอกจากนี้ มีรายงานข่าวว่าบริษัทปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้เช่าอาคาร Sino-Thai Tower ชั้น 7 ของอาคารดังกล่าว โดยมีสัญญาเช่าระหว่างวันที่ 1 ต.ค.66-30 ก.ย.69 ซึ่งดำเนินการผ่านบริษัทเอชทีอาร์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ให้บริการด้านการให้เช่าให้บริการและดูแลอาคารสำนักงานในนามซิโนไทยทาวเวอร์

ผู้ถือหุ้นชาวไทยแจงสื่อ

มีรายงานว่าหลังดีเอสไอสอบปากคำรนายกว่า 4 ชม หนึ่งในผู้ถือหุ้นชาวไทยของบริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้ชี้แจงกับสื่อมวลชนว่า วันนี้ทางบริษัทได้เชิญเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเข้าตรวจสอบเพื่อแสดงความบริสุทธิ์และชี้แจงข้อเท็จจริงว่าบริษัทปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป

พร้อมกันนี้ ได้มอบเอกสารหลักฐานเป็นรายชื่อผู้ถือหุ้น บัญชีรายรับรายจ่าย บัญชีงบประมาณ และเอกสารเส้นทางการเงินย้อนหลังของบริษัท ให้กับดีเอสไอ ซึ่งจะช่วยยืนยันว่ารายได้ของบริษัทไม่ได้เป็นรายได้จากต่างประเทศ รวมถึงฐานข้อมูลลูกค้าก็มาจากการให้คนไทยเช่าอสังหา ริมทรัพย์กว่า 90% ตั้งแต่เปิดบริษัทมา เพื่อยืนยันว่าเราไม่เคยมีเงินจากต่างประเทศเข้าบริษัทเลย ข้อมูลฐานลูกค้า รวมถึงการทำงานของพนักงานต่าง ๆ ซึ่งตรวจสอบได้เลยว่าเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่เป็นบริษัทนอมินี หรือบริษัทลูกของปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป

ส่วนประเด็นที่ให้ปากคำ เป็นการตอบข้อซักถามเจ้าหน้าที่ดีเอสไอในประเด็นความเกี่ยวข้องกับบริษัทปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป หรือเป็นนอมินี หรือตัวกลางให้กับแก๊งสแกมเมอร์ในการฟอกเงินหรือไม่ ซึ่งก็ยืนยันว่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องเป็นบริษัทในเครือใดๆ แต่ยอมรับว่า ตอนเริ่มทำธุรกิจ ได้เคยเจรจากับบริษัทปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป เพื่อจะขายสินค้าไทยไปยังกัมพูชา เนื่องจากเห็นว่าบริษัทดังกล่าวน่าเชื่อถือ เป็นบริษัทใหญ่ของกัมพูชาและเปิดช่องทางในการทำธุรกิจ แต่เนื่องจากเจรจาเรื่องผลประโยชน์ไม่ลงตัว จึงเปลี่ยนจากการขายสินค้าเป็นการทำธุรกิจนายหน้าเจรจากับบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในไทย เพื่อให้ไปลงทุนร่วมกับบริษัทปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป ในกัมพูชา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ร่วมมือกัน เพราะบริษัทปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป ได้นำแนวคิดดังกล่าวไปสร้างธุรกิจของตนเอง โดยที่บริษัทปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ไม่ได้ร่วมทุนด้วย

‘วรภัค’ขู่ฟ้องสื่อบิดเบือน

วันเดียวกันนายวรภัค ธันยาวงษ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง แนบลิงค์ สำนักข่าวอิศรา ก่อนโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า เนื่องจากมีผู้แชร์เอกสารตามในข่าวของสำนักข่าวอิศรา ในหลายช่องทาง ผมขออนุญาตชี้แจงสั้นสั้นตามข้อมูลที่มีปัจจุบัน ส่วนรายละเอียดคงต้องรอทางกองทุนที่สิงคโปร์คอนเฟิร์มมาอีกทีครับ

อย่างที่ผมแถลงข่าวไปเมื่อวานนี้ ผมได้เข้ามาซื้อหุ้นของ บล.ฟินันเซีย ในปี 2564 โดยส่วนของผมมีมูลค่าประมาณ 420 ล้านบาท ที่ชำระโดยเงินกู้จากกองทุน CAI 320 ล้านบาท และอีก 100 ล้านบาทเป็นเงินลงทุนส่วนตัว มีหลักฐานชัดเจนตอนควักเงินส่วนตัวไปลงทุน

เอกสารที่ถูกแชร์มานี้จริงๆ เป็นเอกสารชั้นความลับของกองทุนที่ห้ามถูกเปิดเผยกับภายนอกเพราะฉะนั้นคนที่เอาเอกสารนี้มาแชร์สามารถถูกดำเนินคดีตามกฎหมายได้

อย่างไรก็ตามตอนที่ผมตัดสินใจขายหุ้นฟินันเซียออกไป ก็จะมีส่วนเงินลงทุนประมาณ 100 ล้านบาทที่จะได้คืนมา ซึ่งถ้าดูในเอกสารที่แชร์กันว่อนในวันนี้จำนวนตัวเงินค่อนข้างตรงกันคือประมาณเกือบ 3,000,000 เหรียญสหรัฐซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนว่านี่ “ไม่ใช่การจ่ายเงินสินบน” ใดใดทั้งสิ้นจะเป็นการชำระคืนเงินลงทุนเดิมของผม

ส่วนการกำหนดเงื่อนไขการชำระเงินเป็นเงินคริปโตนั้น ทางกองทุนที่สิงคโปร์กำลังเช็คข้อเท็จจริงอยู่ว่าเป็นบัญชีคริปโตของกองทุนหรือไม่ หรือเอกสารที่เห็นอยู่นี้ ถูกยกเลิกไปโดยสัญญาอื่นแทน เพราะข้อเท็จจริงที่แน่แน่คือผมได้รับเงินลงทุนคืนเป็นเงินบาทโอนเข้ามาในบัญชีเงินบาทจำนวน 100 ล้านบาทเศษ ไม่เคยได้รับเป็นเงินคริปโตใดใดทั้งสิ้น มีหลักฐานยืนยันชัดเจนทั้งวันที่จ่ายเงินลงทุน 100 ล้านบาทออกไปจากบัญชีในปี 2564 และได้เงินลงทุนคืนกลับมาในต้นปี 2567 ขออนุญาตอธิบายสั้นสั้นเพียงแค่นี้ก่อนนะครับ

ยันไม่มีอะไรที่ต้องปิดบัง

เพราะฉะนั้นคนที่กล่าวหาว่านี่เป็นเงินสินบนโดนฟ้องแน่นอนครับ เพราะมันเป็นเงินจากการขายหน่วย ลงทุน ซึ่งในเอกสารที่แชร์กันว่อนวันนี้มีระบุชัดเจนว่าเป็นเงินชำระหน่วยลงทุน ผมยังยืนยันว่าผมไม่มีอะไรต้องปิดบังครับ ไม่เคยทำไรเกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฎหมาย

ทั้งนี้ สำนักข่าวอิศรา ได้เผยแพร่รายงานของ นายทอม ไรต์ อดีตผู้สื่อข่าววอลสตรีทเจอร์นัล (WSJ) ได้มีการโพสต์เอกสารยืนยันข้อมูลของตนบนเว็บไซต์ https://whalehunting.projectbrazen.com/ ที่ยืนยันนางกนกพร สีตะวรารัตน์ หรือนางกนกพร ธันยาวงษ์ ถือหุ้นในกองทุน CAI (ย่อมาจากบริษัท Capital Asia Investment ของประเทศสิงคโปร์) ร่วมกับนางแคทรียา บีเวอร์ ภรรยาของนายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ ที่ตอนนี้มีรายชื่ออยู่ในร่างกฎหมายคว่ำบาตรกลุ่มสแกมเมอร์ของสหรัฐอเมริกา

‘อารีพงศ์’ย้ำไม่เกี่ยวสแกมเมอร์

นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม อดีตปลัดกระทรวงพลังงานและอดีตปลัดกระทรวงการคลัง ได้ออกเอกสารชี้แจงกรณีมีชื่อและภาพปรากฎในเว็บไซต์ BIC Group ซึ่งเกี่ยวพันกับเครือข่ายสแกมเมอร์ โดยยืนยันว่าเป็นการถูกแอบอ้าง

นายอารีพงศ์ ระบุว่า ตามที่ได้มีการเผยแพร่ข้อมูลและข่าวสารผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยกล่าวอ้างถึงและเชื่อมโยงข้าพเจ้ากับองค์กรที่ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์ข้ามชาติ เนื่องจากเว็บไซต์ BIC Group ได้แอบอ้างว่าข้าพเจ้าเป็น Board Advisory โดยเอารูป ชื่อ และประวัติการทำงานของข้าพเจ้าไปใช้ โดยที่ข้าพเจ้าไม่ทราบและไม่เคยอนุญาต ดังนั้น การกล่าวอ้างชื่อข้าพเจ้าเพื่อนำไปเชื่อมโยงกับองค์กรที่ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์ข้ามชาติตามที่ปรากฏในสื่อออนไลน์ จึงเป็นข้อมูลเท็จทั้งสิ้น ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงของข้าพเจ้าอย่างมาก ข้าพเจ้าขอเรียนยืนยันว่า ข้าพเจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับองค์กรดังกล่าว ข้าพเจ้าได้ดำเนินการแจ้งความกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วและจะดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป

ทะลักเข้าไทยเกือบ2พัน

ด้านสถานการณ์ชายแดนไทย-เมียนมา ความคืบหน้ากรณีที่ชาวจีน ชาวไทยและชาวต่างชาติจำนวนมากหนีข้ามมาจาก KK ปาร์ค แหล่งอาชญากรรมริมแม่น้ำเมย เมืองเมียวดี ประเทศพม่า ภายหลังจากที่ทหารเมียนมา ได้ประสานมายังกองกำลังกะเหรี่ยงพิทักษ์ชายแดน BGF(Karen Border Guard Force)ซึ่งควบคุมดูแลพื้นที่ KK ปาร์ค ทำให้ BGF เร่งเคลียร์พื้นที่ เผาอาหาร และเปิดประตูให้เหยื่อและสแกมเมอร์ตามอาคารต่างๆหนีออกมา โดยจำนวนมากถูกขนด้วยรถบรรทุกไปยังจังหวัดเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง สหภาพเมียนมา ขณะที่จำนวนไม่น้อยหนีข้ามแม่น้ำเมยมายังฝั่งประเทศไทย และบางคนจมน้ำตาย

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่าล่าสุดตัวเลขผู้ที่หนีจาก KK ปาร์คข้ามมายังฝั่งไทยเพิ่มสูงขึ้นไม่น้อยกว่า 1,667 คน ซึ่งมีทั้งชาวไทย จีน อินเดีย เนปาล เคนยา เวียดนาม ศรีลังกา เอธิโอเปีย บังคลาเทศ ฟิลิปปินส์ ปากีสถาน เป็นต้น

ถูกทรมาน/จมน้ำตาย

หญิงสาวชาวไทยคนหนึ่งบอกว่า ตนเองหนีข้ามมาจาก KK ปาร์ค โดยตนเข้าไปทำงานเนื่องจากมีเอเจนซี่ติดต่อซึ่งเป็นงานที่สนใจและได้เงินเดือนที่ดีกว่าในประเทศไทย โดยเขาอ้างว่าทำงานมีวันหยุดและไม่มีการบังคับอะไรเลย ซึ่งเป็นคำพูดที่โน้มน้าวใจทำให้ตนตัดสินใจเข้าไปทำงานในเคเค ปาร์ค แต่เมื่อไปถึงกลับไม่ได้เป็นเช่นที่คุยกันไว้ หากไม่ทำตามที่เขาต้องการก็มีตัวอย่างที่เขาลงโทษเหยื่อให้เห็นว่าจะโดนอย่างไร ทำให้เราจำใจต้องทำเพราะไม่มีทางเลือก เมื่อไปถึง KK เปาร์ครู้สึกงงมาก ห้องที่นอนมีอยู่ด้วยกัน 5-6 คน เป็นชาวเวียดนาม ลาว กัมพูชา ตนเองตกใจมาก แต่เมื่อมาถึงจุดนี้ เราทำอะไรไม่ได้แล้ว เขาก็สอนให้ทำงานให้เป็น เขากำหนดยอดว่าต้องทำให้ได้ 80% ถ้าทำไม่ได้ก็มีตัวอย่างให้เห็น เราอยากออกไปแต่ทำอะไรไม่ได้เลย อยากเตือนคนไทยว่าอย่าเลือกไปทำงานเพราะเห็นว่าเงินเดือนดีเลย ประสบการณ์ที่เจอมันรุนแรงมาก ถ้าทำไม่ได้ เขาลงโทษให้อดข้าวอดน้ำ ไม่ได้เจอเดือนเจอตะวัน มีทุบตีบ้าง

เคเคปาร์ตแตกแล้ว

พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รองจเรตำรวจแห่งชาต เปิดเผยเพิ่มเติมถึงกรณีที่ทางการเมียนมาได้ดำเนินการปราบปราม “เคเคปาร์ค” แหล่งกบดานของแก๊งสแกมเมอร์ข้ามชาติ และมีบางส่วนหลบหนีเข้ามาในฝั่งไทย ว่าผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการคัดแยกผู้หลบหนีว่าเข้าข่าย “เหยื่อค้ามนุษย์” หรือเป็นผู้ร่วมขบวนการ โดยมีศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้าในพื้นที่ทำหน้าที่ประสานงานหลัก ภายใต้การกำกับของกระทรวงมหาดไทย

ทั้งนี้ ได้จัดกำลังจากตำรวจตรวจคนเข้าเมืองและ ตำรวจกองบังคับการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์หรือ ปคม. และตำรวจไซเบอร์ร่วมลงพื้นที่ เพื่อเชื่อมโยงฐานข้อมูลและตรวจสอบประวัติผู้หลบหนีอย่างละเอียด

“จากข้อมูลเบื้องต้น ยังไม่พบว่ามีคนไทยหลบหนีจากเคเคปาร์คกลับมาในรอบนี้ ส่วนใหญ่เป็นชาวจีนมากที่สุด รองลงมาคือชาวอินโดนีเซีย และเวียดนาม ซึ่งทำงานเป็นแรงงานสแกมเมอร์ หลอกลวงเหยื่อที่มีสัญชาติเดียวกันในระบบข้ามชาติ”

เร่งสอบ11เกาหลีถูกลักพาตัว

พล.ต.ต.จตุรภัทร์ ภิรมย์แก้ว ผู้บังคับการกองการต่างประเทศ ในฐานะรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีสื่อเกาหลีใต้ เสนอข่าวอ้างว่ามีชาวเกาหลี 11 คน ถูกลักพาตัวในประเทศไทย ว่า เรื่องนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูล ข้อเท็จจริง ขณะนี้เป็นเพียงการรายงานข่าวของสื่อฯ เท่านั้น อย่างไรก็ตามตำรวจไทยและตำรวจเกาหลีใต้มีความสัมพันธ์อันดี และมีการประสานงานกันอย่างต่อเนื่อง โดยยืนยันว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ได้นิ่งนอนใจ และมีมาตรการในการดูแลความปลอดภัย ป้องกันไม่ให้นักท่องเที่ยวตกเป็นเหยื่อของขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top