‘อัษฎางค์’เบิกเนตร‘ปวิน’ ตอบชัดๆ 4 ข้อถึงพวก‘ปฏิกษัตริย์นิยม’

‘อัษฎางค์’เบิกเนตร‘ปวิน’ ตอบชัดๆ 4 ข้อถึงพวก‘ปฏิกษัตริย์นิยม’

วันจันทร์ ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 08.12 น.

‘อัษฎางค์’เบิกเนตร‘ปวิน’ ตอบชัดๆ 4 ข้อถึงพวก‘ปฏิกษัตริย์นิยม’

27 ตุลาคม 2568 อัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก “เอ็ดดี้ อัษฎางค์” ระบุว่า...


ผมจะมาตอบปัญหา 4 ข้อ ของ “ปวิน” คนที่มีอคติและเป็นพวก “ปฏิกษัตริย์นิยม” ด้วยข้อเท็จจริง

#อัษฎางค์ยมนาค #อ่านเกมอำนาจ

#พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

#สถิตในดวงใจตราบนิจนิรันดร์

ปวิน:

1. “ดิชั้นจึงเห็นอีกด้านหนึ่งของควีนสิริกิต์ ที่มีบทบาททางการเมืองที่ชัดเจน ในยุคสงครามเย็น ควีนได้ทำงานเคียงข้างในหลวงอย่างแข็งขันเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ระบอบกษัตริย์ ได้เดินทางไปทั่วประเทศ เยี่ยมชาวบ้าน ส่งเสริมอาชีพพื้นบ้านผ่านการพัฒนาต่างๆ ในโครงการในพระราชดำริ และปลูกฝังความคิดเรื่อง “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” แม้ดิชั้นจะมองว่าสิ่งเหล่านี้คือความเสียสละอันยิ่งใหญ่ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเห็นว่านี่คือส่วนหนึ่งของการสร้าง “อำนาจเชิงวัฒนธรรม” ของสถาบันกษัตริย์ที่หล่อหลอมให้คนไทยเข้าใจว่า ความจงรักภักดีคือเงื่อนไขของการเป็นพลเมืองดี”

อัษฎางค์:

ถ้างานศิลปาชีพทำให้เกิดทุนสังคมและรายได้ครัวเรือนจริง คุณจะเรียกสิ่งนี้ว่า “ครอบงำ” หรือ “สวัสดิการวัฒนธรรม” ต่างกันอย่างไรเชิงผลลัพธ์?

→  1.  สวัสดิการวัฒนธรรม ≠ ล้างสมอง

รายได้ที่เพิ่มขึ้นกับช่างทอผ้า คือข้อเท็จจริง ไม่ใช่สโลแกน

→  2. “อำนาจเชิงวัฒนธรรม” ในเชิงวิชาการหมายถึงความสามารถในการกำหนดความหมายและค่านิยมร่วมของสังคม ไม่ได้แปลว่า “บังคับ” เสมอไป การบังคับต้องมี การปิดปาก และ เครื่องมือบังคับใช้ ที่พิสูจน์ได้อย่างเป็นระบบ ไม่ใช่แค่มีสัญลักษณ์หรือโครงการสาธารณะ

→  3. งานพัฒนาชนบทและศิลปาชีพที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ทรงริเริ่ม ไม่ได้มีเป้าหมายล้างสมองใคร หากแต่ช่วยให้ชุมชนมีรายได้ รักษาภูมิปัญญา และสร้างทุนสังคมที่จับต้องได้

→  4. การที่ผู้คนผูกพันกับสถาบันฯ จากผลของงานสาธารณะ เป็นเรื่องปกติของสังคมสมัยใหม่ที่ใช้ “Soft Power” มากกว่า “กำลังบังคับ” ถ้าจะบอกว่านั่นคือการครอบงำ ต้องมีหลักฐานว่ามีการปิดปากและปิดพื้นที่คัดค้านจริง ไม่ใช่เพียงความรู้สึก

→  5. หน้าที่แรกของโครงการเหล่านี้คือ “ปากท้องและมรดกวัฒนธรรม” ผลลัพธ์ที่ได้ คือ ชุมชนเข้มแข็งและอัตลักษณ์ที่ต่อยอดเป็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพิ่มรายได้ รักษาฝีมือพื้นบ้าน ไม่ใช่หลักสูตรยัดเยียดความคิด และการที่ประชาชน “รู้สึกผูกพัน” จึงเป็น “ผลพลอยได้ตามธรรมชาติของสวัสดิการวัฒนธรรม ไม่ใช่แผนล้างสมอง”

→  6. ถ้าจะกล่าวหาว่าเป็น “hegemony ที่ครอบงำ” ต้องแสดงหลักฐานว่า ห้ามค้านตรงไหน? ใช้อะไรปิดพื้นที่สาธารณะ? ไม่ใช่ยืนยันด้วยความรู้สึก

→  7. การเกิดผลทางสัญลักษณ์ (เช่น คนรู้สึกผูกพันต่อชาติ/สถาบัน) ไม่เท่ากับการบังคับความจงรักภักดี แต่คือผลพวงของการสร้าง “ทุนสังคม” และ “ความไว้วางใจต่อสถาบัน”

→  8. อำนาจเชิงวัฒนธรรม เป็น Soft Power ที่ทำให้คน “อยาก” ร่วม ไม่ใช่ “จำใจ” หรือ “บังคับ”

_______________________________________________

ปวิน:

2. หลังวิกฤตปี 2549 ที่ควีนปรากฏตัวในงานศพของ “น้องโบว์” (ปี 2551) ผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มันตอกย้ำว่า สถาบันกษัตริย์ไม่ใช่ผู้สังเกตการณ์อีกต่อไป แต่เป็นผู้เล่นในสนามการเมืองอย่างเต็มตัว

อัษฎางค์:

เหตุการณ์ปี 2551  เป็น “การตีความ” ของผู้สังเกต หรือ “บทบัญญัติกฎหมาย” กันแน่? เอกสารกฎหมายใดรองรับข้อสรุปว่า “เล่นการเมืองเต็มตัว”? 

→  1. ข้อสรุปว่า”ลงการเมืองเต็มตัว“ เป็น “การตีความ” ของผู้สังเกต มิใช่ “ข้อกฎหมาย”

→  2. ในระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ บทบาทเชิงสัญลักษณ์และบรรเทาวิกฤตเป็นเรื่องปกติของประมุข/ราชสำนัก มิได้เท่ากับการใช้อำนาจการเมืองโดยตรง

 → 3. McCargo อธิบายว่า “อิทธิพล” เกิดจากเครือข่ายการตีความของสังคม–สื่อ–นักการเมือง มากกว่าพระราชเสาวนีย์โดยตรง ฉะนั้นความเป็น “การเมือง” ส่วนใหญ่เกิดจาก การตีความของตัวแสดงทางการเมือง ไม่ใช่จากบทบาทเชิงพิธีการนั้นเอง

→  4. ในหลายราชวงศ์ทั่วโลก การพระราชทานกำลังใจผู้สูญเสียเป็น”ปกติ“ การสรุปว่าเป็น “การเมืองเต็มตัว” จึงต้องอ้าง บทบัญญัติกฎหมาย ไม่ใช่มาจากการตีความจากคนที่มีอคติและ คิดแต่จะแซะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันฯ

→ 5. อย่าสับสนระหว่าง “การแสดงน้ำใจสาธารณะ” กับ “คำสั่งทางการเมือง”

→  6. เหตุการณ์ปี 2551 เป็นข้อเท็จจริงที่ต่างคนตีความ แต่บทบาทของสถาบันในระบบรัฐธรรมนูญคือเชิงสัญลักษณ์และประคองวิกฤต ไม่ใช่ฝ่ายบริหาร การเหมารวมว่าลงสนามการเมืองเต็มตัว จึงเป็นการสรุปเกินข้อกฎหมาย

ขอถามกลับ

 • คุณอ้าง บทกฎหมายมาตราใด ที่ระบุว่า “การร่วมพิธีศพ” = “ใช้อำนาจการเมือง”?

 • การตีความของคุณ ควรมีน้ำหนักเหนือกว่า บทบาทเชิงรัฐธรรมนูญ หรือ?

_______________________________________________

ปวิน:

3. ดิชั้นก็เห็นว่าการเมืองที่ควีนเข้าไปเกี่ยวข้อง ได้ทำลายเสน่ห์และความศักดิ์สิทธิ์ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเสาหลักของชาติ ดิชั้นยังคงเชื่อว่าการเคารพสถาบันกษัตริย์ไม่จำเป็นต้องหมายถึงการปิดปากตัวเองจากคำถาม การเคารพอย่างแท้จริงคือการยอมรับว่าบุคคลเหล่านี้ -และควีนสิริกิต์- ก็เป็นมนุษย์ การพูดถึงความจริงไม่ใช่การลบหลู่ แต่คือการรักษาให้สิ่งที่เรานับถือไม่ถูกบิดเบือน

อัษฎางค์:

สังคมประชาธิปไตยต้องถกเถียงได้ แต่การถกเถียงที่ดีเริ่มจากข้อเท็จจริง

ในระบอบ constitutional monarchy สมัยใหม่ สถาบันควร “หายไปจากพื้นที่สาธารณะ” หรือ “คงบทบาทสาธารณะเชิงคุณค่า” แบบ soft power คุณเลือกแบบใดและเพราะอะไร?

→  1. “ศักดิ์สิทธิ์” ยุคนี้ไม่ได้อยู่ด้วยความเงียบ แต่อยู่ด้วย “ผลงานสาธารณะที่จับต้องได้” และ “ความสอดคล้องกับค่านิยมร่วม”

→  2. งานพัฒนาวัฒนธรรม/อาชีพ คือฐานความชอบธรรมระยะยาว ทำให้ผู้คนเห็นคุณค่าจริง ไม่ใช่สร้างภาพ

→  3. ถ้าจะบอกว่า “ความเชื่อมั่นลด” จงเสนอ “ดัชนี/ข้อมูล” ที่ชี้ชัด ไม่ใช่เพียงความรู้สึก

ขอถามกลับ

 • คุณมี “ดัชนีเชิงประจักษ์” ใดบ้างที่พิสูจน์ความเชื่อมั่นลดลง “เพราะ” พระราชกรณียกิจ ไม่ใช่เพราะปัจจัยการเมือง/เศรษฐกิจอื่น?

 • คุณมีหลักฐานเชิงประจักษ์ใดว่าเกิด “การปิดปากคัดค้าน” ตรงไหน อย่างไร?

_______________________________________________

ปวิน:

4. ควีนสิริกิติ์จะยังคงเป็นสัญลักษณ์ของยุคสมัยหนึ่งที่ซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย เป็นทั้งความภาคภูมิใจและความเจ็บปวด เป็นทั้งภาพของ “แม่ของแผ่นดิน” และเครื่องหมายคำถามของระบอบการเมืองไทย และขออนุญาตตั้งคำถามกับสิ่งที่ควีนเลือกจะทำเช่นกัน เพราะนั่นคือวิธีที่ดิชั้นรักสถาบันบนวุฒิภาวะ ไม่ใช่แบบที่ต้องรอให้ใครบอกว่าความรักคืออะไร

อัษฎางค์:

วิจารณ์ได้ ถ้า จริง–มีเหตุผล–ไม่ใส่ร้าย และ อยู่ในกรอบกฎหมาย

ถ้าจะแปะป้าย “ทำลายความศักดิ์สิทธิ์” โปรดเสนอ ตัวชี้วัด และฐานข้อมูล (ไม่ใช่ความรู้สึก) ว่าความเชื่อมั่นสถาบันลดลงเพราะพระราชกรณียกิจใด อย่างไร?

→  1. เสรีภาพต้องคู่กับความรับผิดชอบ หลักนิติรัฐวางให้เสรีภาพการแสดงออกดำรงอยู่ พร้อมหลักป้องกันการใส่ร้าย/ทำลายชื่อเสียง/ความมั่นคงของสถาบันหลักของรัฐ

→  2. ในสังคมเสรีนิยมสมัยใหม่ การวิจารณ์ที่ชอบธรรมต้อง ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริง–เหตุผล–ความสุจริต ไม่ใช่การป้ายสี

→  3. ประเทศไทยมีกฎหมายคุ้มครองสถาบันอย่างชัดเจน ผู้สื่อสารต้องรู้กติกา เคารพข้อเท็จจริง และหลีกเลี่ยงการกล่าวหาเท็จหรือให้ร้าย

ขอถามกลับ

 • ในมาตรฐานของคุณ “วิจารณ์อย่างมีวุฒิภาวะ” แยก ข้อเท็จจริง/ความคิดเห็น/ข้อกล่าวหา อย่างไร? เกณฑ์ตรวจสอบคืออะไร?

_______________________________________________

กรอบอ้างอิงที่ใช้ตอบโต้

• รัฐศาสตร์: Soft Power (Joseph Nye), Network Monarchy (McCargo), Legitimation (Max Weber), Civic Culture/Support (Almond & Verba, David Easton)

• สังคมวิทยา: ทุนสังคม/ทุนสัญลักษณ์ (Bourdieu), Hegemony (Gramsci), Public Sphere (Habermas)

• นิติรัฐ/รัฐธรรมนูญ: หลัก เหนือการเมือง ของสถาบันในระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ, หลัก Rule of Law/ความรับผิดชอบในการสื่อสารสาธารณะ, กรอบคุ้มครองตามกฎหมายไทย

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top