‘นักวิชาการ’ชี้‘ไทย-เขมร’เซ็นความร่วมมือฉลุย สะท้อน‘รัฐบาลภท.’ จริงจัง จริงใจ แก้ชายแดน

‘นักวิชาการ’ชี้‘ไทย-เขมร’เซ็นความร่วมมือฉลุย สะท้อน‘รัฐบาลภท.’ จริงจัง จริงใจ แก้ชายแดน

วันอังคาร ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 13.50 น.

หมดยุคหมกอำพรางซ่อนเร้น! ‘นักวิชาการ’ ชี้ ‘ไทย-กัมพูชา’ เซ็นความร่วมมือฉลุย สะท้อน ‘รัฐบาลภูมิใจไทย’ จริงจัง จริงใจ แก้ปัญหาชายแดน

เมื่อวันที่ 28 ต.ค.2568 รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว นักรัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยบูรพา กล่าวถึงข้อตกลงไทย-กัมพูชา จากการประชุมสุดยอดอาเซียนที่มาเลเซีย ระบุว่าการลงนามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างไทย–กัมพูชา–สหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 26ต.ค.ที่ผ่านมาว่า นับเป็นเหตุการณ์สำคัญที่พลิกโฉมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในบริบทของการสร้างสันติภาพหลังจากความตึงเครียดทางชายแดนไทย-กัมพูชาที่ดำเนินมายาวนานตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้ว การที่รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคภูมิใจไทย เข้ามามีบทบาทในการยุติความขัดแย้งดังกล่าว ไม่ได้เป็นเพียงการแก้ปัญหาความมั่นคงในเชิงยุทธศาสตร์เท่านั้น แต่เป็นการแสดงออกถึงความรับผิดชอบและความจริงใจทางการเมืองในฐานะรัฐบาลเพื่อการสร้าง เจตจำนงแห่งสันติภาพ อย่างแน่วแน่ ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการทูตเชิงสมานฉันท์ยึดประโยชน์ของชาติและความอยู่ดีมีสุขของประชาชนเป็นศูนย์กลาง


รศ.ดร.โอฬาร กล่าวต่อว่า ก่อนหน้าการเข้ามาบริหารประเทศของรัฐบาลภูมิใจไทย ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาถูกครอบงำด้วยความไม่ไว้วางใจซึ่งสั่งสมมาเป็นเวลานาน ความขัดแย้งเกี่ยวกับเขตแดน ส่งผลให้ทั้งสองประเทศต้องสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจและความร่วมมือในระดับภูมิภาค ขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์ส่วนบุคคลระหว่างผู้นำทางการเมืองในอดีตที่มีลักษณะของความใกล้ชิดกลับถูกตั้งคำถามถึงความโปร่งใสและผลประโยชน์ทับซ้อนมีวาระซ่อนเร้นอำพรางทำให้การดำเนินการขาดความน่าเชื่อถือ ในบริบทเช่นนี้การขึ้นมาของพรรคภูมิใจไทยในปี 2567–2568 จึงเป็นจุดเปลี่ยนเชิงนโยบายที่สำคัญรัฐบาลได้วางแนวทางใหม่ในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยยึดหลักความเป็นอิสระ โปร่งใส และปลอดจากแรงจูงใจส่วนตน การทูตของรัฐบาลชุดนี้จึงมุ่งเน้น ความร่วมมือเพื่อสันติภาพมากกว่าการแข่งขันทางอำนาจและให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ร่วมระหว่างประเทศ มากกว่าผลประโยชน์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หัวใจสำคัญของยุทธศาสตร์สันติภาพที่รัฐบาลนำเสนอ คือ ความจริงใจและความโปร่งใสในการเจรจา การเปิดเผยข้อมูลของข้อตกลงต่อสาธารณชน และการยืนยันว่าไม่มีส่วนใดที่ทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบในเชิงอธิปไตยหรือเศรษฐกิจ ล้วนสะท้อนถึงความมั่นคงทางจิตใจของรัฐบาลที่ยึดมั่นในผลประโยชน์ของชาติ

“ข้อตกลงนี้เน้นหลักการสำคัญของ ความเสมอภาคแห่งรัฐ และการเคารพเขตแดนตามกฎหมายระหว่างประเทศ โดยกำหนดให้มีคณะผู้สังเกตการณ์ร่วมภายใต้กรอบอาเซียนช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการแทรกแซงจากภายนอกโดยตรงและยังเป็นการยืนยันว่าไทยต้องการสร้างสันติภาพบนฐานของความร่วมมือและความไว้วางใจ ไม่ใช่บนแรงกดดันหรือผลประโยชน์ฝ่ายเดียว นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ขับเคลื่อนแนวทางเศรษฐกิจสันติภาพชายแดน(Border Peace Economy) เพื่อเปลี่ยนพื้นที่แห่งความขัดแย้งให้กลายเป็น พื้นที่แห่งโอกาสโดยเฉพาะจังหวัดสระแก้ว บุรีรัมย์ และศรีสะเกษ ที่มีศักยภาพเชื่อมโยงเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานกับกัมพูชา แนวทางนี้ไม่เพียงสร้างรายได้และการจ้างงาน แต่ยังทำให้ประชาชนทั้งสองฝั่งรู้สึกเป็นมิตรและพึ่งพากันได้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นรากฐานของสันติภาพที่ยั่งยืน” รศ.ดร.โอฬาร กล่าว

รศ.ดร.โอฬาร กล่าวอีกว่า จุดเด่นอีกประการของรัฐบาลคือ การทำให้การทูตกลายเป็นเรื่องของประชาชนอย่างแท้จริง การเปิดเผยเนื้อหาของข้อตกลงไทย–กัมพูชา–สหรัฐฯ อย่างครบถ้วน ถือเป็นสัญญาณของความโปร่งใสทางนโยบายที่ไม่เคยปรากฏชัดประชาชนสามารถรับรู้ ตรวจสอบ และทำความเข้าใจได้ว่าข้อตกลงนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างสันติภาพ ไม่ใช่การยอมอ่อนข้อให้ต่างชาติ การเปิดเผยเช่นนี้ช่วยสร้าง ความสบายใจทางการเมืองให้กับประชาชนในวงกว้าง และทำให้รัฐบาลได้รับความไว้วางใจมากขึ้นในเวทีระหว่างประเทศ เพราะความโปร่งใสกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมความชอบธรรมของรัฐ ในเชิงยุทธศาสตร์การดำเนินนโยบายของรัฐบาลภูมิใจไทยสะท้อนแนวคิด สันติภาพที่ตั้งอยู่บนผลประโยชน์ร่วมมากกว่าการยุติความขัดแย้งเพียงชั่วคราว รัฐบาลเลือกเข้าร่วมความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาโดยรักษาความสมดุลกับอาเซียนและประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ให้ไทยถูกมองว่าเข้าข้างมหาอำนาจใดมหาอำนาจหนึ่ง การวางตัวเช่นนี้สะท้อนถึง ความเป็นกลางเชิงยุทธศาสตร์ที่เน้นการรักษาผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก

รศ.ดร.โอฬาร กล่าวด้วยว่า รัฐบาลพรรคภูมิใจไทยจึงมองสันติภาพไม่ใช่เพียงเป้าหมายระยะสั้น แต่เป็น กลไกการพัฒนาแห่งอนาคตที่จะนำพาภูมิภาคไปสู่ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง และมนุษยธรรมร่วมกัน
รัฐบาลได้สร้างแบบอย่างใหม่ของการเมืองระหว่างประเทศที่ตั้งอยู่บนความจริงใจ ความโปร่งใส และความรับผิดชอบต่อประชาชนมากกว่าการเมืองแห่งการต่อรองผลประโยชน์ การยุติสงครามชายแดนไทย–กัมพูชาไม่เพียงเป็นชัยชนะของนโยบายต่างประเทศเท่านั้น หากยังเป็นสัญลักษณ์ของความเชื่อมั่นว่าการเมืองแบบเปิดเผยและปราศจากผลประโยชน์ทับซ้อน สามารถสร้างสันติภาพได้จริง รัฐบาลจึงพิสูจน์ให้เห็นว่าสันติภาพไม่ได้เกิดจากอำนาจ หากเกิดจากความจริงใจของผู้มีอำนาจและด้วยแนวทางเช่นนี้ ประเทศไทยไม่เพียงฟื้นฟูความไว้วางใจจากประชาชนและประเทศเพื่อนบ้านเท่านั้น แต่ยังสามารถยืนหยัดในฐานะศูนย์กลางแห่งสันติภาพและความร่วมมือของอาเซียนได้อย่างมีศักดิ์ศรีและยั่งยืน

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top