วันพฤหัสบดี ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2568
‘ไทย-กัมพูชา’ดีเดย์1พ.ย.68
ถอน‘ปืนใหญ่/รถถัง’
พ้นชายแดน2ฝ่าย
จบภายใน6สัปดาห์
“กองทัพภาคที่ 2-ภูมิภาคที่ 4 กัมพูชา” ดีเดย์ “ถอนอาวุธ” เฟสแรก เที่ยงคืน 1 พฤศจิกายน เริ่มจรวดหลายลำกล้อง‘BM-21’ เฟส 2‘ปืนใหญ่’ขนาด 155 ม. ใน 3 สัปดาห์ เฟส 3‘ยานเกราะ-รถถัง’ภายใน 6 สัปดาห์ เตรียมลงนามร่วมกัน 31 ต.ค.
เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2568 เวลา 09.00 น. มีการประชุมฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประสานงานชายแดนส่วนภูมิภาค(RBC) ระหว่าง กองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) ของไทย กับภูมิภาคทหารที่4 ของกัมพูชา ฝ่ายไทย นำโดย พล.ต.กัมปนาท วาพันสุ เสนาธิการกองทัพภาคที่ 2 เลขาRBC ฝ่ายไทย และฝ่ายกัมพูชา นำโดย พลจัตวา นิด ณารง รองเสนาธิการ ภูมิภาคทหารที่ 4 เลขา RBC ฝ่ายกัมพูชา เพื่อหารือแผนปฏิบัติการ (action plan) ปรับกำลังและถอนอาวุธหนัก ตามผลการประชุม คณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (GBC )สมัยพิเศษ ครั้งที่ 2 ผลการประชุมที่สำคัญ ดังนี้
ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นชอบในการกำหนดวันดีเดย์ร่วมกันใน 1 พ.ย.68 เวลา 00.00 น. ดำเนินการปรับกำลังตามลำดับของประเภทอาวุธที่มีการเสนอ ตาม action plan มีดังนี้
Phase 1 (เฟส 1) ปรับกำลังประเภท Type A จะเริ่มต้นใน 1พ.ย. 2568เวลา 00.00 น.(วัน D - Day) เป็นอาวุธประเภทจรวดหลายลำกล้อง
Phase 2ปรับกำลังประเภท Type B จะเริ่มต้นใน 22พ.ย. 2568เวลา 00.00 น.(วัน ดีเดย์ + 3สัปดาห์) เป็นอาวุธประเภทปืนใหญ่ทั้งหมด ทั้งลากจูงและอัตราจร ขนาด 155 มม.ลงมา
Phase 3ปรับกำลังประเภท Type C จะเริ่มต้นใน 13 ธ.ค. 2568 เวลา 00.00 น.(วันดีเดย์ + 6สัปดาห์) เป็นอาวุธ ประเภท ยานเกราะ รถถัง
ขณะเดียวกัน ผู้แทนฝ่ายเลขาฯ ทั้งสองฝ่ายจะลงนามใน “บันทึกการหารือ” และเตรียมการในการลงนาม “บันทึกการประชุม” ต่อไป ณ จุดผ่านแดนถาวรช่องจอม-โอร์เสม็ด
สำหรับการลงนาม “บันทึกการประชุม” ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้มีการลงนามบันทึกการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค กองทัพภาคที่ 2 – ภูมิภาคทหารที่ 4 ร่วมกันระหว่าง พลโท วีระยุทธ รักศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2 และ ผู้บัญชาทหารภูมิภาคที่ 4 กัมพูชา ใน วันที่ 31 ต.ค.68 เวลา 14.00 น. บริเวณจุดผ่านแดนถาวรช่องจอม-โอร์เสม็ด
ขณะที่วันที่ 15 พ.ย.68 จะมีการจัดการประชุมเพื่อทบทวนการปฏิบัติใน Phase 1เพื่อเตรียมการและแก้ไขปัญหาและ หารือในการปรับกำลังใน Phase 2และ 3เพื่อให้ส่วนที่เกี่ยวข้องมีเวลา ในการวางแผนเข้าตรวจสอบและวางแผนในการเคลื่อนย้าย
ที่กองบัญชาการกองทัพบก พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงประเด็นที่สังคมให้ความสนใจเกี่ยวกับการปล่อยตัวเชลยศึก ภายหลังไทยและกัมพูชาได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 68 ที่ผ่านมา
พลตรี วินธัย กล่าวว่า การพิจารณาปล่อยตัวเชลยศึกของฝ่ายไทยเป็นไปตามหลักกติกาสากลและกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งจะพิจารณาจากลักษณะท่าทีของความเป็นปฏิปักษ์ ที่เคยมีต่อกัน ต้องมีการลดระดับลงชัดเจน ผ่านผลการดำเนินการตามข้อตกลงที่ทั้งสองประเทศเห็นชอบร่วมกันไว้แล้ว 4 ข้อหลัก ได้แก่ การถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ชายแดน การเก็บกู้ทุ่นระเบิด การปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ และการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดน
ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) ทางกองทัพบก (ทบ.) ได้เชิญคณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศประจำประเทศไทย ประมาณ 20 ประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และลาว เป็นต้น เข้ารับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ไตรมาสที่ 1 ประจำปีงบประมาณ 2569
ทั้งนี้ การประชุมบรรยายสรุปสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ในไตรมาสที่ 1 เป็นไปตามข้อสั่งการของพลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) โดยมีเจ้ากรมข่าวทหารบก เป็นประธานประชุมชี้แจง เพื่อย้ำแนวทางการดูแล ความปลอดภัยประชาชน และรักษาอธิปไตย ตามนโยบายของรัฐบาล และกองทัพ ที่ยึดหลักปฏิบัติสากล และเงื่อนไข 4 ข้อ จากการประชุม จีบีซี ไทย-กัมพูชา คือ การถอนอาวุธหนัก ออกจากแนวชายแดน เก็บกู้วัตถุระเบิด ร่วมมือกันปราบปรามสแกมเมอร์ และหาแนวทางบริหารพื้นที่ชายแดน
นอกจากนี้กรมข่าวทหารบก ได้จัดบรรยายให้กับผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศใน 2 หัวข้อ คือ ภาพรวมสถานการณ์อาชญากรรมข้ามชาติ รอบชายแดนไทย บรรยายโดย พ.ต.ท. นิยม กาเซ็ง รองผู้กำกับการ ฝ่ายความร่วมมือและกิจการระหว่างประเทศ กองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสรุปหัวข้อการปฏิบัติทางการทูต และ กิจกรรมนำคณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศเยี่ยมชมหน่วยงานทางทหารเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดี โดยกองการทูตฝ่ายทหารบกสำนักวิเทศสัมพันธ์ กรมข่าวทหารบก
ทั้งนี้ กองทัพบกเปิดให้ผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศได้ซักถามข้อสงสัย โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับการปราบปรามอาชญากรรม อาชญากรรมข้ามชาติและปัญหาสแกมเมอร์
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย กล่าวถึง กรณีทหารเริ่มพูดคุยเรื่องการถอนกำลัง ออกจากพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ให้ฝ่ายความมั่นคงได้คุยกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซึ่งมีแนวทางตามปฏิญญาร่วมกันไปแล้ว ไม่พูดอะไรไปก่อน แต่ยืนยันได้ว่า คู่เจรจาจะต้องดำเนินการพูดคุยกันอย่างเต็มที่ ที่ผ่านมาทิศทางก็ดี จนถึงวันนี้ทุกอย่างก็เป็นไปตามความคาดหมาย
ส่วนที่ชาวบ้านชายแดนมีความกังวล การลงนามสันติภาพ จะทำให้ไทยเสียเปรียบ นายอนุทิน กล่าวว่า ตั้งแต่ประกอบอาชีพ หาเลี้ยงตัวเองมา ตั้งแต่จบการศึกษา ยังไม่เคยรู้สึกว่า ตัวเองทำให้องค์กรที่สังกัดอยู่เสียเปรียบ ตรงกันข้าม มีความชำนาญพอสมควรในด้านการเจรจา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการค้า หรือความเมือง และบางครั้งก็ทำได้มากกว่าที่คาดหวัง แต่จะยึดหลักคู่เจรจาต้องได้รับความเป็นธรรม ซึ่งเป็นเทคนิคของตัวเอง อธิบายไม่ได้
“เท่าที่พอจำความได้ ไม่เคยเสียเปรียบใคร คนถึงไม่ชอบหลายคน”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี