จับตาเคส‘สว.นันทนา’ สะท้อน‘จริยธรรม’เครื่องมือกำกับ หรือใช้กลั่นแกล้งทางการเมือง

จับตาเคส‘สว.นันทนา’ สะท้อน‘จริยธรรม’เครื่องมือกำกับ หรือใช้กลั่นแกล้งทางการเมือง

วันพฤหัสบดี ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 09.49 น.

จับตาเคส‘สว.นันทนา’ สะท้อน‘จริยธรรม’เครื่องมือกำกับ หรือใช้กลั่นแกล้งทางการเมือง

30 ตุลาคม 2568 นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (อดีต กกต.) โพสต์เฟซบุ๊ก “ปั่นไปไหน – สมชัย ศรีสุทธิยากร” หัวข้อ “กรณี สว. นันทนา เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยาก” ระบุว่า...


กรณี สว. นันทนา เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยาก

การลงมติของวุฒิสภาด้วยคะแนนเสียงถึง 130 ต่อ 26 ว่า  มีการกระทำที่ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง  อาจเป็นการใช้วิจารณญาณข้างมากของวุฒิสภาวินิจฉัยที่ดูเป็นการทำลายฝ่ายตรงข้ามแบบมีอคติ มากกว่า การรักษามาตรฐานทางจริยธรรมของผู้เป็น สว.

ประมวลจริยธรรม ของ สว. เป็นไปตามมาตรฐานจริยธรรมที่บังคับใช้กับ ศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระ สส. สว. และรัฐมนตรี ที่ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ ส่วนที่ 1 จริยธรรมอันเป็นอุดมการณ์  ส่วนที่ 2 จริยธรรมอันเป็นค่านิยมหลัก และ ส่วนที่ 3 จริยธรรมทั่วไป  โดยในประมวลจริยธรรมของ สว. มีเพิ่มส่วนที่ 4 คือ จริยธรรมที่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของ สว. และกรรมาธิการ

เมื่อพลิกอ่านประมวลจริยธรรมโดยละเอียดและด้วยใจเป็นกลาง พฤติกรรมการด้อยค่า สว. ที่มีอาชีพขายหมูว่ามีความไม่เหมาะสมที่จะได้รับโหวตให้เป็นกรรมาธิการพัฒนาการเมืองแทนที่จะเป็นตัวเองที่สอนด้านสื่อสารการเมือง

หากจะมีผิดจริยธรรมก็น่าจะมีเพียงข้อที่ 31 ในส่วนที่ 4 จริยธรรมที่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของ สว. และกรรมาธิการ  ประมวลดังกล่าว ที่ระบุว่า

“ต้องให้เกียรติและเคารพสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลของสมาชิก กรรมาธิการและผู้อื่น ไม่แสดงกริยาหรือใช้วาจาอันไม่สุภาพ ใส่ร้ายหรือเสียดสีบุคคลใด หรือนำเรื่องที่เป็นเท็จมาอภิปรายหรือให้ความเห็นในการประชุม”

การทำผิดในส่วนที่ 1 จริยธรรมอันเป็นอุดมการณ์ ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง  โดยในส่วนอื่นไม่ถือว่าร้ายแรง แต่อาจตีความเป็นร้ายแรงได้ จาก “พฤติกรรม เจตนา ตำแหน่ง ความสำคัญของตำแหน่ง หน้าที่ความรับผิดชอบ อายุ ประวัติและความประพฤติของผู้นั้น มูลเหตุจูงใจ สภาพแวดล้อมแห่งกรณี ผลร้ายหรือความร้ายแรงของความเสียหาย” มาประกอบการพิจารณา

ส่วนการลงโทษ มี 2 ระดับ คือ หากผิดไม่ร้ายแรง วุฒิสภามีมติ ว่ากล่าว ตักเตือน ซึ่งต้องใช้เสียงเกินครึ่งของวุฒิสภา  และมีมติว่าผิดร้ายแรง ให้ ส่ง ปปช.เพื่อดำเนินการถอดถอนต่อไป ซึ่งใช้เสียง 3 ใน 5 ของวุฒิสภา

สว. มี 200 คน 3 ใน 5 คือ 120 คน  การที่ สว. 130 คน ลงมติ จึงเป็นไปตามข้อกำหนดในข้อบังคับฯ

แม้จะถูกต้องครบถ้วนตามกติกา  แต่สมาชิกข้างมากของวุฒิสภา กำลังสร้างมาตรฐานใหม่ที่เข้าใจได้ยาก ว่าการกล่าวถ้อยคำข้างต้นถือเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานอย่างร้ายแรง และสร้างความรู้สึกแก่ประชาชนว่าเลือกปฏิบัติต่อฝ่ายตรงข้ามของตน เพราะในอดีตมีเรื่องราวของ สว. อีกหลายคน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ใช้วาจาไม่เหมาะสมต่อผู้อื่น มีพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศ การใช้ตำแหน่งหน้าที่เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อผู้อื่น กลับไม่มีการนำพิจารณาในเรื่องการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

กระบวนการคงเดินหน้าต่อไปที่ ปปช. ต้องมีการไต่สวนและลงมติจาก ปปช. เพื่อส่งไปยังศาลฎีกา  หากศาลฎีกาประทับรับฟ้องต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ หากศาลฎีกาว่าผิด ต้องพ้นจากตำแหน่ง สว. นับแต่วันที่ประทับรับฟ้อง

คำว่า มาตรฐานจริยธรรม ที่ตั้งใจออกแบบเป็นเครื่องมือกำกับฝ่ายการเมือง  วันนี้ อาจกลายเป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งทางการเมืองกันไปแล้ว  คงต้องรอดูว่า ปปช. หรือ หากไปถึงศาล จะมีวินิจฉัยที่แปลกประหลาดตามหรือไม่

-005

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top