'เศรษฐา'ระทึก! ป.ป.ช.รับไต่สวนทั้ง ครม. คดีโยกงบ 3.5 หมื่นล้าน ทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต

'เศรษฐา'ระทึก! ป.ป.ช.รับไต่สวนทั้ง ครม. คดีโยกงบ 3.5 หมื่นล้าน ทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต

วันศุกร์ ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 17.07 น.

ป.ป.ช.รับไต่สวน“ครม.เศรษฐา” โยกงบ 3.5 หมื่นล้าน ทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เข้าข่ายผิด ม.157  แต่ไม่รับไต่สวน “ครม.อิ๊งค์”เพราะยังไม่เข้ารับตำแหน่งตอนเกิดเหตุ

วันที่ 31 ตุลาคม 2568  นายสุรพงษ์ อินทรถาวร รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยถึงกรณีกล่าวหานายเศรษฐา ทวีสิน   เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กับพวก   ร่วมกันแปรญัตติในทางลดหรือตัดทอนงบประมาณรายจ่ายสำหรับเงินส่งใช้ต้นเงินกู้ ดอกเบี้ยเงินกู้ และรายจ่ายตามข้อผูกพันที่กฎหมายกำหนดให้จ่าย รวมถึงการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568

จากการสอบสวนปรากฏข้อเท็จจริงดังนี้

ข้อกล่าวหาที่ 1  กรณีกล่าวหาว่านายเศรษฐา  ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กับพวก ได้ร่วมกันแปรญัตติในทางลดหรือตัดทอนงบประมาณรายจ่ายของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) จำนวน 5 แห่ง วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นเงินส่งใช้ต้นเงินกู้ ดอกเบี้ยเงินกู้ และรายจ่ายตามข้อผูกพันที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย อันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคหนึ่ง (1)(2)(3)


รับฟังได้ว่า สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงการคลัง จำนวน 5 แห่ง ได้แก่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) หรือ EXIM Bank ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้พิจารณาเสนอปรับลดงบประมาณของตนเองลง ตามแนวทางที่ได้มีการประชุมหารือร่วมกันระหว่างสำนักงานเศรษฐกิจการคลังและสำนักงบประมาณ รวมวงเงินงบประมาณที่ถูกปรับลด เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 35,000 ล้านบาท แล้วนำไปเพิ่มเป็นรายจ่ายงบกลาง เพื่อนำไปใช้ในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาล (หรือโครงการเติมเงิน 10,000 บาท) โดยมิได้เกิดจากฝ่ายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เป็นผู้เสนอขอแปรญัตติเองตามระเบียบหรือข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อปรับลด ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) แต่อย่างใด

ดังนั้น จึงไม่มีการแปรญัตติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ อันเป็นองค์ประกอบความผิดตามรัฐธรรมนูญ คดีจึงไม่มีมูลเป็นความผิดฐานฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคหนึ่ง (3) ตามที่มีการกล่าวหา

นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญยังเคยมีคำวินิจฉัยว่า การยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม ต้องอยู่ในระหว่างการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณของสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา หากร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณดังกล่าวได้รับการพิจารณาเสร็จสิ้น และเป็นกฎหมายใช้บังคับแล้ว ย่อมไม่เข้าหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่จะเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้

คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงไม่มีกรณีต้องเสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป จึงมีมติให้ยุติการสอบสวนทางลับ   ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561

อย่างไรก็ดี เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงจากการสอบสวนว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายหรือมีมติสั่งการให้สำนักงบประมาณ (สงป.) ร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ดำเนินการให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) จำนวน 5 แห่ง พิจารณาทบทวนงบประมาณรายจ่ายที่ได้ตั้งคำขอไว้ โดยให้เสนอปรับลดงบประมาณของตนเองลงเพื่อเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณดังกล่าวไปเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาล

ต่อมาคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2567 มีมติเห็นชอบการเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ตามที่ SFIs เสนอ โดยปรับลดงบของทั้ง 5 แห่ง รวมวงเงิน 35,000 ล้านบาท แล้วนำไปเพิ่มเป็นรายจ่ายงบกลาง เพื่อนำไปใช้ในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายรัฐบาล

จนกระทั่งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2568 และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีมติเห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงงบประมาณดังกล่าว ทั้งที่งบของ SFIs ดังกล่าวมีสถานะเป็นภาระทางการเงินที่รัฐบาลต้องตั้งงบชดเชยตามกฎหมาย ได้แก่ พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาตรา 28 และพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2562 มาตรา 28

แต่รัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน กลับดำเนินการปรับลดงบประมาณในส่วนของ SFIs ทั้ง 5 แห่งลง โดยไม่ได้ตั้งงบชดเชยให้ในปีงบประมาณ 2568 การกระทำดังกล่าวจึงเข้าข่ายเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาตรา 9 และมาตรา 20 วรรคแรก (5) โดยมีเจตนาเพื่อโยกงบไปใช้ในโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ของพรรคเพื่อไทย เพื่อสร้างความนิยมทางการเมือง อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบการคลังของประเทศ

คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติเป็นเอก ฉันท์ให้รับเรื่องไว้ไต่สวน  โดยให้ดำเนินการไต่สวนบุคคลหรือคณะบุคคล ดังนี้ 1.นายเศรษฐา ทวีสิน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2.คณะรัฐมนตรีในรัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน ที่เข้าร่วมประชุมและมีมติเห็นชอบกับการปรับลดงบประมาณ 3.นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง 4.นายกรณินทร์ กาญจโนมัย รองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ

สำหรับผู้ถูกร้องรายอื่น คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติดังนี้ 1.นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร มีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับเรื่องไว้ไต่สวน เนื่องจากขณะนั้นยังไม่ได้เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการแปรญัตติปรับลดงบประมาณ

2.คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2568 ป.ป.ช. เสียงข้างมาก 5 ต่อ 2 ไม่รับเรื่องไว้ไต่สวน เนื่องจากข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏพฤติการณ์หรือพยานหลักฐานชัดเจน

3.สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาที่ลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ป.ป.ช. มีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับเรื่องไว้ไต่สวน

ข้อกล่าวหาที่ 2 กรณีกล่าวหาว่านายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กับพวก ได้ร่วมกันแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่ายให้กับกองทุนผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 1,256,710,300 บาท

ป.ป.ช. ตรวจสอบแล้วพบว่า คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีมติไม่เห็นชอบการขอเพิ่มงบดังกล่าว และร่าง พ.ร.บ.งบประมาณที่ประกาศใช้มียอดงบตรงกับที่เสนอเดิม คือ 220,184,400 บาท จึงไม่ปรากฏการแปรญัตติเพิ่มงบกองทุนดังกล่าว คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติว่า ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ยุติการสอบสวนทางลับ
 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top