วันจันทร์ ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
‘นันทนา’ ร้อง ‘ปธ.รัฐสภา’ หลังถูกวุฒิสภา เสียงข้างมากฟันขาดจริยธรรม ย้ำ ไม่ได้ด้อยค่า สว.ขายหมู แค่เรียกตามกลุ่มอาชีพ ด้าน ‘หมอเปรม’ ขอ ‘ปธ.วุฒิฯ’ ฟังสว.เสียงข้างน้อยด้วย หวั่น เป็นตราบาปของรัฐสภา
วันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 เวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว. ยื่นหนังสือถึงนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ขอให้ตรวจสอบการใช้อำนาจที่ขาดธรรมาภิบาลของวุฒิสภา โดยน.ส.นันทนา กล่าวว่า วันนี้ได้ทำหนังสือถึงประธานรัฐสภาเรื่องการใช้อำนาจที่ขาดธรรมาภิบาลของวุฒิสภา ซึ่งจะนำไปสู่ความล้มเหลวของฝ่ายนิติบัญญัติ โดยในหนังสือร้องเรียนระบุว่าสืบเนื่องจากมีผู้ร้องมายังคณะกรรมการจริยธรรมวุฒิสภาว่า ตนทำผิดจริยธรรมด้วยการดูหมิ่นด้อยค่าคนขายหมู จากนั้นคณะกรรมการจริยธรรมได้ดำเนินการสอบสวน และนำรายงานเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมวุฒิสภา และได้รายงานผลการตรวจสอบมาตรฐานทางจริยธรรมตามข้อบังคับ
น.ส.นันทนา กล่าวต่อว่า ซึ่งคณะกรรมการจะทำพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ จึงให้ที่ประชุมลงมติว่าตนฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่ ซึ่งที่ประชุมวุฒิสภาลงมติเสียงข้างมาก 130 เสียง เห็นว่าตนฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง และจะส่งเรื่องนี้ไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.) ต่อไป
น.ส.นันทนา กล่าวอีกว่า การกระทำดังกล่าวของวุฒิสภาถือเป็นการอคติกลั่นแกล้ง เนื่องจากที่ผ่านมา ตนได้ออกมาเปิดโปงเรื่องฮั้ว สว. และเรียกร้องให้ สว. ที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาหยุดปฏิบัติหน้าที่ในการให้ความเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ซึ่งการกระทำหน้าที่ดังกล่าวของตนเป็นไปยังเปิดเผยเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ แต่อาจเป็นการขัดต่อผลประโยชน์ของ สว. เสียงข้างมาก เห็นได้จากการที่กลุ่ม สว. เสียงข้างมากได้พยายามขัดขวางการอภิปรายในสภาของตนแทบทุกครั้ง การที่วุฒิสภามีมติให้การวิพากษ์วิจารณ์การคัดเลือกบุคคลเข้าเป็นกรรมาธิการแบบผิดฝาผิดตัวเป็นความผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง สะท้อนถึงการใช้ดุลพินิจที่ขาดความชอบธรรมในการตัดสิน
“การพิจารณาโทษที่รุนแรงไม่ได้สัดส่วนกับการกระทำ ถือเป็นการทำลายล้างทางการเมือง สร้างบรรยากาศแห่งความกลัว ทำให้สว.ขาดอิสระในการแสดงความคิดเห็น มากไปกว่านั้นคณะกรรมการจริยธรรมวุฒิสภาได้รับแจ้งข้อกล่าวหาคดีฮั้ว สว. เป็นกรรมการอยู่ถึง 15 คน ถือเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงกับผู้ถูกกล่าวหา จึงไม่ควรมีสิทธิ์เป็นกรรมการจริยธรรมพิจารณาตัดสินกรณีนี้ เพราะถือเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์อย่างรุนแรง การกระทำของคณะกรรมการจริยธรรมและที่ประชุมวุฒิสภาถือเป็นการทำลายนิติรัฐของวุฒิสภาลง” น.ส.นันทนา กล่าว
น.ส.นันทนา กล่าวอีกว่า การที่วุฒิสภาใช้เสียงข้างมากกำจัดฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ถือเป็นอันตรายต่อระบบรัฐสภาประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม ในฐานะที่ประธานรัฐสภาเป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติย่อมต้องพิทักษ์รักษาให้รัฐสภาแห่งนี้ปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติอย่างมีธรรมาภิบาลโปร่งใส ซื่อสัตย์เป็นกลาง จึงขอให้ประธานรัฐสภาตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบการใช้อำนาจที่ขาดธรรมาภิบาลของวุฒิสภาอย่างเร่งด่วน เพื่อไม่ให้ภาพลักษณ์ของวุฒิสภาถดถอย กลายเป็นสภาของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ที่ใช้อำนาจล้นเกินทำลายผู้เห็นต่างอย่างชอบธรรมที่จะนำไปสู่ความล้มเหลวของฝ่ายนิติบัญญัติ
ด้านนพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว. กล่าวว่า ในช่วงปิดสมัยประชุมตนได้ลงพื้นที่เพื่อไปสอบถามความคิดเห็นของประชาชนซึ่งระบุได้เลยว่า 99.99 เปอร์เซ็นต์ ไม่เห็นด้วยกับมติดังกล่าว ตนจึงขอถามไปยังผู้ที่ลงมติทั้ง 130 ท่าน ท่านยังคงสบายใจได้อยู่อีกหรือ ที่ประชาชนไม่เห็นด้วย ซึ่งหากองค์กรใดมีท่าทีหรือมติที่สวนทางกับประชาชน องค์กรนั้นจะอยู่อย่างสง่างามได้อย่างไร ฉะนั้น วันนี้เมื่อไม่มีที่พึ่งน.ส.นันทนาจึงหวังพึ่งประธานรัฐสภา
นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ตนมองว่าประธานรัฐสภาในเวลานี้จะเป็นผู้ที่สามารถให้หลักการและเป็นที่พึ่ง และการตรวจสอบที่โปร่งใสได้ จะเห็นได้ว่าขนาดสส.แม้มีเพียงเสียงเดียวก็ยังมีที่ยืนในกรรมาธิการ ยังสามารถทำงานได้ แต่สว.เสียงข้างน้อยไม่อาจจะสะท้อนใดๆ เลย ถูกปิดปากเช่นนี้ สิ่งที่อยู่ภายใต้คำว่าสภาสูงนั้น สูงจริงหรือไม่ และตามหลักที่ท่านเป็นประมุขของฝ่ายนิติบัญญัติ ขอให้ท่านกลับมาปัดกวาดบ้านหลังนี้ รวมถึงให้ความเป็นธรรมด้วย
“ผมมองว่าเรื่องนี้เป็นตราบาปของรัฐสภา หากประธานรัฐสภาไม่ปัดกวาด ตราบาปแบบนี้จะยังคงอยู่ตลอดไป และขอฝากถึงประธานวุฒิสภา อย่าฟังแต่เสียงคนนั้นคนนี้ ขอให้ฟังด้วยความเป็นธรรม รวมถึงฟังเสียงสมาชิกวุฒิสภาข้างน้อยด้วย ที่อาจจะมีมุมมองไม่เหมือนสมาชิกวุฒิสภาเสียงข้างมาก แต่ก็ทำโดยความเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน วันนี้ยิ่งมีข่าวว่า 17 สว. ถูกขึ้นบัญชีดำ และจะถูกเช็คบิลเป็นราย ๆ ไป อยากให้สังคมและประชาชนช่วยปกป้องเสียงข้างน้อยในสภาด้วย ให้มีที่ยืนเพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ให้ประชาชน” นพ.เปรมศักดิ์ กล่าว
นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ฉะนั้น หากประธานรัฐสภาปล่อยให้เรื่องที่เกิดขึ้นในวุฒิสภาเป็นแบบนี้ไม่มีผู้ใหญ่ลงมาซักถาม องค์กรนี้ก็จะเป็นสนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อ ในตน เมื่อวันหนึ่งสนิมกัดกินเหล็ก เหล็กก็อยู่ไม่ได้ นั่นก็คือรัฐสภาไม่สามารถเป็นที่พึ่งหวังของประชาชนได้อีกต่อไป
เมื่อถามว่า มีคนออกมาเรียกร้องให้น.ส.นันทนาออกมาแสดงความรับผิดชอบที่ดูหมิ่นว่าสว.อาชีพขายหมู น.ส.นันทนา กล่าวว่า ตนยืนยันมาตั้งแต่ต้นว่าไม่ได้เป็นการดูหมิ่นหรือด้อยค่า แต่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ระบบในการคัดเลือก สว. ที่เข้าสู่กรรมาธิการให้ถูกฝาถูกตัว ใช้คนให้เหมาะสมกับงาน เพื่อให้กรรมาธิการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใช้ความรู้ความสามารถให้ตรง เพื่อยกตัวอย่างให้เห็นว่า ถ้าคนที่มีความรู้ด้านหนึ่งแล้วไปเข้ากรรมาธิการที่ไม่ตรงกับความรู้ความสามารถประชาชนเสียประโยชน์แน่นอนจึงได้ยกตัวอย่างเรื่องคนขายหมูขึ้นมาหากไปอยู่กรรมาธิการพาณิชย์หรือการเกษตรจะตรงกับความรู้ความสามารถและผลักดัน ปัญหาของประชาชนได้มากกว่านี้หรือไม่ ตนจึงประท้วงระบบ และเป็นการเรียกตามกลุ่มอาชีพไม่ได้มีเจตนาด้อยค่า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี