ไม่สยบเขมร! กห.ย้ำไทม์ไลน์ถอนอาวุธหนัก เขมรต้องทำ4ข้อก่อนคุย18เชลย

ไม่สยบเขมร! กห.ย้ำไทม์ไลน์ถอนอาวุธหนัก เขมรต้องทำ4ข้อก่อนคุย18เชลย

วันอังคาร ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

ไม่สยบเขมร!

กห.ย้ำไทม์ไลน์ถอนอาวุธหนัก

เขมรต้องทำ4ข้อก่อนคุย18เชลย

 

นายกฯติงอย่าใช้คำว่า เขมรขวางกู้ระเบิด รับเรื่อง “ถอนกำลัง-กู้ทุ่นระเบิด” ไม่ราบรื่น ยังต้องคุยกันต่อ ย้ำ 4 เงื่อนไขต้องได้รับการตอบสนองจากเขมร ถึงจะพิจารณาเรื่อง 18 เชลยทหารเขมร ปัดข่าวเขมรขนอาวุธหนักกลับชายแดนอีก วอนเชื่อมั่นทหารกองทัพรู้ว่าปกป้อง ปท.อย่างไร เหล่าทัพประสานเสียงยันไทยแค่ถอนอาวุธหนัก ไม่ได้ถอนกำลังพล อาวุธยิงระยะสั้นยังอยู่ ทบ.แจงยิบ 5 ข้อปมถอนอาวุธหนักชายแดน ขอปชช.อย่ากังวล ยันกองทัพย้ายอาวุธหนักมาทัน ถ้าเขมรเบี้ยวถอนอาวุธ เล็งใช้ AOT กดดันเขมรฉีกข้อตกลง กห.เผยไทม์ไลน์ถอนอาวุธหนัก-ถอนกำลังจบสิ้นปีนี้

เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์กรณีมีรายงานข่าวกัมพูชาขัดขวาง ไม่ให้คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนหรือ AOT เข้าสังเกตการณ์เก็บกู้ทุ่นระเบิดที่ช่องสายตะกู จ.บุรีรัมย์ว่า อย่าเพิ่งไปใช้คำว่าขัดขวาง เขาประชุมกันตลอด ตนคุยกับพล.อ.อุกฤษณ์ บุญตานนท์ ผบ.ทสส.เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา( 3 พฤศจิกายน)ว่า ยังดำเนินการอยู่ เรื่องการถอนกำลังและเก็บกู้ทุ่นระเบิด ยังคุยกันต่อไป แม้อาจไม่ราบรื่น แต่เป้าหมายต้องชัดเจน ไม่ใช่ว่าขัดขวางแล้วฝ่ายไทยจะยอม เราก็ไม่ยอม


ย้ำเขมรต้องสนอง4ข้อก่อนคุยเรื่องเชลย

“ถ้าจะให้เรานำไปสู่สันติภาพและสันติสุข ยังคงย้ำเงื่อนไข 4 ข้ออยู่คือ ถอนอาวุธ เก็บกู้ทุ่นระเบิด ปราบสแกมเมอร์และการแก้ปัญหาพื้นที่อ้างสิทธิ์ ทั้ง 4 ข้อต้องได้รับการตอบสนอง ฝ่ายทหารและกองทัพของเราจึงดำเนินการเรื่องเชลยศึก การปักปันเขตแดนและคุยเรื่องอื่นต่อไป ยืนยันขณะนี้ยังอยู่ระหว่างดำเนินการของเขมร”นายกฯกล่าว

ปัดข่าวเขมรขนอาวุธหนักกลับชายแดน

ผู้สื่อข่าวถามว่ามีกระแสข่าวว่าเขมรขนอาวุธหนักกลับมาในพื้นที่ชายแดน นายอนุทินกล่าวว่า ขณะนี้ยืนยันว่าต่างฝ่ายต่างถอยออกไป ก่อนถามกลับผู้สื่อข่าวว่า ไปเอาข่าวนี้มาจากไหน ไม่มี เพราะข้อตกลงที่ทำไว้คือต่างคนต่างถอนอาวุธ ถ้าเข้ามาคือฉีกข้อตกลง จะถือว่าไม่มีข้อตกลงและสามารถทำตามที่เราเห็นว่าเหมาะสม

ถามว่ามีแนวคิดจะลงพื้นที่ชายแดนไทยกัมพูชาหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ถ้าจำเป็น หรือถึงจุดที่เราต้องไป เพื่อดูว่าทุกอย่างเป็นไปตามข้อตกลงหรือไม่ ซึ่งตนคุยกับผู้บัญชาการทหารสูงสุด

ถามถึงกรณีประชาชนกังวลเรื่องการถอนอาวุธของไทย ที่อาจกลับไม่ทันหากเขมร ไม่ทำตามข้อตกลง นายอนุทินกล่าวว่า ถามผบ.ทสส.และพล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ( ผบ.ทบ.) เขาต้องรู้ว่าเขาต้องปกป้องประเทศอย่างไร ขอให้เชื่อมั่นกองทัพ

นายกฯตั้งกก.ขับเคลื่อนแถลงร่วมไทย-เขมร

ช่วงบ่ายวันเดียวกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมพล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม นายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ และพล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ร่วมแถลงความคืบหน้าผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยและนายกฯเขมร (Joint Declaration) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง (JBC และ GBC) โดยนายสิริพงศ์แถลงตอนหนึ่งว่า เดือนมีนาคม-เมษายน สถานการณ์ไม่สงบเกิดขึ้นตามแนวชายแดน ไม่ว่าเป็นการรุกล้ำของเขมร ทำให้ไทยไม่สบายใจ จนมีเหตุการณ์ยิงต่อสู้จากการรุกล้ำการขุดคูเล็ตของเขมร รวมถึงกรณีทหารไทยเหยียบกับระเบิดเสียขา 3 ราย และมีระเบิดตกที่ปั๊มน้ำมัน มีประชาชนเสียชีวิต 8 คน เป็นการสูญเสียยิ่งใหญ่สำหรับคนไทย จากนั้นมีการตอบโต้ทำให้สูญเสียทหารไปนับ 10 ราย และบาดเจ็บ 666 คน จนถึงวันที่ 28 กรกฎาคม มีการลงนามข้อตกลงหยุดยิงของรักษาการนายกฯเวลานั้นกับรัฐบาลเขมรที่มาเลเซีย ที่เริ่มมีผู้สังเกตการณ์จากคนนอกเข้ามาคือ สหรัฐฯและมาเลเซีย ดังนั้น การดำเนินการใดๆที่เกิดขึ้นระหว่างไทย-เขมร เป็นเรื่องที่สังคมโลกจับตามอง

“วันนี้มาถึงจุดที่เราต้องเดินหน้าหาทางออกกรณีพิพาทไทย-เขมรแล้ว โดยขั้นตอนยึดโยงมาจากข้อตกลงคือ แนวทางปฏิบัติต่อกันอย่างไร ระหว่างไทยเขมร ซึ่งเรายืนยันหนักแน่นใน 4 ข้อหลัก ทั้งนี้ ยืนยันประเทศจะเดินหน้าได้ด้วยข้อเท็จจริง ทั้งนี้ นายกฯมีคำสั่งนายกฯเรื่อง จัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิบัติตามเอกสารถ้อยแถลงผลการพบปะหารือระหว่างนายกฯไทยและนายกฯเขมร ที่มาเลเซีย เมื่อวันที่ 26 ต.ค.68 โดยคณะกรรมการชุดนี้มีผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นประธาน มีหน้าที่ติดตามประเมินผลดำเนินการของทั้งเขมรและไทย อำนวยการคณะสังเกตการณ์ให้การสังเกตการณ์เป็นไปอย่างปกติที่สุด”โฆษกรบ.กล่าว

บ.ไทยไม่สยบเขมร-เปิดด่านสิ่งสุดท้าย

และยืนยันว่า รัฐบาลมุ่งมั่นนำความสงบสุขกลับมาคืนคนไทยในประเทศนี้ โดยยึดหลักเราจะไม่เสียดินแดน และอธิปไตยแม้แต่ตารางเซนติเมตรเดียวตลอดระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา ที่นายอนุทินมาเป็นนายกฯ เราไม่มีดินแดนไทยแผ่นไหน แม้แต่ 1 ตารางเซนติเมตรเสียให้เขมร ส่วนที่พูดถึงเรื่องเปิดด่านนั้น วันนี้ที่แถลงไม่มีการพูดเรื่องเปิดด่านเลย นโยบายรัฐบาลชัดเจนว่า ด่านชายแดนไทยเขมร จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่รัฐบาลพิจารณาทำ หลังเขมรทำตามเงื่อนไขทั้งหมดที่เขมรให้คำมั่นไว้ในถ้อยแถลงเท่านั้น ฉะนั้น ขอให้ทุกคนมั่นใจได้ว่ารัฐบาลไทยไม่ย่อหย่อนและไม่มีทางสยบยอมต่อกัมพูชาอย่างแน่นอน

โฆษกรัฐบาลยังยืนยันว่า การปล่อยตัว 18 ทหารกัมพูชา หนึ่งในข้อเรียกร้องที่เขมรขอมา กระบวนการเหล่านี้จะเริ่มต้นต่อเมื่อเขมรดำเนินการ 4 ข้ออย่างจริงจัง ฉะนั้น วันนี้อยู่ระหว่างประเมินว่าเขมรทำตามข้อตกลง 4 ข้ออย่างจริงจังหรือไม่ และแนวทางที่ใช้คือ สันติวิธี โดยการเจรจา ส่วนพื้นที่ปราสาทควาย ปราสาทคนา เนิน 677 และกรณีพิพาทที่ยังเป็นปัญหาอยู่ ต้องคุยกันระดับทวิภาคี โดยไม่มีกรอบเวลา โดยเขมาต้องปฎิบัติใน 4 ประเด็นใหญ่ก่อน

ยันไทยถอนอาวุธหนัก-กำลังพลยังอยู่

ด้านพล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหมแถลงเพิ่มเติมว่า ประเด็นการถอนอาวุธหนักที่มีอำนาจการทำลายล้างสูง เช่น จรวดหลายลำกล้อง BM-21 ได้กำหนดการถอนกำลังและถอนอาวุธวันที่ 1-21 พฤศจิกายน ส่วนเฟสที่ 2 ถอนกำลัง อาวุธ ระบบปืนใหญ่ทุกประเภท ปืนทำลายล้างสูง ปืนใหญ่อัตตาจร กำหนดห้วงเวลาคือ 22 พฤศจิกายน-12 ธันวาคม ส่วนเฟสที่ 3 ถอนอาวุธที่เหลือ เช่น รถหุ้มเกาะ รถถัง กำหนดเวลาไว้ที่ 13-31 ธันวาคม คาดว่าจะถอนกำลังและอาวุธหนักทั้งหมดภายในสิ้นปีนี้ รวมเวลา 2 เดือน ส่วนข้อห่วงใยของประชาชนเรื่องการถอนอาวุธจะหมายถึงถอนทหารด้วยหรือไม่นั้น ขอยืนยันว่าเป็นแค่ถอนอาวุธหนัก กองกำลังป้องกันชายแดนที่วางกำลังอยู่ในพื้นที่เดิมอยู่แล้ว ไม่ถอนกำลัง กำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนยังปฏิบัติหน้าที่เช่นเดิม เราไม่ถอนกำลังหมด

ฮึ่ม!ถ้าเขมรเบี้ยวใช้AOTกดดัน

ส่วนที่มีคำถามว่าจะรู้ได้อย่างไรว่ากัมพูชาถอนอาวุธหนักจริงหรือไม่ โฆษก กห.กล่าวว่า เรามีกลไกคณะผู้สังเกตการณ์จากผู้แทนสมาชิกอาเซียน หรือ AOT 8 ประเทศ มีหน้าที่รายงานหน่วยขึ้นตรงของเขา ถ้ามีปัญหา ไทยหรือเขมรจะรายงานหรือแจ้งไปที่ AOT เพื่อให้รายงานและสร้างแรงกดดันไปยังอีกฝั่งหนึ่ง ยืนยันว่าเรามีกลไกตรวจสอบ ส่วนการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ซึ่งประชาชนจำเป็นต้องใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ ได้ตั้งชุดประสานงานร่วมเฉพาะกิจ (JCTF) ประสานงานในพื้นที่ เพื่อเข้าไปเก็บกู้ระเบิด โดยไทยเสนอพื้นที่นำร่อง 13 พื้นที่ในเรื่องกู้ระเบิด เริ่มดำเนินการไปบ้างแล้ว ส่วนที่ถูกขัดขวางจากเขมรบ้าง แต่เรามีกลไกลเจรจาให้บรรลุข้อตกลงเก็บกู้ทุ่นระเบิด ยืนยันจะไม่มีกองกำลังของอาเซียนเข้ามาร่วมสังเกตการณ์ เป็นเพียงผู้แทนประเทศทางการทูตเท่านั้น

เร่งสำรวจหมุดเขตหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว

นายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ แถลงผลสรุปการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (เจบีซี) ระหว่างไทย-กัมพูชาที่ผ่านมาว่า เจบีซีเป็นกลไกทางเทคนิคในการสำรวจจัดทำหลักเขตแดน และประชุมสมัยวิสามัญเมื่อวันที่ 21-22 ตุลาคมที่ผ่านมา ที่จ.จันทบุรี ผลประชุม แบ่งเป็น 3 ประเด็นหลักได้แก่ 1.ซ่อมแซมและจัดทำหลักเขตแดน เปลี่ยนหรือทดแทนหลักเขตแดนเดิมที่เสียหาย ที่ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันแล้ว 2.เร่งการแก้ทีโออาร์ปี 2003 เพื่อนำเทคโนโลยีไลดาร์ (LiDAR) มาใช้ทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ โดยเห็นชอบให้ทดลองใช้เทคโนโลยีดังกล่าว ภายในสัปดาห์แรกของเดือนธันวาคม 3.เห็นพ้องกระบวนการสำรวจและจัดทำหมุดชั่วคราวเร่งด่วน บริเวณหลักเขตแดน 42-47 ซึ่งเป็นพื้นที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว ให้เข้าใจตรงกันชัดเจน และให้หน่วยงานท้องถิ่นบริหารจัดการประเด็นที่เกี่ยวข้องรับรองที่ดินบริเวณดังกล่าว ช่วยลดการกระทบกระทั่งรูปแบบต่างๆ

ส่วนการสำรวจและทำหมุดชั่วคราวนั้น เขมรกำลังพิจารณาร่างคำแนะนำทางเทคนิค (Technical instructions) สำหรับการสำรวจและวางหมุดชั่วคราวบริเวณเร่งด่วน ซึ่งไทยรอคำตอบอยู่ กำหนดไว้ภายในวันที่ 14 พฤศจิกายน จากนั้นจะเริ่มสำรวจวางหมุดชั่วคราวภายในวันที่ 17 พฤศจิกายน แผนงานคร่าวๆคือ เริ่มจากหลักเขตแดน 42-43 แล้ว ตามด้วยหลักเขตแดน 46-47 และ 43-46 ตามลำดับ เมื่อทั้งสองฝ่ายดำเนินการแล้วต้องนำผลสำรวจเสนอรัฐบาลแต่ละฝ่าย ขอความเห็นชอบ เพื่อกำหนดกลไกที่เหมาะสมต่อการปรับการถือครองที่ดินของทั้งสองฝ่าย ยืนยันว่าการวางหมุดชั่วคราว เพื่อสำรวจเท่านั้น ไม่กระทบต่อสิทธิ์ของไทยและเขมรเรื่องเขตแดน ตามกฏหมายระหว่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมีการตกลงกันว่า ให้ประชุมเจบีซีอีกครั้ง เพื่อติดตามการเรื่องดังกล่าวของทั้งสองฝ่าย โดยจะจัดขึ้นต้นเดือนมกราคม

ทบ.ย้ำถอนอาวุธหนักอาวุธยิงระยะสั้นยังอยู่

ขณะที่พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบกแถลงชี้แจงถึงการถอนอาวุธ ที่เป็นอาวุธยิงระยะไกลออกจากพื้นที่ชายแดนก่อนว่า เพราะเป็นอาวุธที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อทรัพย์ของคนไทย ส่วนข้อกังวลของประชาชนในการเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์ออกจากพื้นที่ชายแดน ถ้าเกิดเหตุไม่สงบจะป้องกันชายแดนได้หรือไม่ว่า กำลังทหารตามแนวชายแดนยังอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ถอนอาวุธและระบบยิงบางส่วนเท่านั้น อาวุธยิงสนับสนุนในระยะใกล้ที่ใช้ปกป้องอธิปไตยของแต่ละหน่วยยังมีอยู่ เรื่องนี้แจ้งชาวบ้านทราบแล้ว ไม่ได้ตื่นตระหนก และเชื่อมั่นเพราะเจ้าหน้าที่ไม่ได้ไปไหน เปลี่ยนแค่หน่วยที่อยู่ระยะหลังจากหน้าแนวชายแดนเท่านั้น

ลั่นต้องจริงใจทำ4ข้อก่อนคุยปล่อย18เชลย

ผู้สื่อข่าวถามถึงการดูแลเชลยทหารเขมร 18 คนที่ยังถูกควบคุมตัวอยู่ พล.ต.วินธัยยืนยันว่า การดูแลเป็นไปตามมาตรฐานสากล องค์กรที่ดูแลคือ คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) เข้าเยี่ยมเป็นประจำ เรื่องนี้ไม่มีเสียงสะท้อนอะไรที่น่ากังวล ส่วนที่เขมรพยายามกดดันให้ปล่อยตัวทหาร 18 คนนั้น เงื่อนไขยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ตาม 4 ข้อที่ให้ไว้ หากแสดงออกถึงความตั้งใจ จริงใจ ทำให้ระดับการเป็นปฏิปักษ์ต่อกันลดลง ถือว่าเข้าเงื่อนไข สามารถทำได้ และช่วงนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา ยืนยันทุกสิ่งที่ไทยดำเนินการเรื่องนี้อยู่ในมาตรฐานและกติกาสากล

ทบ.แจงยิบ5ข้อถอนอาวุธหนัก

ก่อนหน้านี้ ที่กองบัญชาการกองทัพบก พลตรีวินธัยสุวารี โฆษกกองทัพบก ระบุถึงข้อกังวลเรื่องถอนอาวุธหนักจากพื้นที่ชายแดนไทย-เขมร หากเขมรไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงร่วมกันว่า1. ถอนเฉพาะอาวุธหนัก 3 กลุ่ม ที่อาจส่งผลต่อประชาชน ไม่ใช่เป้าหมายทางทหาร มีส่วนอื่นยังอยู่ 2.ในส่วนความคุ้มครองด้วยอาวุธสนับสนุนระยะไกล เพื่อปกป้องประชาชน กรณีมีเหตุฉุกเฉิน ยังมีกลไกเสริมหลายวิธีที่ปฏิบัติได้ 3.ทางทหารระยะทางเพื่อเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์หนักเข้าพื้นที่ เพื่อปฏิบัติภารกิจ อาจมีผลบ้าง แต่ยังมีองค์ประกอบสนับสนุนอื่นที่นำมาชดเชยได้ อยู่ที่วิธีบริหารจัดการรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน 4. ถึงอาวุธบางส่วนถูกปรับออกจากพื้นที่หน้าแนว แต่ยังมีกองกำลังป้องกันชายแดนประจำอยู่ ทำหน้าที่เฝ้าระวัง รักษาปกป้องอธิปไตยตามปกติ 5.ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นกองทัพบกในการทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตย และผลประโยชน์ชาติ

กกล.บูรพาลุยกุ้ระเบิด-เจอเพิ่ม1ทุ่น

ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าภารกิจปกป้องอธิปไตยในพื้นที่ชายแดนไทย-เขมรที่ จ.สระแก้ว ในความรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 1 โดยกองกำลังบูรพา (กกล.) ยังเดินหน้าสร้างพื้นที่ปลอดภัยที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว ตามแผนเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่เสี่ยงต้องสงสัย เพื่อคืนพื้นที่ให้ประชาชนมีที่ทำกิน ล่าสุด บ.หนองหญ้าแก้ว ฉก.12 โดยกองพันทหารช่างที่ 2 ร่วมกับ TMAC หน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมที่ 1 จัดชุดเก็บกู้ทุ่นระเบิดสำรวจสร้างพื้นที่ปลอดภัย ในพื้นที่ E เริ่มดำเนินการตั้งแต่ 25 ตุลาคม ปัจจุบันพื้นที่ปฏิบัติการสะสม 18,905 ตร.ม. คิดเป็น 9.20 % จากพื้นที่ 205,405 ตร.ม. และยังไม่มีรายงานตรวจพบทุ่นระเบิด ส่วนในพื้นที่บ้านหนองจาน เริ่มเมื่อ 30 ตุลาคมสร้างพื้นที่ปลอดภัยในพื้นที่ A ไปแล้ว 11,219 ตร.ม. คิดเป็น 35.06 % (จากพื้นที่ 32,000 ตร.ม.) และตรวจพบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล POMZ-2 จำนวน 1 ทุ่น (30 ต.ค.68) ก่อนประสานส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง คืนพื้นที่ให้ประชาชนมีที่ทำกิน

นอกจากนี้ กกล.บูรพา ยังดำเนินการสร้างหลุมหลบภัยและบังเกอร์ภายใต้โครงการสนับสนุน “กองทุนหทัยทิพย์”กองทัพบก ในพื้นที่ชายแดน จ.สระแก้ว ปัจจุบันดำเนินการตามแผนเร่งด่วน เป็นหลุมภัยประชาชน 3 จุด และบังเกอร์ 10 จุด คืบหน้าแล้วกว่า 40 % และตามแผนเร่งด่วนที่ 2 คือ สร้างหลุมหลบภัยประชาชน 3 หลุมและบังเกอร์ 62 จุด คืบหน้าประมาณ 6%

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top