ครม.ศก.ไฟเขียว ซื้อหนี้ต่ำกว่าแสนบ./เฟสแรก2.36ล้านบช.

ครม.ศก.ไฟเขียว ซื้อหนี้ต่ำกว่าแสนบ./เฟสแรก2.36ล้านบช.

วันอังคาร ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

ครม.ศก.ไฟเขียว

ซื้อหนี้ต่ำกว่าแสนบ./เฟสแรก2.36ล้านบช.

มูลค่ากว่า1.22แสนล้านบ.

เตรียมดันเข้าครม.11พ.ย.นี้

 

นายกฯ ถกครม.เศรษฐกิจ ปลื้ม “คนละครึ่งพลัส” ประชาชนตอบรับดี ช่วยกระตุ้นระบบเศรษฐกิจ จี้มท.-ผู้ว่าฯช่วยคนตกหล่น เข้าเฟส 2 โอดลงพื้นที่แล้วชาวบ้านยังบ่นราคาพืชผลการเกษตร กำชับกระทรวงเกษตรฯบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แก้ปัญหาเร่งด่วน ‘เอกนิติ’เผยครม.เศรษฐกิจเคาะแก้หนี้ต่ำแสน3.4ล้านราย มูลค่ารวมกว่า1.22แสนล้านบาท ผ่าน 2โมเดล‘AMC-แบงก์รัฐ’ ประเดิมซื้อหนี้รายย่อย เฟสแรก 2.36ล้านบัญชี คิดเป็นภาระหนี้ประมาณ 62,400 ล้านบาท ชงครม.คิกออฟ 11 พฤศจิกายนนี้


เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ ครั้งที่ 3/2568

โดยนายกฯ กล่าวในช่วงต้นการประชุม ว่าจากการไปประชุมอาเซียนฯ ที่ประเทศมาเลเซีย และประชุมเอเปก ที่ประเทศเกาหลีใต้ พวกเราได้ใช้โอกาสดังกล่าวนำเสนอนโยบายด้านเศรษฐกิจรัฐบาล ให้ประเทศต่างๆ ทั้งในเวทีระดับผู้นำประเทศ และผู้นำเอกชน ซึ่งเป็นการขยายโอกาสทางเศรษฐกิจ ขยายการลงทุน เปิดตลาดใหม่ แนะนำประเทศไทยให้เขาได้รู้จัก เพื่อสร้างโอกาสการลงทุน และลดการกีดกันทางการค้า ซึ่งไทยได้รับการตอบรับอย่างดี และมีเรื่องที่ต้องสานต่อมากมาย และเราได้บอกเขาว่ารัฐบาลชุดนี้ เดินหน้าเศรษฐกิจดำเนินนโยบาย Quick Big Win เพื่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ

นายกฯ กล่าวอีกว่า ประเทศต่างๆ ที่ได้พบ ถือเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ระดับที่น่าเชื่อถือ และเขามองเห็นไทยเป็นประเทศแห่งโอกาสและศักยภาพ เมื่อเราได้มีบทบาทของเราในเวทีระหว่างประเทศเช่นนี้ ก็นำสิ่งที่หารือมาปฏิบัติ มาแก้ไขปัญหา เพื่อทำให้เขาเกิดความสะดวก มั่นใจ ในการมาทำธุรกิจ การลงทุน และมาท่องเที่ยวในไทย เราคงจะฟื้นตัวในเรื่องของภาคเศรษฐกิจขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ ตนและกระทรวงพาณิชย์ ได้หารือในระดับผู้นำกับหลายประเทศ ทั้งการขยายตลาด การขายพืชผลการเกษตร และคุยผู้นำในกลุ่มต่างๆ เช่น เรื่องการเจรจาการค้าเสรี (FTA) ที่ต้องทำให้เรียบร้อย

นายกฯ กล่าวต่อว่าสัปดาห์ที่แล้วต้องขอบคุณนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ที่เริ่มดำเนินนโยบาย ‘คนละครึ่งพลัส’ทำให้เกิดความรู้สึกมีกำลังใจที่ดีกับประชาชน เราลงไปพื้นที่ไหนก็ได้รับเสียงว่าเขามีความสุข และเขามีความเต็มใจ ดีใจที่ได้ใช้เงินคนละครึ่งพลัส ตนรู้สึกว่าเป็นการสร้างความคึกคักขึ้นมาในระบบเศรษฐกิจ ดูจากตัวเลขแล้วมีการใช้กันมากพอสมควร รวมกับของภาครัฐที่ผสมเข้าไปหนึ่งเท่า ทำให้ระบบหมุนเวียนของเม็ดเงินกระจายไปทั่วประเทศ

“มีเรื่องที่ต้องฝากคณะทำงานหน่อย หลังจากที่ได้พบกับหลายท่าน มีเรื่องที่ต้องเห็นใจและแก้ไข ซึ่งไม่ใช่ความผิดของเขา คือเข้าไม่ได้เข้าไม่ถึง ซึ่งต้องนำกลับมาเป็นหลักในการดำเนินการของเรา และคนที่มีความรู้ด้านการใช้เทคโนโลยีการสื่อสาร เข้าใจเรื่องเทเลแบงค์กิ้ง หรือธุรกรรมทางการเงินผ่านโทรศัพท์ เขาจะเข้าถึงก่อน แต่ยังมีประชาชนอีกหลายคนที่เป็นกลุ่มชายขอบ หรือกลุ่มเปราะบาง เขายังไม่สามารถเข้าถึงได้อย่างทั่วถึง ซึ่งต้องให้ความช่วยเหลือ ถ้าเป็นผมคงใจเสียเหมือนกันที่เข้าไม่ได้ ดังนั้นเราต้องรวมกลุ่มที่พลาดในครั้งแรกกลับมาในเฟส 2 โดยเฟส 2 จะเน้นกลุ่มเหล่านี้กลับเข้ามา ให้ได้รับการดูแลจากรัฐบาลให้มากที่สุด” นายอนุทิน กล่าวและว่า ต้องฝาก รมช.มหาดไทย ปลัดกระทรวงมหาดไทย ขอความร่วมมือผู้ว่าฯ ลงไปถึงระดับนายอำเภอ ช่วยแนะนำประชาชนให้สามารถใช้สิทธิได้

นายกฯ กล่าวว่า ในเรื่องพลังงานแสงอาทิตย์ ไฟฟ้าชุมชน ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดียิ่ง ต้องขอบคุณกระทรวงพลังงาน ที่พิจารณาแผนงานเหล่านี้ให้เกิดเป็นรูปธรรม ขอให้เร่งดำเนินการต่อไป และยังมีผลงานอื่นอีกมาก ทั้งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งเรื่องพืชผลทางการเกษตร ต้องฝากกระทรวงเกษตรฯ ไปที่ไหนยังโดนชาวบ้านบ่นเรื่องราคาพืชผลทางการเกษตร ตอนนี้โดนหนักเรื่องราคามันสำปะหลัง ต้องหาวิธีการ ทุกกระทรวงต้องบูรณาการและร่วมมือกัน นายเอกนิติ ก็พิจารณาแผนงานนโยบาย Quick Big Win ของกระทรวงพาณิชย์ ในกลไกสนับสนุนการค้า การแก้ปัญหาของประชาชน และกระทรวงการคลัง ถือเป็นการตอบสนองนโยบายรัฐบาล

ต่อมา นายเอกนิติ  นิติทัณฑ์ประภาศ  รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) เห็นชอบโครงการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยของบริษัทบริหารสินทรัพย์(AMC)เริ่มเฟสแรก ครอบคลุมลูกหนี้รายย่อยของธนาคารพาณิชย์ และบริษัทลูกรวมทั้งลูกหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ(SFIs) รวม 2.36 ล้านบัญชี คิดเป็นภาระหนี้ประมาณ 62,400 ล้านบาท โดยจะรายงานให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)รับทราบต่อไป ในวันที่ 11 พฤศจิกายน นี้

ส่วนในระยะต่อไปจะมีการพิจารณาขยายขอบเขตการช่วยเหลือไปยังลูกหนี้ของผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร หรือ Non-banksตามหลักการเดียวกัน  เพื่อให้นโยบายการแก้ปัญหาหนี้ครอบคลุมลูกหนี้กลุ่มเป้าหมายทั้งหมด ที่มีภาระหนี้ NPLsซึ่งเป็นหนี้ไม่มีหลักประกันกับผู้ให้บริการทางการเงินทุกแห่งรวมกันไม่เกิน100,000บาทต่อราย ซึ่งข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 จำนวน 3.4ล้านราย หรือ 4.76ล้านบัญชี คิดเป็นภาระหนี้กว่า 122,000 ล้านบาท

สำหรับการดำเนินการในเฟสแรก แยกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มที่ 1 เป็นการดำเนินการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้ โดย AMCลูกหนี้ที่อยู่กับธนาคารพาณิชย์ ลูกหนี้ของบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ และลูกหนี้ SFIs จำนวน 1.56ล้านบัญชี เป็นจำนวนลูกหนี้ทั้งหมด 1.25 ล้านคน คิดเป็นภาระหนี้กว่า 43,600 ล้านบาท โดยจะโอนหนี้ไปให้กับ AMC ทั้ง บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) หรือบริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด (Ari-AMC)

โดยให้AMCนำหนี้ดังกล่าวมาปรับโครงสร้างหนี้ผ่านการเสนอเงื่อนไขการผ่อนชำระที่ผ่อนปรนและเหมาะกับความสามารถของคนกลุ่มนี้มากขึ้น เช่น การลดดอกเบี้ย ไม่คิดดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมการจ่ายชำระเพียงบางส่วนเพื่อปิดบัญชี เป็นต้น

กลุ่มที่ 2 การช่วยเหลือเพิ่มเติมโดย SFIs ดำเนินการเอง มีจำนวน 790,000 บัญชี เป็นจำนวนลูกหนี้ทั้งหมด 700,000 คน คิดเป็นภาระหนี้กว่า 18,800 ล้านบาท โดย SFIs จะมีมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เป็นมาตรการเฉพาะของแต่ละธนาคารเพื่อบริหารจัดการหนี้ให้เหมาะสมกับศักยภาพของลูกหนี้ SFIs เนื่องจากลูกหนี้ของ SFIs กลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางมากกว่าลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ หรือได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐผ่านกลไกอื่นแล้ว  ดังนั้น SFIs จะมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติม เช่น มาตรการชำระบางส่วนเพื่อปิดบัญชี ลดเงินต้นยกเว้นดอกเบี้ยทั้งหมด มาตรการติดตามทวงถามให้ชำระหนี้ที่ผ่อนปรนมากกว่าเกณฑ์ปกติของธนาคาร การปิดบัญชีและตัดเป็นหนี้สูญสำหรับลูกหนี้ขาดศักยภาพ เป็นต้น

"กลุ่มคนเหล่านี้เป็นคนจำนวนมากมีภาระหนี้ที่หนัก ผ่อนชำระไม่ไหว รัฐบาลจึงต้องการแก้ปัญหานี้อย่างยั่งยืน โดยแนวทางการช่วยเหลือจะโอนหนี้ทั้งหลายให้ไปอยู่กับ AMC 2 กลุ่ม ทั้ง SAM และ Ari-AMC เพื่อปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรน เช่น ลดภาระ ผ่อนชำระ การปิดหนี้ และจะบริหารจัดการหนี้แบบรวมศูนย์ เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกที่มีประวัติการชำระที่ดีมีโอกาสกลับเข้าถึงเชื่อในระบบได้มากขึ้น" นายเอกนิติ ระบุ

นายเอกนิติ กล่าวว่า ครม.เศรษฐกิจวันนี้ ได้อนุมัติในหลักการแล้วส่วนในรายละเอียดต่อไปทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีการลงนามในบันทึกความร่วมมือหรือ MOU กับทางธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินต่างๆต่อไป

นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ปัจจุบันมีลูกหนี้รายย่อยที่มีหนี้ต่ำกว่า 100,000 บาท คิดเป็นสัดส่วนเกิน 50% ของจำนวนบัญชี NPL ทั้งหมด โดยมีมากถึง 4.76 ล้านบัญชี โดยจะเริ่มเป็นเฟสแรก ก่อน 1.9 ล้านบัญชี ซึ่งจะโอนเข้ามาใน SAM  และ Ari-AMC โดยจะโอนหนี้เฉพาะที่เป็น NPL วันที่ 30 กันยายน ที่ผ่านมา เพื่อแก้ไขหนี้อย่างผ่อนปรน และกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ ซึ่งจะเป็นมาตรการเพียงครั้งเดียว เพื่อป้องกันการเสียวินัยทางการเงินในอนาคต และจะนำเข้าสู่ที่ประชุมครม.ต่อไป

"เฟสแรก 1.9 ล้านราย มีมูลหนี้ประมาณ 44,000 ล้านบาท โดยแหล่งเงินที่ใช้จะไม่ใช้เงินของคลังหรือเงินงบประมาณ แต่จะใช้แหล่งเงินจากเงินที่เหลือของโครงการคุณสู้เราช่วย ซึ่งมาจากการส่วนลดเงินนำส่งกองทุน FIDF ตั้งแต่ต้นปี จาก 0.46% เหลือ 0.23% โดยส่วนที่ลดลงมาได้ถูกตั้งไว้ในบัญชีและนำมาใช้ในโครงการนี้ ส่วนราคาที่ซื้อมา จะใช้ราคาประมาณการ และเป็นราคาที่ตกลงกันระหว่างธนาคารพาณิชย์ โดยจะมีโครงสร้างการแบ่งปันการเรียกเก็บเงินในอนาคต แต่ตัวเลขราคาที่ใช้ยังขอสงวนไม่เปิดเผยแต่อยู่ในมาตรฐาน" นายวิทัย กล่าว

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง  กล่าวว่า ลูกหนี้ที่โอนเข้ามาใน AMC นี้จะได้รับรหัสพิเศษ (รหัส 16) ในเครดิตบูโร ซึ่งเป็นรหัสที่ไม่จำเป็นต้องรอให้มีประวัติการเงินที่ดีครบ 3 ปีในการขอสินเชื่อใหม่ หากลูกหนี้สามารถผ่อนชำระหนี้ใหม่ได้ดี ตั้งแต่ 1-6 เดือน สถาบันการเงินสามารถพิจารณาปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ทันที

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในส่วนของเฟส 2 จะครอบคลุมกลุ่ม Non-Bank ที่ไม่ได้อยู่ในระบบกลุ่มลูกของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะเริ่มดำเนินการในระยะถัดไป

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top