วันอังคาร ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
            
								วันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 รศ.ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก ระบุว่า วิชาภาคบังคับ: เชื่อก่อนคิด ตะโกนก่อนฟัง —
แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็น “คอกม้าอารมณ์”
ที่อัดแน่นไปด้วยคนที่เชื่อว่าการแหกปากคือการใช้เสรีภาพ
การด่าผู้ใหญ่คือการแสดงความกล้า
และการไม่รู้แต่พูดดังกว่าคนอื่นคือการชนะด้วยเหตุผล
ภาพนิสิตจุฬาฯ ตะโกนใส่หน้าผู้บรรยายจึงไม่ใช่เรื่องเล็ก
มันคือ “อาการของโรค” — โรคที่ชื่อว่า มโนการเมืองเรื้อรัง
ติดเชื้อมาจากห้องเรียนที่เคยศักดิ์สิทธิ์
แต่ตอนนี้กลายเป็นห้องทดลองของอาจารย์บางคนที่ชอบเล่นบท “นักปฏิวัติในร่างข้าราชการ”
สอนเด็กให้ด่าคนอื่นในนามของเสรีภาพ
แต่ไม่เคยสอนให้รับผิดชอบต่อคำพูดตัวเอง
⸻
ในยุคนี้ “การศึกษา” ถูกแทนที่ด้วย “การสะใจ”
แทนที่จะสอนให้คิดเป็น กลับสอนให้ “เกลียดเป็น”
แทนที่จะฝึกให้โตอย่างผู้รู้ กลับบ่มให้กล้าแบบคนพาล
และทุกครั้งที่เด็กเหล่านี้ออกมาชูป้ายตะโกนด่าคนอื่น
พวกเขาไม่ได้แสดงความกล้าหาญ
แต่กำลังแสดงบทของ “นักเชิดหุ่นรุ่นเยาว์” ที่ทำตามบทอาจารย์เงาอย่างซื่อสัตย์
เพราะอาจารย์บางคนเลือกที่จะสวมคราบนักวิชาการกลางวัน
แต่กลางคืนกลับเปิดกลุ่มลับปลูกฝังวาทกรรมแบบ “ข้าเท่านั้นคือผู้รู้”
ใช้ปัญญาเป็นเครื่องมือป้อนความเกลียด
ใช้เด็กเป็นเครื่องขยายเสียง
และเมื่อเด็กทำพลาด ก็ตีหน้าเศร้าแล้วพูดว่า “เยาชนเป็นเหยื่อของระบบ”
ทั้งที่มือของอาจารย์ยังเปื้อนหมึกคำสั่งอยู่เลย
และความจริง
เยาวชนพวกนั้นตกเป็นเหยื่อสนองปมของอาจารย์ที่ขี้ขลาดเกินกว่าจะลงมือทำเอง
⸻
นี่ไม่ใช่แค่การขาดมารยาท แต่มันคือ “ความล้มเหลวของระบบสติปัญญา”
เด็กที่ควรจะเป็นอนาคตของประเทศ กลับโตมาเป็น “เครื่องขยายเสียงของความโง่”
พูดซ้ำสิ่งที่ไม่เข้าใจ
โวยวายกับสิ่งที่ไม่รู้
และหลงคิดว่าความดังของเสียงเท่ากับความถูกต้องของเหตุผล
พวกเขาชูป้าย แต่ไม่รู้ว่าป้ายนั้นเขียนขึ้นเพื่อใคร
พวกเขาแหกปากตะโกน แต่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังพูดในนามของใคร 
บางคนถึงขั้นเรียกตัวเองว่า “นักต่อสู้เพื่อความเท่าเทียม”
แต่กลับดูถูกคนเห็นต่างอย่างไม่ลังเล
เรียกร้องประชาธิปไตยด้วยน้ำเสียงของทรราชย์ในคราบนักศึกษา
⸻
สิ่งที่เรากำลังเห็นคือ “ความเกลียดแบบมีตราสถาบัน”
เกลียดโดยมีโลโก้มหาวิทยาลัยค้ำหลัง
เกลียดโดยคิดว่าตัวเองสูงส่งเพราะเรียนสูง
และเกลียดโดยเชื่อว่าความโกรธคือปัญญา
นี่แหละอันตราย — เพราะมันคือการสร้าง “ชนชั้นแห่งอารมณ์”
ที่เชื่อว่าตนเองมีอภิสิทธิ์จะพูดอะไรก็ได้เพราะอยู่ฝ่ายดี
แต่เมื่อฝ่ายตัวเองทำผิดกลับเรียกว่า “เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น”
เมื่อคนอื่นทำบ้าง กลับเรียกว่า “บ่อนทำลายประชาธิปไตย”
นี่ไม่ใช่ความเท่าของคนรุ่นใหม่
แต่มันคือการตกอยู่ในสภาวะ “หลงตัวเองทางอุดมการณ์”
ที่อันตรายยิ่งกว่าความโง่ เพราะมันทำให้คนโง่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองโง่
⸻
ถ้ามหาวิทยาลัยยังไม่กล้าผ่าตัดโรคนี้
อีกไม่นานมันจะกลายเป็น “สำนักปลุกระดม” เต็มรูปแบบ
เราต้องเริ่มจากการตรวจสอบบทบาทอาจารย์
ใครใช้ศิษย์เป็นเครื่องมือทางการเมือง — ต้องมีบทลงโทษทางวินัย
ใครปลูกฝังอารมณ์แทนเหตุผล — ต้องส่งไปเรียนใหม่ ไม่ใช่สอนคนอื่น
และที่สำคัญ มหาวิทยาลัยต้องฟื้น “อารยธรรมแห่งการโต้แย้ง”
ให้คนเห็นต่างได้เถียงกันด้วยสมอง ไม่ใช่ด้วยเส้นเสียง
⸻
ผมไม่ได้เกลียดเด็กที่ตะโกน
แต่ผมสมเพชระบบที่สอนให้พวกเขาคิดว่า
“เสียงดัง = ปัญญา”
“หยาบคาย = กล้า”
“ด่าอาจารย์ = ก้าวหน้า”
หากเรายังยอมให้จักรกลผลิตซ้ำความโง่นี้เดินต่อไป
อีกไม่นานเราคงได้เห็นมหาวิทยาลัยที่มีคติประจำสถาบันว่า
“เชื่อก่อนคิด ตะโกนก่อนฟัง ด่าก่อนเข้าใจ”
และเมื่อวันนั้นมาถึง —
สิ่งที่ถูกฝังในใจเด็กคงไม่ใช่ความรู้
แต่คือ “อารมณ์ดิบในคราบอุดมการณ์” ที่พร้อมจะกัดทุกคนที่คิดต่าง
⸻
มหาวิทยาลัยไม่ควรเป็นเวทีปลุกม็อบ
แต่ควรเป็นที่หล่อหลอมมนุษย์ให้รู้จักคิด พูด และรับผิดชอบ
ถ้าอาจารย์ไม่กลับมารับบท “ผู้สอน”
แล้วมัวแต่อยากเป็น “ผู้นำม็อบในร่างนักวิชาการ”
ประเทศนี้ก็ไม่ต้องหวังเห็น “ปัญญาชน” อีกต่อไป —
จะเหลือก็แต่ “นักตะโกนมีปริญญา” เท่านั้น.
จักษ์ พันธ์ชูเพชร
๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๘
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี