แนวหน้าวิเคราะห์ : ‘เพื่อไทย’เปิดเกมยื่น‘ซักฟอก’เดี่ยว สกัดรัฐบาล‘หนีไม่ได้ ยุบไม่ทัน’ หรือบีบเร่งยุบสภา?

จากสถานการณ์ทางการเมืองช่วงนี้โดยเฉพาะท่าทีล่าสุดของ นายสรวงศ์  เทียนทอง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.)ออกระบุว่าพรรคเพื่อไทยสามารถยื่นเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ได้เอง”แม้ไม่ต้องประสานกับพรรคประชาชน(ปชน.) ถือเป็นสัญญาณทางการเมืองที่สำคัญในหลายมิติ  ทั้งในเชิง“ยุทธศาสตร์ฝ่ายค้าน”และ“จังหวะเกมแก้รัฐธรรมนูญ” ซึ่งกำลังเป็นตัวแปรหลักของเสถียรภาพรัฐบาลในช่วงปลายปีนี้

ดังนั้น การที่พรรคเพื่อไทย“ขยับตัวเอง”เป็นแกนนำฝ่ายค้านเต็มรูป จากคำยืนยัน ของนายสรวงศ์ว่า“เสียงของพรรคเพื่อไทยเพียงพอที่จะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจได้”เป็นการประกาศสถานะอย่างไม่เป็นทางการว่า พรรคเพื่อไทยพร้อมยืนบนขาของตนเองในบทบาท ผู้นำฝ่ายค้านทางการเมือง แม้จะไม่มีตัวแทน ในวิปฝ่ายค้านอย่างเป็นทางการก็ตาม

แม้พรรคประชาชน(ปชน.)จะถูกวางเป็น“หัวขบวนฝ่ายค้านเชิงระบบ”ในทางสภาตามรัฐธรรมนูญ แต่ในเชิงการเมือง“พรรคเพื่อไทยยังคงมีน้ำหนัก และศักยภาพมากกว่า”ทั้งจำนวน ส.ส.ประสบการณ์ และฐานมวลชน ทำให้การซักฟอกของพรรคเพื่อไทยจะเป็น“ศึกชี้ทิศทาง”ที่อาจกลายเป็นเวทีคืนพลังทางการเมืองของพรรค

สิ่งสำคัญ เกมซักฟอกของพรรคเพื่อไทย จะต้องพิจารณา “จังหวะ–พยาน–ผลลัพธ์” โดยเฉพาะการที่นายสรวงศ์พูดชัดว่า พรรคจะต้องคำนึงถึง “ไทม์ไลน์”และ“พยานหลักฐาน”ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่า การยื่นซักฟอกครั้งนี้ จะไม่ใช่เพียง“การเมืองเชิงสัญลักษณ์”แต่ต้องการผลเชิงนโยบาย หรืออย่างน้อย คือ“การเปิดบาดแผลรัฐบาล”ให้เกิดแรงสั่นสะเทือนในสังคม หวังผลไปถึงการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นด้วย

ไทม์ไลน์ ที่นายสรวงศ์อ้างถึงคือ ช่วงเปิดสมัยประชุมสามัญวันที่ 12 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป ซึ่งหากเพื่อไทยเลือกยื่นญัตติในช่วงนี้ รัฐบาลจะไม่สามารถ“ยุบสภาหลบซักฟอก”ได้ตามรัฐธรรมนูญ ถือเป็นจังหวะที่ “ล็อกเกม”ฝ่ายบริหารไว้โดยปริยาย  แต่เรื่องยื่นซักฟอกดังกล่าว อาจจะเป็นตัวเร่งให้นายกฯอนุทิน ชาญวีรกูล อาจจะชิงประกาศยุบสภา ก่อนก็อาจเป็นไปได้ เร็วกว่าข้อตกลง MOA เพื่อหนีการถูกเชือดคาสภา และจะเป็นตราบาปติดตัวตลอดไป

#จับตา การเมืองคู่ขนาน: แก้รัฐธรรมนูญ vs การซักฟอก

สิ่งที่น่าสนใจ คือ นายสรวงศ์ เน้นว่า การเคลื่อนไหวใดๆ ต้องไม่กระทบ“กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ” ซึ่งสะท้อนถึงการประเมินว่าเป็นเกมใหญ่จริงๆ ไม่ได้อยู่ที่การอภิปราย แต่คือ  การแก้รัฐธรรมนูญ ที่อาจเปิดทางสู่ “ฉากใหม่ทางการเมือง”

การขยายยืดเวลาพิจารณาในชั้นกมธ.ที่นายสรวงศ์ระบุว่า“อาจเป็นความพยายามไม่ให้เปิดสมัยวิสามัญได้ทัน”แสดงให้เห็นว่า มีแรงต้านภายในรัฐสภาเอง ต่อการเร่งรัดกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะหากเข้าสู่เปิดสมัยประชุมสามัญรัฐสภาช่วงกลางเดือนธันวาคม  รัฐบาลจะไม่สามารถยุบสภาได้ เพื่อหลีกเลี่ยงแรงกดดันจากฝ่ายค้าน

#ยุทธศาสตร์ “สองขา” ของเพื่อไทย

ท่าทีนี้ จึงสะท้อนว่า พรรคเพื่อไทยกำลังเดินเกมสองแนวทางพร้อมกัน  ขาหนึ่ง คือ“ซักฟอกเชิงยุทธศาสตร์”เพื่อชี้เป้า และ กดดันรัฐบาล อีกขาหนึ่ง คือ “รักษาจังหวะการแก้รัฐธรรมนูญ”เพื่อไม่ให้ถูกยื้อหรือสกัด ทั้งสองเส้นนี้ มีจุดร่วมคือ“การควบคุมไทม์ไลน์”ของสภา หากพรรคเพื่อไทย คุมจังหวะได้ รัฐบาลของนายอนุทิน จะอยู่ในสภาวะ“หนีไม่ได้  ยุบไม่ทัน และตอบไม่ได้”หรือ อาจจะกลายเป็นเกมบีบให้นายกฯอนุทินชิงยุบสภาหนีศึกซักฟอก จะทำให้เกมการเมืองเปลี่ยนไปทันที ทุกพรรคก้าวไปสู่ศึกการเลือกตั้งทั่วประเทศสนามใหญ่

#“เพื่อไทย”กำลังวางเกมรุก–กันเกมล้ม

เมื่อพิจารณาภาพรวม การยืนยันของนายสรวงศ์ ไม่ใช่แค่การตอบคำถามเรื่อง“ซักฟอก”แต่เป็นการประกาศกลยุทธ์ของเพื่อไทยว่า“เราพร้อมรุกในสภา แต่จะไม่ตกหลุมยุบสภา–เลื่อนแก้รัฐธรรมนูญของฝ่ายตรงข้าม”

เกมต่อจากนี้จึงขึ้นอยู่กับว่าเพื่อไทยจะสามารถ “ผูกจังหวะซักฟอก”ให้สอดรับกับ“จังหวะการแก้รัฐธรรมนูญ”ได้มากแค่ไหน เพราะหากทำได้สำเร็จ พรรคจะกลับมามีภาพลักษณ์ของ“ฝ่ายค้านมืออาชีพ”และ “พรรคที่คุมเกมในสภา”อีกครั้ง ระหว่าง พรรคเพื่อไทย–พรรคประชาชน แต่ผลกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาลอย่างแน่นอน

และสุดท้ายจะกลายเป็นตัวแปรที่เร่งให้รัฐบาลชิงตัดสินทางเลือกสุดท้าย จะอยู่ถึงตามไทม์ไลน์หรือจะชิงยุบสภาก่อนกรอบเวลา4 เดือน

จากนี้ไปต้องเกาะติดสถานการณ์ทางการเมืองชิงไหวชิงพริบชิงการได้เปรียบก่อนเผชิญหน้าในสนามเลือกตั้งที่จะมีขึ้น

#ทีมข่าวแนวหน้า