DNA ตรงกัน! ‘นราพัฒน์ แก้วทอง’เปิดใจ เลือกไปต่อกับ‘รวมไทยสร้างชาติ’

DNA ตรงกัน! ‘นราพัฒน์ แก้วทอง’เปิดใจ เลือกไปต่อกับ‘รวมไทยสร้างชาติ’

วันพุธ ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 17.29 น.

‘นราพัฒน์ แก้วทอง’เปิดใจ! เลือก‘รวมไทยสร้างชาติ’ มั่นใจ DNA ตรงกัน มุ่งสร้างอนาคตเกษตรกร-ท่องเที่ยวไทย ชูนโยบาย‘ปุ๋ยสั่งตัด-เกษตรพาณิชย์-เกษตรท่องเที่ยว’ เสริมความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานราก

5 พฤศจิกายน 2568 นายนราพัฒน์ แก้วทอง อดีต สส.หลายสมัย อดีตกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และอดีตกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  เปิดเผยถึงความท้าทายทางการเมืองครั้งใหม่ในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติว่า  การที่ตนตัดสินใจเข้ามาร่วมงานทางการเมืองกับพรรครวมไทยสร้างชาติในครั้งนี้ เป็นเพราะมีความเชื่อมั่นในอุดมการณ์ของพรรคซึ่งตรงกับอุดมการณ์ของตน นั่นคือการทำงานเพื่อประชาชนและประเทศชาติ นอกจากนี้ การที่หัวหน้าพรรค นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ก็จะเป็นอีกกุญแจสำคัญในการผลักดันนโยบายและการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรมด้วย


“ผมเป็นคนชอบทำงาน และพรรครวมไทยสร้างชาติก็เป็นพรรคที่มุ่งหน้าทำงานและมีแนวทางการทำงานที่ชัดเจนเพื่อชาติและประชาชนเช่นกัน ดังนั้น DNA จึงตรงกัน และอีกสิ่งหนึ่งที่ผมเห็นว่ามีประโยชน์กับการทำงานของผมด้วย ก็คือ กฎหมาย เพราะทุกเรื่องที่เราจะทำให้ชาวบ้านล้วนต้องอาศัยกฎหมายเป็นกลไกขับเคลื่อน เราต้องผลักดันกฎหมายบางฉบับให้ออกมามีผลบังคับใช้ ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นแนวทางที่ชัดเจนของท่านพีระพันธุ์อยู่แล้ว เพราะท่านแม่นยำเรื่องกฎหมาย เมื่อนำมารวมกับนโยบายที่ผมอยากจะทำ โดยเฉพาะนโยบายด้านการเกษตร ผมมั่นใจว่าผมจะทำได้สำเร็จแน่นอน ผมก็เลยตัดสินใจมาร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ” นายนราพัฒน์ กล่าว

นายนราพัฒน์ ยังบอกเล่าถึงเส้นทางการเมืองที่ผ่านมาว่า  ในวัยเด็กตนไม่ได้มีความสนใจที่จะเข้ามาทำงานการเมือง เนื่องจากเห็นความเหนื่อยยากและเวลาที่หายไปของคุณพ่อ นายไพฑูรย์ แก้วทอง อดีต สส. 12 สมัย ผู้ได้รับการขนานนามว่า "พ่อพระของพิจิตร" โดยหลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี บริหารธุรกิจ สาขาบัญชี จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง  ตนก็ได้ไปศึกษาต่อระดับปริญญาโท บริหารธุรกิจ (M.B.A) ที่มหาวิทยาลัย National University ประเทศสหรัฐอเมริกา  ก่อนกลับมาทำงานในบริษัทภาคเอกชนอยู่ช่วงหนึ่ง

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2540 เมื่อรัฐธรรมนูญเปลี่ยนระบบเลือกตั้ง  ทำให้นายไพฑูรย์ ผู้เป็นบิดาได้รับการวางตัวให้ลงสมัครเลือกตั้งเป็น สส. แบบบัญชีรายชื่อ ตนจึงเบนเข็มมาลงสมัครรับเลือกตั้งเพื่อดูแลพี่น้องประชาชนในพื้นที่เดิมของคุณพ่อที่จังหวัดพิจิตร โดยเริ่มจากเป็นผู้ช่วย สส. ซึ่งต้องลงพื้นที่เพื่อพบปะชาวบ้านทุกหลังคาเรือนในเขตเลือกตั้งเป็นเวลากว่า 2 ปีก่อนการเลือกตั้ง  จนกระทั่งได้รับเลือกตั้งเป็น สส.เขต ติดต่อกัน 3 สมัย

“ช่วง 3 เดือนแรกของการลงพื้นที่ ผมต้องเดินพบชาวบ้านตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น ทำให้ผมได้สัมผัสและเข้าใจชีวิตประชาชนได้ลึกซึ้งมากขึ้น” นายนราพัฒน์ กล่าว

นายนราพัฒน์ยังได้เปิดเผยมุมมองด้านนโยบายการพัฒนาประเทศว่า ประเทศไทยมีศักยภาพในการสร้างรายได้หลักจาก 2 ด้าน คือ การเกษตรและการท่องเที่ยว ซึ่งต้องได้รับการผลักดันอย่างจริงจัง และควรส่งเสริมให้เป็นเสาหลักเศรษฐกิจ โดยในด้านการเกษตรนั้น เกษตรกรต้องได้กำไรที่เป็นธรรม มีการบริหารจัดการอุปสงค์และอุปทานให้สมดุล ควบคู่ไปกับการลดต้นทุนการผลิต และส่งเสริมการประกันรายได้ที่มีการวางแผนเพาะปลูกอย่างมียุทธศาสตร์ และต่อยอดสู่ "เกษตรท่องเที่ยว" สร้างรายได้เพิ่มจากการเชื่อมโยงสองเสาหลักเข้าด้วยกัน  ส่วนนโยบายด้านการท่องเที่ยว ควรปรับ Mindset การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและอุทยานต่างๆ เพื่อให้เกิดรายได้จากการท่องเที่ยว โดยยังคงรักษาธรรมชาติไว้

“ประเทศไทยมีจุดแข็งอีกเรื่อง คือ การท่องเที่ยว ที่สามารถผูกโยงกับการเกษตรได้ เราสามารถต่อยอดเป็นเกษตรเชิงท่องเที่ยวในรูปแบบต่าง ๆ ที่จะช่วยให้พ่อแม่พี่น้องมีรายได้เพิ่มได้” นายนราพัฒน์ กล่าว

นายนราพัฒน์กล่าวอีกว่า จากประสบการณ์ สส. เขต 3 สมัย และการเข้ารับหน้าที่กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทำให้ตนมองเห็นปัญหาและทางแก้ของภาคการเกษตรอย่างชัดเจน

"เราต้องมีใจ เข้าใจชีวิตพี่น้องเกษตรกร และทำหน้าที่ 'ผู้แทน' ของพวกเขา ในการนำเสนอปัญหาและแนวทางแก้ไขในสภา" นายนราพัฒน์กล่าว พร้อมยกตัวอย่างนโยบายเด่นที่เคยผลักดันและจะดำเนินการสานต่อ ก็คือ การลดต้นทุนปุ๋ย และผลักดันโครงการ "ปุ๋ยสั่งตัด" โดยให้กรมพัฒนาที่ดินสำรวจความต้องการสารอาหารในดินเฉพาะพื้นที่ เพราะดินในแต่ละพื้นที่ต้องการสารอาหารไม่เหมือนกัน  ทั้งนี้ เพื่อเป็นข้อมูลให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยได้ตรงกับสภาพของดิน ซึ่งจะสามารถลดต้นทุนปุ๋ยของเกษตรกรได้ 

นอกจากนี้ นายนราพัฒน์ยังกล่าวถึงนโยบายเกษตรเชิงพาณิชย์ที่ต้องผลักดันต่อไป เช่น โครงการ Young Smart Farmer เพื่อเปลี่ยนวิธีทำการเกษตรแบบเดิมให้เป็นธุรกิจการเกษตร และใช้เทคโนโลยีออนไลน์ในการขายสินค้าโดยตรง ลดบทบาทพ่อค้าคนกลาง ซึ่งจะทำให้ผลผลิตการเกษตรราคาดีขึ้น  และส่งเสริมการบริหารจัดการด้วยการควบคุมอุปทาน (Supply) ให้เหมาะสมกับอุปสงค์ (Demand) ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยป้องกันปัญหาสินค้าล้นตลาดและราคาตกได้เป็นอย่างดี

นายนราพัฒน์ ได้กล่าวทิ้งท้ายด้วยการยืนยันถึงความมุ่งมั่นที่จะรับฟังทุกความคิดเห็นและทุกปัญหาจากทุกภาคส่วน เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์นโยบายและขับเคลื่อนพรรครวมไทยสร้างชาติให้ประสบความสำเร็จในการสร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแก่พี่น้องประชาชน

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top