ถล่มรบ.ถึงทางตัน/ขู่ซักฟอกรอดยาก พท.รุมขย้ำ'อนุทิน' ไม่จริงใจแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ถล่มรบ.ถึงทางตัน/ขู่ซักฟอกรอดยาก พท.รุมขย้ำ'อนุทิน' ไม่จริงใจแก้ไขรัฐธรรมนูญ

วันอาทิตย์ ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

ถล่มรบ.ถึงทางตัน/ขู่ซักฟอกรอดยาก
พท.รุมขย้ำ'อนุทิน'
ไม่จริงใจแก้ไขรัฐธรรมนูญ
เหน็บต่อสัญญาMotoGP
ป้องกันที่เขากระโดงถูกยึด

“เพื่อไทย” ของขึ้น เปิดตัว 4 รองโฆษก ลับปากไว้ถล่มรัฐบาล “ศึกษิษฏ์” อัดล้มเหลวในการบริหารผูกนโยบายของตัวเองไปข้างหน้า ทั้งที่บอกอยู่แค่ 4 เดือน ซัดไม่มีความจริงใจแก้ไขรธน. บี้ถามรบ. ต่อสัญญา MotoGP ค่าลิขสิทธิ์สูงลิ่ว 77 ล้านยูโร หวังใช้สัญญาผูกมัดกันยึดที่เขากระโดงคืนหรือไม่ “มนพร” รอง หน.เพื่อไทย ชี้รบ.“อนุทิน” เสียงข้างน้อย ถึงทางตัน เหลือแค่ยุบสภาหนี เชื่อหากเจอซักฟอกรอดยาก

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 8 พฤศจิกายน 2568 ที่พรรคเพื่อไทย นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวเปิดตัวรองโฆษกพรรคเพื่อไทย 4 คน ได้แก่ น.ส.ชญาภา สินธุไพร สส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย น.ส.ประภาพร ทองปากน้ำ สส.สุโขทัย พรรคเพื่อไทย นายกฤชนนท์ อัยยปัญญา และ นายพายุ เนื่องจำนง


นายกฤชนนท์ กล่าวว่า ตามที่หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่อยากปรับเปลี่ยนแนวทางการสื่อสารกับประชาชน และตนยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนพรรคเพื่อไทย โดยส่วนตัวถนัดด้านวิศวกรรม เศรษฐกิจ และโครงสร้างพื้นฐาน

ด้านน.ส.ชญาภา กล่าวว่า เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ได้รับโอกาสทำหน้าที่ในทีมโฆษกพรรคเพื่อไทย ในการสื่อสารข้อเท็จจริง ข้อมูลต่างๆ ของพรรคที่เชื่อมโยงกับประชาชน เน้นการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ และผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก

น.ส.ประภาพรกล่าวว่าตนจะเป็นกระบอกเสียงสะท้อนปัญหาข้อร้องเรียนที่ได้รับจากประชาชน โดยเฉพาะด้านการเกษตรที่มีปัญหามากซึ่งจะสะท้อนปัญหาไปยังรัฐบาล เพื่อให้เร่งดำเนินการแก้ไข

นายพายุ กล่าวว่าตนได้เข้ามาทำหน้าที่เป็นรองโฆษกพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง ซึ่งจะเข้ามาสนับสนุนและช่วยชี้แจงข้อเท็จจริงต่างๆ

ซัดรัฐบาลล้มเหลวในการบริหาร

นายศึกษิษฏ์ ยังกล่าวว่ามีการตั้งคำถามว่ารัฐบาลเพิ่งอยู่มาแค่เดือนเดียว จะมีอะไรไปอภิปรายเขา แต่แค่วันนี้วันเดียวพรรคเพื่อไทย แถลงก็มี 2 ประเด็นแล้ว แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวในการบริหาร แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะผูกมัดนโยบายของตัวเองไปข้างหน้า ทั้งๆที่สัญญาว่าจะอยู่เพียงแค่ 4 เดือน ยังไม่รวมถึงสิ่งที่นายกฯพูดถึงการรุกล้ำอธิปไตยและการที่ไปลงนามสัญญา MOU แร่แรร์เอิร์ธ ไม่รวมถึงการโยกย้ายข้าราชการ ที่มีความขัดแย้งกับข้อเท็จจริงกับสิ่งที่เหมาะสมเป็นอย่างมาก

“หากจะอ้างถึงการแก้รัฐธรรมนูญก็ต้องถามต่อว่าความจริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลนี้อยู่ตรงไหน สื่อมวลชน ประชาชน ก็เห็นแล้วว่าในกรรมาธิการ ประธานไม่มาบ้าง มีการ Walk Out ของ สว.บ้าง องค์ประชุมล่มบ้าง เรื่องนี้ไม่ใช่ข้อแก้ตัว รัฐบาลมีความล้มเหลวในการบริหาร สร้างความเสียหายให้กับประเทศไปเรียบร้อยแล้ว และยังไม่มีความตั้งใจในการแก้รัฐธรรมนูญอีก ขอให้ติดตามหากมีข้อมูลสามารถส่งมาที่พรรคเพื่อไทยได้ สัญญาว่าจะเป็นปากเสียงให้ประชาชนในทุกเรื่อง” นายศึกษิษฏ์ กล่าว

พท.กระทุ้งบี้รบ.ต่อสัญญาMotoGP

นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้ประเทศไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก MotoGP อีก 5 ปี วงเงินงบประมาณเกือบ 4,000 ล้านบาทเมื่อวันที่ 4 พ.ย. ที่ผ่านมา ว่า พรรคเพื่อไทยเห็นด้วยที่รัฐบาลจะใช้มหกรรมการกีฬาขนาดใหญ่ดึงดูดและเพิ่มรายได้ภาคการท่องเที่ยว เราเคยผลักดันโครงการใหญ่ๆเช่นโครงการ F1 จึงเข้าใจดี แต่ควรจะมีผลการตอบแทนที่เหมาะสม เพราะเป็นการใช้ภาษีของประชาชนเข้าไปสนับสนุนโครงการ จึงควรมีผลตอบแทนให้กับประชาชนและประเทศ ในช่วงที่ พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล งาน MotoGP ต้องใช้ภาษีสนับสนุนมากขึ้นทุกปี ต้องเบียดเบียนงบประมาณจากหลายหน่วยงานเพื่อให้เพียงพอ เพื่อให้สามารถจัดงานต่อได้ เนื่องจากถูกผูกมัดสัญญาตั้งแต่รัฐบาลก่อนหน้านี้

ชี้ตัวเลขรายได้ - ตัวเลขผู้เจ้าชมดิ่ง

โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า ตั้งข้อสังเกตว่ารัฐบาลก่อนหน้านี้ พรรคการเมืองพรรคใดที่ดูแลเรื่องกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาซึ่งถ้าดูจากตัวเลขจะเห็นว่าภาคเอกชนเข้ามาสนับสนุนการจัดงานน้อยลงเรื่อยๆ ตัวเลขเหล่านี้กำลังบอกว่าการประมาณการของผู้เข้าชมที่มีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆจนถึงขั้นที่ไม่สนับสนุนหรือไม่ หรือเป็นเพราะว่าตัวเลขประมาณการผู้เข้าชมที่หน่วยงานรัฐบาลเสนอบอกชัดเจนว่าผู้เข้าชมน้อยลงเรื่อยๆทำให้ตัวเลขผลตอบแทนทางเศรษฐกิจน้อยลง ถึงขั้นที่จะไม่คุ้มค่าให้การสนับสนุนหรือไม่ ตัวเลขที่หน่วยงานราชการทำขึ้นมาให้ครม.เห็นชอบ เขียนไว้ชัดเจนว่ามีผู้เข้าชมสูงสุดในปี 2568 จำนวน 224,000 คน และจะลดลงเหลือ 200,000 คน และปีสุดท้าย 2575 ตัวเลขสูงสุดจะอยู่ที่ 220,000 คน ซึ่งหน่วยงานราชการก็มีการประเมินว่าผู้เข้าชมลดลง ไม่ได้เพิ่มขึ้นจากเดิม ตัวเลขผลตอบแทนทางเศรษฐกิจสูงสุด 5,000 ล้าน แต่ประมาณการไปข้างหน้าลดลงแค่ 4,000 ล้าน ซึ่งตัวเลขบอกชัดเจนว่าผู้เข้าชมมีจำนวนน้อยลง และผลตอบแทนทางเศรษฐกิจน้อยลง ภาคเอกชนจึงถอยออกไป
 

หวังใช้ป้องกันยึดที่เขากระโดงคืน

นายศึกษิษฏ์กล่าวว่าขอตั้งคำถามถึงรัฐบาล ทั้งรายได้และผู้ชมลดลง แต่เหตุใดรัฐบาลยังให้การสนับสนุนของรัฐเพิ่มขึ้นขณะนี้หากดูตัวเลขการสนับสนุน MotoGP กระโดดขึ้นจากรอบที่ผ่านมากกว่า 50% โดยรอบที่ผ่านมาใน 5ปีสัญญาค่า 50ล้านยูโร ในปีที่ผ่านมาค่าลิขสิทธิ์กระโดดไปเป็น77ล้านยูโรจึงอยากตั้งคำถามว่าหรือเป็นเพราะว่าสัญญานี้อาจจะเป็นการใช้เป็นตัวประกันเพราะพื้นที่สนามจัดแข่ง อยู่ในพื้นที่พิพาทกับรัฐในพื้นที่เขากระโดง จึงมีการตั้งข้อสังเกตว่าถ้ามีการเพิกถอน ขับไล่ผู้ที่บุกรุกพื้นที่รัฐ จะนำสัญญานี้มาเป็นตัวประกันหรือไม่ เพื่อไม่ให้ขับไล่ได้ เพราะมีสัญญาผูกพันอยู่ จึงเป็นสาเหตุ ทำไมรัฐบาลที่ผ่านมาจึงยอมจ่ายเท่าไหร่ก็ต้องยอม เพื่อผูกมัดตรงนี้ไว้ โดยจ่ายค่าตอบแทนให้กับต่างชาติจำนวนสูง เพื่อไม่ให้รัฐบาลขับไล่ นำพื้นที่ของรัฐคืนมาได้ใช่หรือไม่

“หากดูการกระทำกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง คำถามอยู่ในตัวของมันเองว่าสิ่งที่รัฐบาลทำไป ทำไปเพื่ออะไร หรือเพื่อใครกันแน่ แต่อย่างไรก็ตามผมอยากฝากประชาชนและสื่อมวลชนติดตามเรื่องนี้ เพราะมีความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว เนื่องจากมีการลงนามสัญญาไปแล้ว 5 ปี แม้ว่ารัฐบาลสัญญาอยู่แค่ 4 เดือน จึงอยากตั้งคำถามว่าใครกันแน่ ได้ประโยชน์ต่อโครงการนี้”นายศึกษิษฏ์ กล่าว

‘เพื่อไทย’ปลุกไม่มีวันล่มสลาย

ด้านนางมนพร เจริญศรี สส.นครพนม พรรคเพื่อไทย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อดีต รมช.คมนาคม ในฐานะรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยพบปะพร้อมปราศรัยกับชาวบ้านรายตำบลในพื้นที่เขตเลือกตั้งที่2 เขต 3 เขต 4 จ.นครพนม พร้อมมีการเปิดตัว ว่าที่ผู้สมัครสส.เขต 3 เขต 4 นครพนมคนใหม่ ภายใต้แคมเปญ ยกเครื่องเพื่อไทย เพื่อทวงแชมป์คืนจากพรรคภูมิใจไทย

โดยนางมนพรกล่าวว่าทุกนโยบายของพรรคเพื่อไทย มาจากความเดือดร้อนและปัญหาความทุกข์ยากของประชาชน ทุกนโยบาย ทุกยุคทุกสมัย เข้าถึงประชาชน แต่เสียดายปัญหาการเมืองประเทศไทย ทำให้พี่น้องประชาชนเสียโอกาส เพราะนักการเมืองบางพรรค สร้างความบิดเบี้ยวทางการเมืองหวังสืบอำนาจทางการเมือง จนพรรคเพื่อไทยที่มีผลงานมากสุดของประเทศ ประชาชนได้ประโยชน์ ตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชนจนถึงเพื่อไทย ถูกกระทำจากปัญหานิติสงคราม ถูกปฏิวัติรัฐประหาร ยุบพรรคมาหลายครั้ง แต่ยืนยันไม่เคยหวั่นไหว ไม่เคยล่มสลาย พร้อมยืนเคียงข้างประชาชน สำคัญพรรคเพื่อไทยมีประชาชน เป็นผนังทองแดง กำแพงเหล็กทำให้มีพลังขับเคลื่อนการทำงานต่อเนื่อง


ชี้รบ.’อนุทิน’เสียงข้างน้อยถึงทางตัน
นางมนพร กล่าวต่อว่า หากถามถึงรัฐบาลปัจจุบันของนายกฯอนุทิน ถือเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจเสียงข้างน้อย มาจากความบิดเบี้ยวทางการเมือง ยากที่จะเดินหน้าขับเคลื่อนการพัฒนา ได้จัดตั้งรัฐบาลเพราะเสียงฝ่ายค้านมาสนับสนุน ทำให้เห็นความชัดเจนของการเมืองแบบสองมาตรฐาน เป็นที่น่าสังเกตกรณีอดีตนายกฯ แพทองธาร ชินวัตรถูกศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสินให้พ้นจากตำแหน่ง เพราะการเจรจาเพื่อความสันติวิธีเกี่ยวกับปัญหาชายแดน แต่รัฐบาลปัจจุบันมีปัญหามากมายที่เข้าข่ายความผิดในการใช้อำนาจหน้าที่ รวมถึงการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี ที่มีปัญหาในลักษณะเดียวกันกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทย แต่ไม่ถูกพิจารณาตัดสินความผิด


ฟันธง‘หนู’เจอซักฟอกรอดยาก

“หากรัฐบาลนายกฯอนุทินไม่ยุบสภาก่อนที่จะมีการถูกซักฟอกอภิปรายไม่ไว้วางใจ หากถึงเวลาลงมติไม่ไว้วางใจคงยากที่จะรอดเพราะมีเสียงข้างน้อย กว่าฝ่ายค้าน ทำให้การเลือกตั้งที่จะมาถึงสำคัญกับพี่น้องประชาชน ถึงเวลารวมพลังสนับสนุนพรรคเพื่อไทย สร้างความสมบูรณ์ให้ระบอบประชาธิปไตย ประกาศจุดยืนให้นักการเมืองรับรู้ว่าเสียงของประชาชนจะต้องเป็นใหญ่ในแผ่นดิน พรรคการเมืองที่มาจากเสียงข้างมากของประชาชน จะต้องยืนหยัดอยู่กับประชาชนเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทย”นางมนพร กล่าว

“สมคิด”ตามย้อน”อนุทิน”

นายสมคิด เชื้อคง อดีตรองเลขาธิการนายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ และรมว.มหาดไทย ประกาศที่สิงคโปร์ว่าประเทศไทยมีความมั่นคงทางการเมืองว่า นายอนุทินพูดย้อนแย้งกับสิ่งที่ทำ จะมีความมั่นคงได้อย่างไร เพราะท่านบอกเองว่าเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย พูดกลับไปกลับมาสองสามรอบ เช่น บอกว่าถ้าฝ่ายค้านจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจก็จะยุบสภาฯ เรื่องอะไรจะให้ถูกด่าฟรี ข้ามมาอีกวันก็กลับคำบอกว่าพร้อมชี้แจงจะยึดมั่นยุบสภาฯ วันที่ 31 ม.ค.69 ตามเอ็มโอเอ แค่เรื่องนี้ก็ไม่มีความมั่นคงแล้ว ตนมองว่านายอนุทินควรทำแนวทางของตัวเองให้มั่นคงก่อน ไม่เช่นนั้นประชาชนจะสับสนตามไปด้วย

เมื่อถามถึง เรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรคเพื่อไทยจะดำเนินการอย่างไร นายสมคิด กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าพรรคเพื่อไทยพร้อมอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ตลอด รอแต่กรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ได้ประชุมพูดคุยกันถึงวันและเวลาที่เหมาะสม ตนเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยพร้อม เป็นหน้าที่ของฝ่ายค้านตามระบบรัฐสภาในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หน้าที่ของรัฐบาลก็ต้องชี้แจงตอบคำถาม ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินเองว่าใครถูกใครผิด

“ขอให้รัฐบาลมั่นคงจริงๆ เรื่องหนึ่งที่ฝ่ายค้านจะพูด คือเขากระโดง ดำเนินการถึงไหนอย่างไรแล้ว พรรคเพื่อไทยพูดแน่ๆ บอกข้อสอบไว้เลย อย่ายุบสภาฯ หนีก่อนแล้วกัน ผมไม่อยากให้นายอนุทินยุบสภาฯ ขอให้เอาให้ครบตามเอ็มโอเอ แต่ถ้าจะยุบก็แล้วแต่ เพราะตนมองว่าท่านเป็นคนโลเล ไม่แน่นอนในเรื่องนี้อยู่แล้ว” นายสมคิด กล่าว

ทสท.ประกาศ‘สร้างการเมืองสุจริต’

วันเดียวกัน พรรคไทยสร้างไทย จัดเวทีสัมมนา“ทุบทุนเถื่อน”ณ โรงแรมเจซี เควิน สาทร กรุงเทพฯโดยมีคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย ประกาศเจตจำนงทางการเมืองอย่างชัดเจนว่า พรรคไทยสร้างไทยมีความมุ่งมั่นแน่วแน่ในการ “สร้างการเมืองสุจริต” เพื่อพาประเทศออกจากหลุมดำ นำการพัฒนาสู่ประเทศ พาประชาชนหลุดพ้นความยากจน
คุณหญิงสุดารัตน์ประกาศจุดยืนของพรรคอย่างชัดเจนว่าพรรคไทยสร้างไทย“ไม่โกงและจะไม่ปล่อยให้ใครมาโกงชาติบ้านเมือง”พร้อมย้ำว่า“คนเลวต้องไม่มีที่ยืนในสังคมไทย ที่ยืนที่เดียวของคนโกงคือในคุก”เพื่อยืนยันความตั้งใจของพรรคที่จะผลักดันให้ประเทศไทยมีระบบการเมืองที่โปร่งใสและยุติธรรมอย่างแท้จริง
“การโกงคือมะเร็งร้ายที่กัดกินประเทศไทยมานาน จนทำให้ประเทศกลายเป็น “คนไข้ที่กำลังป่วยหนัก ถึงขั้นโคม่า” โดยดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ของไทยตกต่ำลงต่อเนื่อง ได้คะแนนเพียง 34 คะแนน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ทุกครั้งที่การโกงเพิ่มขึ้น ความยากจนของประชาชนก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย และทำให้ประเทศสูญเสียโอกาสการพัฒนา จนต้องติดหล่มเป็นประเทศกำลังพัฒนามาหลายสิบปี”หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย ย้ำ

ซัดทุจริตซ้ำเติมเศรษฐกิจของปชช.

คุณหญิงสุดารัตน์ชี้ว่านี่คือช่วงเวลาสำคัญที่สังคมไทยและรัฐบาลทั่วโลกเริ่มเอาจริงกับการปราบ“ขบวนการสแกมเมอร์”ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างใหญ่ของระบบทุจริตและกำลังทำลายเศรษฐกิจไทยอย่างน่ากังวล จากข้อมูลเศรษฐกิจเถื่อนที่หมุนเวียนอยู่ในระบบ มีมูลค่าสูงถึง 8.7ล้านล้านบาท หรือเกือบ49%ของ GDP ประเทศไทย สูงติดอันดับ 4 ของเอเชีย ตัวเลขความคลาดเคลื่อนสุทธิหรือเงินที่ไม่สามารถระบุแหล่งที่มาได้ ในปี 2566 อยู่ที่ 180,000 ล้านบาท และในปี 2567 พุ่งทะยานขึ้นเป็นกว่า 530,000 ล้านบาท สะท้อนการขยายตัวของทุนสีดำอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังพบความผิดปกติจากการส่งออกทองคำไปกัมพูชามีมูลค่าสูงถึงเดือนละกว่า10,000ล้านบาท รวมสิบปีมากกว่า 100,000 ล้านบาท ซึ่งถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นช่องทางสำคัญของการฟอกเงินข้ามพรมแดน

สำหรับปรากฏการณ์เหล่านี้คือ การปล้นชาติอย่างเป็นระบบ คนไทยถูกโกง ถูกปล้นทรัพยากรไปแล้วหลายแสนล้านบาท ขณะเดียวกัน ยังทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าผิดปกติ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคส่งออก และซ้ำเติมเศรษฐกิจของประชาชน
ย้ำคนเลวไม่มีที่ยืนในสังคมไทย

คุณหญิงสุดารัตน์ย้ำว่าพรรคไทยสร้างไทย และตนเองจะเดินหน้าอย่างจริงจังในการทำให้“คนเลวไม่มีที่ยืนในแผ่นดินไทย”พร้อมเรียกร้องให้ประเทศไทย“ทำให้กฎหมายศักดิ์สิทธิ์”โดยมีผู้นำที่เอาจริงในการปราบโกงเช่นเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างจีนและเวียดนาม ที่สามารถจัดการนักการเมืองและข้าราชการทุจริตได้อย่างเด็ดขาด ถึงเวลาที่เราต้องน้อมนำพระราชดำรัสของสมเด็จพระชนกาธิเบศร มาปฏิบัติอย่างจริงจัง ต้องส่งเสริมคนดีให้ปกครองบ้านเมือง และไม่ปล่อยให้คนไม่ดีมีอำนาจ พร้อมประกาศเจตนารมณ์ว่า พรรคไทยสร้างไทยจะยืนหยัดต่อสู้กับ“คนเลว”ทุกรูปแบบด้วยความกล้าหาญและจริงจัง เพื่อสร้างประเทศที่โปร่งใสและเป็นธรรมให้กับคนไทยทุกคน

ดันปฎิรูปปราบโกง-เพิ่มโทษประหาร

พรรคไทยสร้างไทย จึงเดินหน้าอย่างจริงจังในการ“ทุบทุนเถื่อน”ด้วยนโยบายการปฏิรูปประเทศเพื่อสร้างธรรมาภิบาลและต่อต้านการทุจริต
1. เพิ่มโทษประหารชีวิตแก่ผู้กระทำการทุจริตระดับร้ายแรง โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐ นักการเมือง หรือผู้มีอำนาจที่ใช้อำนาจโดยมิชอบเพื่อแสวงหาประโยชน์
2. จัดทำและแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อสร้าง“อำนาจตรวจสอบภาคประชาชน”ให้ประชาชน50,000 คน เสนอถอดถอน องค์กรอิสระและศาลรธน. ได้
 

แนะตั้งองค์กรภาคปชช.ร่วมสอบโกง

3. จัดตั้ง องค์กรตรวจสอบการทุจริตภาคประชาชน ทำงานคู่ขนานกับ ป.ป.ช. และ สตง. มีสมาชิกประมาณ 70 คน จากตัวแทนองค์กรวิชาชีพและประชาชนทุกภูมิภาครวมทั้ง กทม.ทำหน้าที่เสมือน สภาประชาชน ตรวจสอบและเสนอเรื่องต่อ ป.ป.ช.สมาชิกเลือกกันเองเป็น คณะกรรมการบริหาร11 คน เพื่อดำเนินงานและประสานการตรวจสอบ หาก ป.ป.ช. และอัยการเห็นว่าต้องมีหลักฐานเพิ่มเติมให้ส่งกลับมาตรวจสอบใหม่ และหากทั้งสองหน่วยงานไม่สั่งฟ้อง องค์กรภาคประชาชนฯ มีสิทธิ ฟ้องคดีเองได้.
4. พักการใช้ หรือ ระงับกฎหมายและระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการทำมาหากินของประชาชนชั่วคราว 3–5ปี พร้อมทั้งปรับปรุง ยกเลิก หรือแก้ไขกฎหมายที่ริดรอนเสรีภาพ และขัดขวางการประกอบอาชีพสุจริตของประชาชน 5.ลดขนาดของระบบราชการอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในด้านจำนวนหน่วยงานและจำนวนเจ้าหน้าที่ โดยดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ คล่องตัวและลดภาระงบประมาณของประเทศ 6. สร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน(โดยเฉพาะ SME) และภาคประชาชน ในการให้บริการสาธารณะและต่อต้านการทุจริตทุกระดับ ทั้งส่วนกลาง ภูมิภาค และท้องถิ่น เพื่อสร้างระบบธรรมาภิบาลที่ยั่งยืน 

จับแล้ว‘นิสิต สินธุไพร'

มีรายงานข่าวว่าเมื่อวันที่ 6พ.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่กองกำกับการ 3 กองบังคับการปราบปราม(กก.3บก.ป.)เข้าจับกุม นายนิสิต สินธุไพร อดีต ส.ส.ร้อยเอ็ดและอดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดพัทยา ที่ 618/2562 ลงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 โดยหมายจับดังกล่าวระบุข้อหาเกี่ยวกับความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ ก่อความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ทำให้เสียทรัพย์ และบุกรุก โดยเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวได้ในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด ก่อนนำตัวส่งศาลจังหวัดพัทยา จังหวัดชลบุรี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

สำหรับนายนิสิต เคยเป็นสส.ร้อยเอ็ดหลายสมัย สังกัดพรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชาชนและพรรคไทยรักไทย อดีตแกนนำคนเสื้อแดงซึ่งถูกจับที่ร้อยเอ็ดหลังหลบหนีหมายจับศาลพัทยา ไม่ไปฟังคำพิพากษา จำคุก 4 ปี คดีก่อม็อบบุกโรงแรมรอยัลคลิฟล้มประชุมอาเซียนเมื่อปี2552ตำรวจคุมตัวส่งศาลดำเนินคดีตามขั้นตอนและเป็นบิดาของน.ส.จิราพร สินธุไพร อดีต รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลเศรษฐา-แพทองธารและเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย
อย่างไรก็ตามมีรายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทยว่านายนิสิต ขอมอบตัวเอง

“ธรรมนัส”ลงปัตตานี

ด้าน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และนายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ จ.ปัตตานี โดยได้เดินทางไปยังโรงเรียนดรุณศาสน์วิทยา และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เพื่อพบปะประชาชน และรับฟังปัญหาในพื้นที่ พร้อมทั้งมอบโฉนดเพื่อการเกษตร โฉนดต้นยางพารา และปัจจัยการผลิต โดยมี นายยูนัยดี วาบา สส.ปัตตานี พรรคประชาธิปัตย์, นายสัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ สส.นราธิวาส พรรคกล้าธรรม และนางสาลีฮะ มะยูโซ๊ะ นายกเทศมนตรีเมืองสุไหงโก-ลก ให้การต้อนรับ

โดย ร.อ.ธรรมนัส ได้นำคณะรัฐมนตรี และผู้บริหารทั้ง 3 กระทรวง ยืนสงบนิ่งถวายความอาลัยแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จากนั้น ได้กล่าวกับประชาชนช่วงหนึ่งว่า ผมเคยประกาศเอาไว้ว่าจะทำให้ลูกหลานชาวไทยมุสลิมเข้าไปเป็นรัฐมนตรีให้ได้ ตอนนั้นหลายคนก็ปรามาสว่า จะทำได้จริงหรือไม่ วันนี้ผมจะพิสูจน์ให้เห็นว่า ผมทำให้อามินทร์ มะยูโซ๊ะ ลูกหลาน 3 จังหวัดชายแดนใต้เข้าไปเป็นรัฐมนตรีเพื่อแก้ปัญหาให้กับพี่น้องมุสลิมได้แล้ว

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวต่อว่า รัฐบาลมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะการสร้างอาชีพ การเพิ่มรายได้ และการยกระดับความเป็นอยู่ให้ดียิ่งขึ้น พร้อมรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในหลายด้าน ทั้งเรื่องการเกษตร การประมง การศึกษา ที่ดินทำกิน และปัญหาการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่จังหวัดปัตตานี เป็นประเด็นสำคัญที่รัฐบาลให้ความสำคัญ เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นจุดรองรับน้ำจากจังหวัดยะลาและนราธิวาส โดยได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำระบบบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก และช่วยให้เกษตรกรสามารถประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืน

ผลักดันภาคการเกษตร

นอกจากนี้ยังได้เน้นย้ำถึงการผลักดันภาคการเกษตรให้สอดคล้องกับมาตรฐานฮาลาล เพื่อสร้างโอกาสในการขยายตลาดสินค้าเกษตรของภาคใต้ให้กว้างขึ้น ตลอดจนการฟื้นฟูนาร้างให้กลับมาใช้ประโยชน์ทางการเกษตร และการออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินให้กับเกษตรกรในพื้นที่ เพื่อให้สามารถทำกินได้อย่างมั่นคง ในส่วนด้านการศึกษา ได้มอบนโยบายให้กระทรวงศึกษาธิการ เร่งยกระดับคุณภาพการเรียนการสอน โดยเฉพาะในโรงเรียนเอกชนของจังหวัดชายแดนใต้ เพื่อให้เยาวชนได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพและเท่าเทียมกับพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศ


”การเดินทางลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในครั้งนี้ มีเป้าหมายหลักเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีอาชีพที่มั่นคง ผมในฐานะคนจังหวัดนราธิวาส ย่อมเข้าใจบริบทของพี่น้องทั้งชาวพุทธและชาวมุสลิมในพื้นที่เป็นอย่างดี เห็นถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและความต้องการที่แตกต่าง ซึ่งภาครัฐได้พยายามพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างอาชีพและรายได้ให้กับประชาชน ซึ่งตนจะเน้นส่งเสริมอาชีพ พัฒนาภาคการเกษตร แก้ไขปัญหาการศึกษา และผลักดันการท่องเที่ยวในพื้นที่ชายแดนใต้ให้เติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ พร้อมดำเนินการอย่างเต็มที่“ร.อ.ธรรมนัส กล่าว
 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top