วันพฤหัสบดี ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
เสริมเขี้ยวเล็บ! ‘ทบ.’รับมอบอาวุธจรวดหลายลำกล้อง-ปืนใหญ่ 105 มม.-รถยิงจรวด D11A

เสริมเขี้ยวเล็บ! ‘ทบ.’รับมอบอาวุธจรวดหลายลำกล้อง-ปืนใหญ่ 105 มม.-รถยิงจรวด D11A

วันพฤหัสบดี ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 12.14 น.

‘ทบ.’รับมอบอาวุธ‘จรวดหลายลำกล้อง’แบบ DTI-1G ‘ปืนใหญ่’105 มม. ‘รถยิงจรวด D11A’ เตรียมใช้งานจริง ปกป้องอธิปไตย ‘ประธาน สทป.’เผยส่ง‘หุ่นยนต์ลาดตระเวน’ให้กองทัพภาคที่ 2 ใช้งานแล้ว จ่อพัฒนารถเก็บกู้ทุ่นระเบิด-โดรน

13 พฤศจิกายน 2568 สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) จัดพิธีส่งมอบยุทโธปกรณ์ให้แก่หน่วยผู้ใช้เพื่อนำเข้าประจำการ โดยมีพลเอก อานุภาพ ศิริมณฑล หัวหน้าคณะนายทหาร เสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชา กองทัพบก เป็นผู้แทนรับมอบจำนวน 3 รายการ ประกอบด้วย


1. ต้นแบบรถฐานยิงจรวดหลายลำกล้องอเนกประสงค์ D11A

2. ปืนใหญ่เบาขนาด 105 มิลลิเมตร แบบ CS/AH2  มอบให้ ศูนย์การทหารปืนใหญ่ (ศป)

3. จรวดหลายลำกล้องนำวิถี แบบ DTI-1G ส่งมอบให้กับกองพลทหารปืนใหญ่ (พล.ป.)

ด้านพลเอก นภนต์ สร้างสมวงษ์ ประธานกรรมการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ กล่าวว่า วันนี้เป็นการส่งมอบอาวุธที่สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศร่วมมือกับกองทัพบก ในการวิจัยจำนวน 3 รายการ ซึ่งในส่วนของปืนใหญ่เบาขนาด 105 มิลลิเมตร ได้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากประเทศจีน และนำมาประกอบโดยเจ้าหน้าที่ของ สทป.ในประเทศไทยเอง

ส่วนจรวดหลายลำกล้องนำวิถี แบบ DTI-1G ก็ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากประเทศจีนเช่นกัน ซึ่งรถดังกล่าวได้ใช้จริงในสนามรบมาแล้ว ในเหตุการณ์ชายแดนที่ผ่านมา

ขณะที่รถฐานยิงจรวดหลายลำกล้องอเนกประสงค์ D11A ที่สามารถทำการยิงจรวดได้ 5 รูปแบบ ได้แก่ ขนาด 122 มม. ระยะยิง 40 กิโลเมตร, แบบที่ 2 คือ ขนาด 306 มม. ระยะยิง 150 กิโลเมตร, 3.ขนาด 170 มม. ระยะยิง 300 กิโลเมตร และได้รับการถ่ายทอดจากบริษัท Elbit Systems ซึ่งเป็นบริษัทจากประเทศอิสราเอล สามารถยิงได้ไกลที่สุดมากกว่า 450 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังสามารถทำการบินแบบอเนกประสงค์ ซึ่งเมื่อปล่อยออกไปแล้วสามารถตรวจการณ์หาเป้าหมาย และสามารถแปรสภาพเป็นจรวดทำลายต่อเป้าหมายได้เลย โดยหากไม่ใช้ก็สามารถบินกลับมาที่เดิมได้ เพื่อใช้ในรอบต่อไป ซึ่งทั้งหมดนี้ได้มีการรับรองมาตรฐานเรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้รถฐานยิงจรวดหลายลำกล้องอเนกประสงค์ D11A และจรวดหลายลำกล้องนำวิถี แบบ DTI-1G ถือเป็นจรวดนำวิถีทั้งสิ้น

ส่วนความมั่นใจในการรองรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นนั้น พลเอก นภนต์ ระบุว่า จรวดนำวิถีที่เราวิจัยมามีความแม่นยำ ที่จะใช้ในเรื่องของความมั่นคง ซึ่งรัฐบาลก็เน้นย้ำอยู่แล้วว่า เพื่อเป็นการป้องกัน ป้องปรามการลุกลามของประเทศอื่น ซึ่งไม่มีเจตนาที่จะไปรุกรานประเทศใด ดังนั้นต้องใช้อยู่ในกรอบที่มีความจำเป็น อย่างไรก็ตามช่วงนี้ต้องประสานงานกับกองทัพบก เพื่อรับทราบว่า มีความต้องการ จะใช้จรวด 2 ประเภทดังกล่าวอย่างไร รวมถึงปืนใหญ่ 105 มม.ด้วย ซึ่งยุทโธปกรณ์ลักษณะดังกล่าวได้มีการใช้ในสถานการณ์จริงมาแล้ว

พลเอก นภนต์ ยังย้ำว่า มีนโยบายในการผลิตยุทโธปกรณ์ที่กองทัพบกต้องการเท่านั้น ซึ่งต้องยอมรับว่า การพัฒนาเทคโนโลยีด้านนี้ มีความสำคัญอย่างมาก ซึ่งงานวิจัยถือเป็นงานต้นน้ำ ส่วนงานผลิตเป็นงานปลายน้ำ ดังนั้นเมื่อมีการวิจัยแล้วก็ต้องนำเข้าสู่สายการผลิต ซึ่งเป็นนโยบายในอนาคตที่เราจะทำ

เมื่อถามย้ำว่า จะนำอาวุธดังกล่าวไปสนับสนุนการปฏิบัติในสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ได้หรือไม่ พลเอก นภนต์ ระบุว่า ต้องสอบถามกองทัพบก เพราะจะเป็นหน่วยงานที่จะต้องพิจารณา ซึ่งเรามีหน้าที่ทำในสิ่งที่กองทัพต้องการ โดยสิ่งที่เราทำ เวลาจะทำอะไร เรามองถึงอนาคต และจะต้องก้าวไปข้างหน้า หากทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ก่อเกิดประโยชน์ต่อกองทัพ และประเทศชาติ สทป. ก็จะไม่ดำเนินการ ซึ่งเมื่อทำแล้วก็จะต้องปกป้องเอกราช และอธิปไตยของชาติได้ รวมถึงปกป้องกำลังพลของกองทัพ

เมื่อถามว่า การสู้รบครั้งที่ผ่านมา จะนำไปเป็นประเด็นในการปรับปรุงยุทโธปกรณ์ให้สอดรับกับสถานการณ์หรือไม่ พลเอก นภนต์ ยอมรับว่า มีแผน ซึ่งได้มีการพบกับผู้บัญชาการเหล่าทัพ รวมถึงหน่วยใช้ทั้งหมดว่า กองทัพมีความต้องการอะไร เราก็จะทำตามที่กองทัพต้องการ เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง และประหยัดงบงบประมาณ อีกทั้งพึ่งพาการผลิตในประเทศเป็นหลัก ที่มุ่งเน้นการพึ่งพาตนเอง

ส่วนนอกจากยุทโธปกรณ์ทั้ง 3 แบบ มีผลงานวิจัยอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ พลเอก นภนต์ ระบุว่า มีหุ่นยนต์ทางยุทธวิธี ซึ่งได้มีการวิจัยเสร็จสิ้นไปแล้ว ซึ่งได้ส่งมอบให้กองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 นำไปใช้ ซึ่งถือว่า มีประโยชน์อย่างมาก เนื่องจากเป็นหุ่นยนต์ที่ติดปืน และติดอาวุธ แทนกำลังพลที่ออกไปลาดตระเวนข้างหน้า และสามารถบรรทุกของได้ อีกทั้งยังมีกล้อง 360 องศาควบคุมอยู่ที่ฐานปฏิบัติการของรถ สามารถเดินหน้าได้ 3 ถึง 5 กิโลเมตร ซึ่งขณะนี้กำลังสอบถามกองทัพว่า มีความต้องการหรือไม่

ส่วนเก็บกู้ทุ่นระเบิด กำลังพิจารณาว่า จะทำแบบใดให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ซึ่งจะได้ปรึกษากับกรมการทหารช่างครั้งหนึ่ง โดยที่ปรึกษาของ สทป. มีความเชี่ยวชาญ ในเรื่องการสร้างสะพานเครื่องหนุนมั่นหนุนลอย

ส่วนอาวุธอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรนนั้น ก็กำลังวิจัยอยู่ และจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด โดย สทป. มีการวิจัย 3 ระดับคือ 1. ยุทโธปกรณ์ทั่วไปที่มีการใช้ในนายทหารราบ-ม้า-ปืน  2. ยุทโธปกรณ์พิเศษ เช่น แอนตี้โดรน รวมถึงหุ่นยนต์ทางยุทธวิธี 3. ยุทโธปกรณ์เหนือชั้น ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง เช่นในเรื่องของ ดาวเทียมบอลลูนเหนือชั้นบรรยากาศ ซึ่งอยู่ในแผนในอนาคต

สำหรับรถฐานยิงจรวดหลายลำกล้องอเนกประสงค์ D11A นับเป็นโครงการวิจัยและพัฒนาต้นแบบรถฐานยิงจรวดหลายลำกล้องนำวิถีพร้อมระบบควบคุมการยิง สามารถรองรับจรวดขนาด 122 มิลลิเมตร ระยะยิง 40 กิโลเมตร จรวดขนาด 306 มิลลิเมตร ระยะยิง 150 กิโลเมตรและจรวดขนาด 370 มิลลิเมตร ระยะยิง 300 กิโลเมตร โดยสทป. และบริษัทผู้ผลิตร่วมออกแบบวิจัยและพัฒนารักฐานยิงจรวดหลายลำกล้องอเนกประสงค์ให้เป็นไปตามความต้องการของกองทัพบกสามารถนำไปใช้เป็นอาวุธระยะยิงไกลได้ทั้งในระดับยุทธวิธี ยุทธการและยุทธศาสตร์

สำหรับปืนใหญ่เบาขนาด 105 มิลลิเมตร แบบ CS/AH2  เป็นปืนใหญ่ประเภทลากจูงติดตั้งระบบค้นหาพิกัดและชี้ทิศอัตโนมัติ GPS/INS ใช้เป็นระบบเล็งหลัก มีกล้องเล็ง พาโนรามิก เป็นระบบสำรอง  สามารถทำการยิงได้โดยไม่ใช้งานแผนที่และสามารถพับลำกล้องปืนจากตำแหน่งพร้อมยิงเป็นตำแหน่งเคลื่อนที่ได้ โดยระยะยิงไกลสุด 20 กิโลเมตร ใช้เป็นอาวุธใช้ยิงสนับสนุนในกองพันปืนใหญ่สนาม

ขณะที่จรวดหลายลำกล้องนำวิถี แบบ DTI-1G ถือเป็นอาวุธทางยุทธการ ยุทธวิธี ยุทธศาสตร์ สำหรับยิงทำลาย เป้าหมายระยะไกลทางลึก ได้แก่ ที่ตั้งหน่วยทหาร กองบัญชาการ คลังอาวุธ สนามบินและเป้าหมายทางทหารที่สำคัญ ใช้เป็นอาวุธยิงสนับสนุนฝ่ายตรงข้าม สำหรับการ ยิงทำลายที่ตั้งปืนใหญ่ที่ตั้งระบบจรวด สถานีเรดาร์ ศูนย์ควบคุมและสั่งการและที่ตั้งยุทโธปกรณ์ที่สำคัญ มีคุณลักษณะเป็นอาวุธนำวิถีแบบศูนย์สูตรพื้นนิสัยยิ่งไกล 150 กิโลเมตร

ใช้ระบบนำวิถีที่แม่นยำสูง (GPS/INS) ระบบติดตั้งบน รถฐานยิงจรวดที่มีหัวเกราะป้องกันสะเก็ดระเบิด สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างคล่องตัวและทำการยิงเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ มีค่า CEP น้อยกว่า 40 เมตร รัศมีการทำลายมากกว่า 70 เมตร ทำการยิงได้ทีละนัดและยิงแบบต่อเนื่อง สำหรับระยะห่างในการยิงต่อนัดคือ 10 วินาทีในขณะที่จำนวนจรวดต่อรถฐานยิง 4นัด ต่อคัน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top