‘ดร.ณัฏฐ์’ฟันเปรี้ยง ‘พยาน’โร่กลับคำให้การคดี‘ฮั้ว สว.’แต่ไร้ผลกระทบต่อรูปคดี

‘ดร.ณัฏฐ์’ฟันเปรี้ยง ‘พยาน’โร่กลับคำให้การคดี‘ฮั้ว สว.’แต่ไร้ผลกระทบต่อรูปคดี

วันศุกร์ ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 18.41 น.

ภัยหลุดพ้นเพราะการเมืองเปลี่ยนขั้ว! "ดร.ณัฏฐ์"ฟันเปรี้ยง "พยาน"โร่กลับคำให้การคดี"ฮั้ว สว."แต่ไร้ผลกระทบต่อรูปคดี

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 สืบเนื่องจากมีพยานบางปากกลับคำให้การในชั้นสอบสวน ในคดีฟอกเงินที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้สอบสวน ตามหนังสือถึงอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ขอให้การเพิ่มเติมลงวันที่ 29 ตุลาคม 2568 โดยได้เอกสารเผยแพร่สู่สาธารณะ ทำให้มีการข้อถกเถียงกันว่า เป็นเกมการเมืองหรือไม่ ผลกลับคำให้การจะมีผลกระทบต่อคดีเป็นอย่างไร มีผลเชื่อมโยงถึงคดีที่ กกต.ดำเนินการสืบสวนและไต่สวน วินิจฉัยชี้ขาดหรือไม่อย่างไร


โดย ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชนชื่อดัง หรือ ดร.ณัฏฐ์ ได้ให้ความเห็นเพื่อประโยชน์สาธารณะและกล่าวว่า ปมพยานกลับคำให้การ ทำให้สังคมสับสนว่า จะมีผลล้มคดีฮั้ว สว.หรือไม่อย่างไร ต้องทำความเข้าใจต่อระบบสอบสวนก่อนว่า อำนาจสอบสวนของดีเอสไอกับ กกต.ในคดีฮั้ว สว.แยกต่างหากจากกัน แต่กลเกม เทคนิค เป้าหมายเพื่อล้มคดีฮั้ว สว.เพื่อทำลายน้ำหนักพยานในสำนวน หากพยานรายดังกล่าวเป็นประจักษ์พยานสำคัญในคดี จะทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดย กกต.และดีเอสไอ ช้กฎหมายคนละฉบับ โดยใช้ระบบการแสวงหาข้อเท็จจริงต่างกัน  โดย กกต.ใช้ระบบไต่สวน ส่วนกรมสอบสวนคดีพิเศษใช้ระบบกล่าวหา โดยมีเขตอำนาจศาลต่างกัน กรมสอบสวนคดีพิเศษ ต้องส่งสำนวนคดีอาญาไปยังพนักงานอัยการคดีทุจริตฯว่า มีความเห็นสั่งฟ้องหรือไม่ หากสั่งฟ้อง ต้องนำตัวผู้ต้องหาไปฟ้องต่อ “ศาลอาญา”

ดร.ณัฐวุฒิ กล่าวว่า ส่วน ที่ กกต.ไต่สวน มีหลักฐานอันควรเชื่อว่า ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำการอันเป็นการทะจริตในการเลือกหรือรู้เห็นกับการกระทำของบุคคลอื่น อันทำให้การเลือกมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ให้ กกต.ยื่นคำร้องต่อ “ศาลฎีกา” เพื่อสั่งให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง ตาม พรป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.มาตรา 62 วรรคหนึ่ง เมื่อศาลฎีกามีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณา หากผู้ถูกกล่าวหามีสมาชิกภาพเป็น สว.ให้ผู้นั้นหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลฎีกาจะพิพากษา ตาม พรป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.มาตรา 62 วรรคสอง คดีฮั้ว สว.มีผู้ถูกกล่าวหา 229 ราย อยู่ในขั้นตอนพิจารณาของคณะอนุกรรมการวินิจฉัยคำร้องปัญหาหรือข้อโต้แย้งชุดที่ 36 เมื่อกลั่นกรองความเห็นต้องส่งสำนวนไปยัง กกต.มีระยะเวลา 90 วันนับแต่วันที่ได้รับสำนวนจากเลขาธิการ กกต.

“หาก กกต.มีมติเสียงข้างมาก วินิจฉัยชี้ขาดยืนตามความเห็นของคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ชุดที่ 26 เป็นการกระทำทุจริตการเลือก สว.ฝ่าฝืน พรป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.พ.ศ.2561 มาตรา 77 (1) โดยบทบัญญัติ มาตรา 77 วรรคสอง ตามพระราชบัญญัติเดียวกัน ให้ถือว่า การทุจริตการเลือก สว.เป็นความผิดฐานฟอกเงินไปในตัว กกต.มีหน้าที่ส่งเรื่องให้ ปปง.ดำเนินการยึดทรัพย์ ​พูดภาษาชาวบ้าน คือ คดีทุจริต เลือก สว.สีน้ำเงิน เป็นอำนาจ กกต.ถือสำนวน กกต.เป็นหลัก หาก กกต.ชี้ขาดว่า ผิด สว.กับพวก กระทำผิดร่วมกันฮั้ว สว.ถูกคดีอาญาและถูกยึดทรัพย์เป็นของแถมด้วย ส่วนจะเหมาแข่ง หรือว่ารอดคดียกเข่งหรือรอดคดีบางส่วน ผลคดีต้องไปลุ้น อยู่ที่กกต.เป็นหลัก” ดร.ณัฐวุฒิ กล่าว

ดร.ณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า ส่วนคดีอาญา ในความผิดฐานฟอกเงิน หรือสมคบกันฟอกเงิน ตาม พรบ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เป็นความผิดมูลฐานฟอกเงิน ที่อยู่ในอำนาจาของกรมสอบสวนคดีพิเศษ เมื่อคณะกรรมการคดีพิเศษรับเป็นคดีแล้ว เป็นหน้าที่ของ คณะทำงานพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษที่มีองค์ประกอบพนักงานอัยการร่วมสอบสวนด้วย ย่อมนำผลคดีที่ กกต.วินิจฉัยชี้ขาด ไปแจ้งข้อหากับผู้ถูกกล่าวหา 229 คนด้วยส่วนพยานรายกลับคำให้การชั้นสอบสวน เป็น “กลลวง” โยนหินถามทางและกระแสสังคม เดิมพยานรายดังกล่าว เป็นผู้ต้องหาผู้ร่วมกันกระทำความผิด ต่อมาให้การเป็นประโยชน์ในชั้นสอบสวน ย่อมเป็นอำนาจของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษกันไว้เป็นพยานได้ หากเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ตาม พรบ.สอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 โดยหลักในคดีอาญา ห้ามโจทก์อ้างจำเลยเป็นพยาน ส่วนชั้นพิจารณา หน้าที่นำสืบก่อน เป็นหน้าที่ของโจทก์ โจทก์มีหน้าที่พิสูจน์ให้ได้ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องและศาลเชื่อว่าจำเลยได้กระทำผิดจริง

ดร.ณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า หาก พยานกลับคำให้การอ้างว่า ได้ถูกวางงาน โดย “ท่องบท” ให้ร้ายต่อพรรคภูมิใจไทย เพราะถูกบังคับขู่เข็ญ เมื่อการเมืองเปลี่ยน มาให้ถ้อยคำใหม่ ต้องพิจารณาว่า ถูกคณะพนักงานสอบสวนขู่เข็ญจริง หรือ ตัวแปรภายหลัง เป็นเพียงแลกผลประโยชน์ทางการเมือง เพราะย้ายสังกัดพรรครัฐบาล เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะหากการกลับคำให้การ เพราะถูกขู่เข็ญจะต้องเกิดจากพนักงานสอบสวน มิใช่เกิดจากบุคคลภายนอก การกลับคำให้การจะต้องสมเหตุสมผล เพราะการให้ถ้อยคำทันทีโดยพลันแต่แรกต่อเจ้าพนักงาน ศาลเชื่อว่าเป็นจริง ส่วนกลับคำให้การภายหลังอ้างเพราะภัยหมดไป เพราะเหตุการเมืองเปลี่ยน ย่อมมีน้ำหนักน้อย โดยเฉพาะการท่องบท การพูด เหมือนแกงค์สแกรมเมอร์ หรือแกงค์คอลเซนเตอร์ ไม่สมเหตุสมผล กับการให้ถ้อยคำต่อพนักงานสอบสวน มีความแตกต่างกัน เพราะคำให้การ เอกสารท่อนตอนท้าย ระบุว่า “ข้าฯให้การต่อความเป็นจริงทุกประการ” และลงชื่อในคำให้การพยานเหตุที่เป็นเช่นนี้ คณะพนักงานสอบสวน กระทำเป็นองค์คณะ มิได้กระทำเพียงคนเดียว มีพนักงานอัยการร่วมสอบสวนด้วย การบังคับขู่เข็ญ จะต้องได้ความว่า คณะพนักงานสอบสนวนคดีพิเศษ รายใด บังคับขู่เข็ญ ทั้ง ไม่มีผลต่อคดีของ กกต.เพราะไม่มีกฎหมายใดบัญญัติให้ กกต.ต้องถือผลคดีตามคดีฟอกเงินของ กรมสอบสวนคดีพิเศษ แม้ผู้ต้องหาที่กันไว้เป็นพยานกลับคำให้การ คณะพนักงานสอบสวนย่อม สามารถมีความเห็นสั่งฟ้องในฐานะผู้ต้องหาได้เพราะยังไม่สรุปผลการสอบสวนส่งสำนวนให้พนักงานอัยการ เพราะตัวผู้ต้องหากันไว้เป็นพยาน ย่อมไม่เป็นประโยชน์แก่รูปคดี สำเนา “บันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน” สภ.ขอนแก่น มิใช่เป็นการ “ร้องทุกข์กล่าวโทษเพื่อดำเนินคดีอาญากับคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษรายใด” พยานปากดังกล่าว อ้างว่า ถูกข่มขู่ หรือ ขู่เข็ญ เพื่อบังคับเพื่อให้การปรักปรำให้ร้ายพรรคภูมิใจไทย โดยอ้างถึงบุคคลภายนอกคดี มิใช่พนักงานสอบสวนในคดี ย่อมทำให้มีน้ำหนักน้อย รับฟังไม่ได้อีกทั้ง พยานปรปักษ์เช่นนี้ ในชั้นพิจารณา พนักงานอัยการย่อมถามความแบบ “ปรปักษ์” และใช้ “คำถามนำ” ได้ เพื่อทำลายน้ำหนักของพยานปากดังกล่าว

“ศาลฎีกาได้วางแนวคำพิพากษาไว้เป็นบรรทัดฐานว่า “ถ้อยคำของพยานหรือผู้กล่าวหาแจ้งให้พนักงานสอบสวนทราบโดยพลัน แม้กลับให้การในภายหลัง ไม่สมเหตุสมผล” ย่อมมีน้ำหนักรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นลงโทษจำเลยได้ชั้นพิจารณา หากพยานฝ่ายโจทก์กลับคำให้การ เป็นหน้าที่ของพนักงานอัยการ ถามความแบบปรปักษ์เพื่อค้นหาความจริงและภายหลังเบิกความแล้ว ต้องแจ้งให้พนักงานสอบสวน ดำเนินคดีอาญาฐานแจ้งความเท็จแก่พนักงานสอบสวน ตาม ปอ.มาตรา 172,173,174 ส่วนเทคนิค หากเป็นพยานในสำนวน กกต.ด้วย พยานปากดังกล่าว จะใช้เทคนิคเดียวกัน ยื่นคำร้องต่อประธาน กกต.ในลักษณะเดียวกัน เพื่อเปิดช่องให้คณะอนุกรรมการวินิจฉัยคำร้องปัญหาหรือข้อโต้แย้ง ชุดที่ 36 มีความเห็นสั่งสอบพยานบุคคลปากดังกล่าวเพิ่มเติม แม้พยานปากดังกล่าวไม่น่าเชื่อถือ แต่เป็นดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน หากมีการตั้งธงเป่าคดี อาจนำเหตุผลนี้ไประบุว่า มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน พยานกลับคำให้การ มีผลทำให้น้ำหนักคดีเปลี่ยนไป หากเป็นประจักษ์พยานสำคัญเพียงปากเดียว ย่อมทำให้โอกาสน้ำหนักคดีลดน้อยลง ส่งผลต่อคำวินิจฉัยชี้ขาดคดีในชั้นที่ประชุม กกต.ด่านสุดท้าย” ดร.ณัฐวุฒิ กล่าว

- 006

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top