ชำแหละเกมอำนาจ‘ทรัมป์’บนความขัดแย้ง‘ไทย-กัมพูชา’ และ 4 คำถามปม‘ปฏิญญา-ภาษีสหรัฐ’

ชำแหละเกมอำนาจ‘ทรัมป์’บนความขัดแย้ง‘ไทย-กัมพูชา’ และ 4 คำถามปม‘ปฏิญญา-ภาษีสหรัฐ’

วันอาทิตย์ ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 09.27 น.

ชำแหละเกมอำนาจ‘ทรัมป์’บนความขัดแย้ง‘ไทย-กัมพูชา’ และ 4 คำถามปม‘ปฏิญญา-ภาษีสหรัฐ’

16 พฤศจิกายน 2568 อัษฎางค์ ยมนาค หรือ “เอ็ดดี้” นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก “เอ็ดดี้ อัษฎางค์” ระบุว่า...


“วันนี้ผมหยุดสงครามไม่ได้ด้วยกำแพงภาษี” นี่คือจิตวิญญาณของนโยบาย “American first”

#อัษฎางค์ยมนาค | #อ่านเกมอำนาจ

สหรัฐอเมริกาคือ คู่ค้ารายใหญ่ ของไทย (เป็นตลาดส่งออกอันดับต้น ๆ) การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ขู่จะเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงถึง 36% สำหรับสินค้าจากไทย (ซึ่งต่อมามีการเจรจาลดลงเหลือ 19%) ถือเป็น “ภัยคุกคามทางเศรษฐกิจ” ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

การระงับการเจรจาภาษี ไม่ได้หมายถึงการเก็บภาษีในอัตราสูงทันที แต่หมายถึงการ ชะลอโอกาสที่ไทยจะได้รับสิทธิประโยชน์หรือการลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลทุกประเทศต้องพยายามผลักดันเพื่อผลประโยชน์ของชาติ เพราะถือเป็นการสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ

การตัดสินใจของสหรัฐอเมริกาในการ ระงับการเจรจาภาษีการค้ากับไทยเป็นการชั่วคราว โดยเชื่อมโยงกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ถือเป็น “การกดดันทางการทูตและเศรษฐกิจต่อรัฐบาลไทย” อย่างชัดเจน

"ปฏิญญากัวลาลัมเปอร์" เป็นข้อตกลงหยุดยิงและสร้างสันติภาพที่เพิ่งลงนามเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 โดยมีทั้งสหรัฐฯ และมาเลเซีย (ในฐานะประธานอาเซียน) เป็นสักขีพยาน การที่ไทยประกาศ "ระงับการดำเนินการภายใต้ปฏิญญา" แม้มีเหตุผลเรื่องการละเมิด แต่ในสายตาของประเทศผู้เป็นพยาน ถือเป็นการ บ่อนทำลายกลไกสันติภาพ ที่พึ่งสร้างขึ้นมา

สหรัฐฯ ไม่ได้ต้องการให้กัมพูชาชนะ หรือไทยแพ้ แต่ต้องการให้ “ความขัดแย้งไม่บานปลาย” และกลับไปอยู่ภายใต้กรอบการเจรจาที่ทุกฝ่ายยอมรับ เพราะ “การปะทะที่ชายแดน กระทบต่อเสถียรภาพ ของภูมิภาคอาเซียนและเส้นทางการค้า/การลงทุนในภาพรวม”

หมายความว่า “สหรัฐฯ คำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเองมากกว่า หรือเห็นแกตนเองเพียงฝ่ายเดียว โดยไม่ได้คำนึงว่า ไทยรักษาสัญญาแต่เขมรละเมิดสัญญา”

อเมริกาก็ไม่สนใจว่า “ไทยจะโดนลอบโจมตีและต้องสูญเสียชีวิตของทหารและพลเรือนรวมทั้งทรัพย์สินไปมากแค่ไหน”

แต่อเมริกาจะกดดันให้ไทยอยู่เฉยๆ แบบนี้ไม่ได้!

การกระทำของสหรัฐอเมริกาในกรณีนี้ สะท้อนถึงการคำนึงถึงผลประโยชน์แห่งชาติของตนเอง “American first” เป็นหลักเหนือความยุติธรรมทางศีลธรรม ระหว่างคู่กรณีอย่างไทยและกัมพูชา

การตัดสินใจของสหรัฐฯ ดูเหมือนจะ “เห็นแก่ตัว” และ “ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการรักษาสัญญาและความเสียหายที่ไทยได้รับ” และการกดดันให้ไทย "อยู่เฉย ๆ" หรือ "กลับเข้าสู่ปฏิญญา" ทั้งที่ไทยเป็นฝ่ายถูกกระทำ ถือเป็นแนวทางที่ก่อให้เกิดความไม่พอใจต่อไทยอย่างยิ่ง

การกระทำของสหรัฐฯ เป็นไปตามหลักการ "สัจนิยม" ซึ่งเชื่อว่าประเทศต่าง ๆ จะทำทุกอย่างเพื่อเพิ่มอำนาจและผลประโยชน์ของตนเอง และความยุติธรรมเป็นเรื่องรองลงมา

1. ผลประโยชน์ด้านเสถียรภาพเหนือความยุติธรรม

• สำหรับสหรัฐฯ สิ่งที่อันตรายที่สุดคือ สงครามเต็มรูปแบบ หรือความขัดแย้งที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ เพราะจะส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการทหารของสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (การค้า, เส้นทางเดินเรือ, พันธมิตร)

• ปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ คือ กลไกที่สหรัฐฯ เข้าไปเป็นพยานและสนับสนุน หากกลไกนี้พังลง สหรัฐฯ อาจถูกมองว่าล้มเหลวในการเป็นผู้สร้างสันติภาพในภูมิภาค และต้องเสียเวลาและทรัพยากรไปกับการสร้างกลไกใหม่ การกดดันไทยให้กลับเข้าสู่กรอบจึงเป็นการ "รักษากลไก" แม้ว่ากลไกนั้นจะถูกฝ่ายหนึ่งละเมิดก็ตาม

2. การใช้เครื่องมือที่มีอิทธิพลที่สุด

• การที่สหรัฐฯ ใช้ประเด็นการค้ามาเป็นเครื่องมือในการกดดันไทย แสดงให้เห็นว่า สหรัฐฯ ทราบดีว่า อำนาจทางเศรษฐกิจของตนกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของไทย เป็นจุดอ่อนที่ทรงพลังที่สุดในการเจรจากับไทย

• สหรัฐฯ ไม่ได้สนใจว่าทหารไทยจะสูญเสียอวัยวะไปจริงหรือไม่ หรือใครเป็นคนวางทุ่นระเบิด เพราะในทางยุทธศาสตร์ การสูญเสียของไทยไม่ได้กระทบต่อผลประโยชน์หลักของสหรัฐฯ โดยตรง แต่การที่ไทยระงับปฏิญญาและอาจตอบโต้ทางทหาร “กระทบต่อผลประโยชน์หลักของสหรัฐฯ” ทันที

การตอบสนองของไทยในสถานการณ์นี้

อย่างไรก็ตาม โพสต์ของนายกฯ อนุทิน แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลไทยไม่ได้ "อยู่เฉย ๆ" แต่ใช้การสนทนานี้เป็นโอกาสในการ โต้กลับ และ ยืนยันอำนาจอธิปไตย ดังนี้:

• การยืนยันสิทธิในการปกป้องตนเอง: ไทยยืนยันว่า ทรงไว้ซึ่งสิทธิและมีอำนาจที่จะดำเนินการใดๆ เพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศ ซึ่งเป็นการปฏิเสธโดยตรงต่อการกดดันให้ไทย "อยู่เฉย ๆ"

• การเรียกร้องความรับผิดชอบ: ไทยใช้ผู้นำทั้งสองเป็นช่องทางในการ เรียกร้องให้กัมพูชายอมรับผิดและขอโทษต่อประชาชนชาวไทย ซึ่งเป็นการโยนบอลให้ผู้นำทั้งสองไปกดดันกัมพูชาต่อ

• การต่อรองที่มีเงื่อนไข: การที่ทรัมป์ยอมพิจารณาลดภาษีเพิ่ม หากไทยสามารถเก็บกู้ทุ่นระเบิดได้อย่างรวดเร็ว (โดยกัมพูชาไม่ขัดขวาง) แสดงว่าสหรัฐฯ ไม่ได้ต้องการให้ไทยยอมกัมพูชา แต่ต้องการให้ “ภารกิจทางเทคนิคเดินหน้า” เพื่อลดความตึงเครียด ไทยจึงใช้แรงกดดันนี้เปลี่ยนเป็นเงื่อนไขที่ไทยได้ประโยชน์ด้านความมั่นคง (การเก็บกู้ทุ่นระเบิด) ควบคู่ไปกับผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ (ภาษี)

ดังนั้น ในแง่ของความรู้สึกและศีลธรรม สหรัฐฯ ดูเห็นแก่ตัวจริง แต่ในแง่ของการทูตและการใช้เครื่องมือทางการเมืองระหว่างประเทศ ไทยกำลังใช้แรงกดดันนี้เป็นโอกาสในการผลักดันเป้าหมายด้านความมั่นคงของตนเอง ให้บรรลุผล แม้จะผ่านการต่อรองที่ยากลำบากก็ตาม

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของไทยได้ออกมาแถลงว่า ไทยแสดงความผิดหวังต่อท่าทีของสหรัฐฯ ที่นำสองเรื่องนี้มาปนกัน และยืนยันว่า ต้องแยกเรื่องความมั่นคง/ชายแดน ออกจากการค้า/ภาษี ซึ่งเป็นผลประโยชน์ร่วมกันของไทยกับสหรัฐฯ

แต่แนวคิดที่ทรัมป์มักใช้ในการเจรจา คือ เปลี่ยนการค้าเป็นเครื่องมือความมั่นคง ทรัมป์ไม่เชื่อในการแยกประเด็นการค้าออกจากประเด็นความมั่นคง เขาเชื่อว่าอำนาจทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ (เช่น ภาษี, ข้อตกลงการค้า) เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการสร้างสันติภาพหรือการบรรลุเป้าหมายทางการเมือง "กำแพงภาษี" ในที่นี้จึงถูกยกสถานะจากแค่มาตรการทางเศรษฐกิจให้กลายเป็น "อาวุธทางการทูต" หรือ "เครื่องมือยุติความขัดแย้ง"

สำหรับทรัมป์ การค้าคือคันโยก การค้าไม่ใช่แค่เรื่องของผลประโยชน์ร่วมกัน แต่คือ อำนาจต่อรอง ที่ต้องนำมาใช้เพื่อบังคับให้เกิดพฤติกรรมที่สหรัฐฯ ต้องการ เช่น การรักษาสันติภาพหรือการทำลายกลไกสงคราม

ในมุมมองนี้ เป้าหมายเหนือวิธีการ "การหยุดสงคราม" ในภูมิภาคเป็นเป้าหมายที่สำคัญและเร่งด่วนที่สุด การใช้กำแพงภาษีมาเป็นเครื่องมือในการบังคับให้เกิดความร่วมมือเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้นจึงถือเป็น วิธีการที่ชอบธรรมและมีประสิทธิภาพ แม้ว่าไทยจะมองว่ามันไม่ยุติธรรมก็ตาม

ดังนั้น การที่ไทยประกาศความผิดหวังจึงเป็นไปตามหลักการทูตที่ไทยยึดถือ แต่การกระทำของสหรัฐฯ ก็เป็นไปตามหลักการ "อำนาจเหนือความยุติธรรม" ที่เป็นที่ยอมรับในแนวคิดสัจนิยมของการเมืองระหว่างประเทศเช่นกัน

ดังนั้น ณ เวลานี้ ผมไม่สามารถสรุป แต่มีคำถามทิ้งไว้ก่อนจบ

1. หลังจากนายกรัฐมนตรีอนุทินได้เรียกร้องให้ผู้นำสหรัฐฯ และมาเลเซียไปกดดันกัมพูชา กัมพูชามีท่าทีหรือคำแถลงอย่างเป็นทางการตอบโต้ ต่อข้อกล่าวหาเรื่องทุ่นระเบิดและการเรียกร้องให้ขอโทษต่อไทยอย่างไร?

2. หากรัฐบาลไทยยังคงยืนยันที่จะ "ระงับการดำเนินการภายใต้ปฏิญญา" จนกว่ากัมพูชาจะขอโทษ จะมีผลกระทบหรือความเสี่ยงทางการทูตและความมั่นคงใดที่ไทยอาจต้องเผชิญในระยะยาวนอกเหนือจากการถูกระงับเจรจาภาษีจากสหรัฐฯ?

• "มูลค่าความเสียหาย" ทางเศรษฐกิจที่ไทยอาจสูญเสียไปจากการถูกระงับการเจรจาภาษี หรือการที่สหรัฐฯ อาจเรียกเก็บภาษีในอัตราเดิม (19%) นั้น มีมูลค่าประมาณเท่าใด และส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมใดของไทยมากที่สุด?

3. นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย (อันวาร์ อิบราฮิม) ในฐานะประธานอาเซียน ได้มีการ "เร่งทำเอกสารในนามประธาน ASEAN" เพื่อย้ำความเข้าใจและให้ทั้งสองประเทศดำเนินการตามเงื่อนไขในปฏิญญาหรือไม่ และ เนื้อหาของเอกสารนั้นเป็นอย่างไร (เช่น เป็นกลาง หรือมีการระบุถึงการละเมิดของกัมพูชาด้วย)?

4. ในเมื่อความขัดแย้งนี้เกี่ยวข้องกับการละเมิดข้อตกลงโดยสมาชิกอาเซียนด้วยกัน กลไกของอาเซียน มีขีดจำกัดในการ ลงโทษหรือกดดัน กัมพูชาให้ปฏิบัติตามปฏิญญาอย่างไรบ้าง?

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top